ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 61 หากในตอนแรกนั้น
แม่บ้านจ้าวดวงตาเปียกชื้น กล่าวขึ้น “อวี้เยี่ยน เจ้าอย่าพูดเลย เรื่องนี้ห้ามให้ถึงหูองค์หญิงอีก สถานการณ์ขององค์หญิงเพิ่งทรงตัว รับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ไม่ไหว”
อวี้เยี่ยนหายใจเข้าลึกๆ กล่าวทั้งน้ำตา “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว ข้าแค่กล่าวไม่กี่คำ ณ ที่แห่งนี้เท่านั้น ต่อหน้าองค์หญิงข้าไม่พูดอีกแล้ว แม่นมจ้าว เรามาฝังกันต่อเถอะ”
เฉินเสียนนอนอยู่บนเตียงใหญ่อย่างสงบ เธอลืมตาสองข้างอย่างมีสติ ขอบตาแดงเล็กน้อย
หลิ่วเหมยอู่ นางเก่งจริงๆ
ต่อมาเฉินเสียนนอนบนเตียงภายในไม่กี่วัน ไม่ได้ถามเกี่ยวกับลูกแมวตัวนั้นเลย
แม่บ้านจ้าวยังคิดว่าคงโชคดี เฉินเสียนจำไม่ได้ว่าเลือดนั้นคือลูกแมว
แต่อวี้เยี่ยนเข้าใจ นางแค่ไม่พูด ในใจนางชัดเจนอย่างยิ่ง
ฉินหรูเหลียงไม่สนว่าเฉินเสียนจะเกิดครรภ์เป็นพิษ ในขณะนั้นมีหลิวเหมยอู่อยู่เคียงข้าง
เขาแค่กล่าวว่า “เกิดครรภ์เป็นพิษควรเป็นเรื่องที่หมอดูแล มาบอกข้าทำไม มีเรื่องอะไรก็ไปเรียกหมอ”
แม่บ้านจ้าวเดิมทีแล้วต้องการแจ้งเหตุผลตามความเป็นจริง
อวี้เยี่ยนโน้มน้าวเป็นการส่วนตัวว่า “รอให้องค์หญิงดีขึ้นค่อยทำการตรวจสอบอีกครั้งดีกว่าเจ้าค่ะ หากขณะที่องค์หญิงพักฟื้นบนเตียง เราแหวกหญ้าให้งูตื่นก่อน แม่นางหลิ่วกลับมาปราบองค์หญิง จะเป็นการทำเรื่องเกินจำเป็นนะเจ้าคะ”
แมวถูกฝังเรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีหลักฐาน
อีกอย่างพวกนางจะทนนิ่งเฉยเมื่อแมวตัวนั้นตาย และยังต้องเป็นพยานในศาลอีกหรือ?
แม่บ้านจ้าวรู้สึกแจ้งถึงเหตุผล กลัวว่านายหญิงหลิ่วจะก่อเรื่องในช่วงนี้อีกครั้ง จึงอดทนกับเรื่องนี้
ต่อมาพ่อบ้านมาสอบถามสถานการณ์ของเฉินเสียนด้วยตัวเอง ถามว่า “อาการองค์หญิงเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีขึ้นบ้างแล้ว”
พ่อบ้านกล่าวขึ้น “ต้องการอะไรก็แค่บอกข้า ในสวนสระวสันตฤดูมีคนไม่เพียงพอ ข้าจะส่งคนมาเพิ่มสองคน”
แม่บ้านจ้าวเห็นว่าเป็นใบหน้าคุ้นเคยทั้งหมด ก็วางใจ กล่าวขึ้น “รบกวนพ่อบ้านแล้ว”
พ่อบ้านกล่าวขึ้น “เจ้าดูแลองค์หญิงที่นี่อย่างระมัดระวัง ท่านแม่ทัพไม่สนใจ แต่เราละสายตาไม่ได้ หากองค์จักรพรรดิประณามความผิด ผู้ที่จะทนทุกข์ก็คือท่านแม่ทัพของเรา”
ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างพวกเขาล้วนเข้าใจเหตุผลเข้านี้ ฉินหรูเหลียงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจ
แม่บ้านจ้าวถอนหายใจ
ฉินหรูเหลียงตั้งใจแน่วแน่ที่จะไม่ต้องการเด็กคนนี้
แม่บ้านจ้าวและอวี้เยี่ยนไม่สามารถพักผ่อนได้สักนิด จากนี้ไปในสวนสระวสันตฤดูอย่างไรก็ต้องให้คนเฝ้า เรื่องแบบนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง
เมื่อมีคนในสวนสระวสันตฤดูมารายงานว่าเฉินเสียนล้มอย่างน่าตกใจ หลิ่วเหมยอู่กับฉินหรูเหลียงก็กำลังเพลิดเพลินกับอากาศเย็นสบายในศาลาตามปกติ
ความไม่แยแสเลยสักนิดของฉินหรูเหลียงทำให้หลิ่วเหมยอู่สุขกายสบายใจ
เมื่อกลับมาสวนดอกพุดตาน หลิ่วเหมยอู่เดินท่วงท่าสบาย สะบัดพัดเล็กในมือ รอยยิ้มบนใบหน้าสดใสยิ่งกว่าฤดูใบไม้ผลิ
สถานการณ์ในปัจจุบันของเฉินเสียน ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่ตั้งครรภ์ การล้มครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องที่สามารถมองโลกในแง่ดีได้
หลิ่วเหมยอู่อารมณ์ดีอย่างยิ่ง ใครให้เฉินเสียนมาแข่งกับนางทุกเรื่องกันล่ะ ทุกอย่างนี้เฉินเสียนหาเรื่องใส่ตัวเอง!
หลิ่วเหมยอู่ยิ้มอ่อนโยนกล่าวขึ้น “เมื่อก่อนนางมีความสามารถมากไม่ใช่หรือ เหตุใดตอนนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้”
เซียงหลิงยังคงกระวนกระวายใจเล็กน้อย “องค์หญิงตกใจจนล้มลง หากรู้ว่าแมวที่ตายคือ……”
หลิ่วเหมยอู่เหลือบมองนางก่อนกล่าวขึ้น “เฉินเสียนนางสนใจหลักฐานตลอดไม่ใช่หรือ ตอนที่เจ้าไปสวนสระวสันตฤดูมีคนเห็นเจ้าไหม? ”
เซียงหลิงหวนระลึกอย่างรอบคอบ ก่อนกล่าวอย่างแน่ใจ “บ่าวมั่นใจไม่มีใครเห็นเจ้าค่ะ”
“นั่นแหละ ในเมื่อไม่มีหลักฐาน จะมีใครรู้? เมื่อวานข้าบอกท่านแม่ทัพว่าข้านำแมวกลับไปแล้ว ตอนนี้แมวตายบนเตียงเฉินเสียนที่สวนสระวสันตฤดู มันเกี่ยวอะไรกับข้า? ”
เซียงหลิงก้มหน้ากล่าว “บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ปกตินางจะฉลาดมีไหวพริบ แต่ก็ไม่เคยทำเรื่องอันตรายเช่นนี้มาก่อน แต่เจ้านายของนางคือหลิ่วเหมยอู่ คำสั่งของเจ้านายนางก็ต้องทำตาม
ภายในใจเซียงหลิงหวาดหวั่นตลอดเวลา
หลิ่วเหมยอู่กลับมองความคิดนางออก กล่าวขึ้นเบาๆ อีกครั้ง “เซียงหลิง ข้ารู้ว่าเจ้าฉลาด เรื่องเช่นนี้ที่ให้เจ้าทำ จากนี้ไปเจ้านายและบ่าวรับใช้เช่นเราก็มัดเชือกเส้นเดียวกันแล้ว หากต้องตกน้ำก็ต้องตกด้วยกัน คนฉลาดรู้ว่าควรทำอย่างไรใช่หรือไม่? ”
เซียงหลิงพยักหน้าตอบ “บ่าวทราบเจ้าคะ”
“มีแค่ข้าเท่านั้นที่ปกป้องเจ้าได้ หากเจ้าต้องการหักหลังข้าอย่างเซียงซั่น จุดจบของเจ้าจะน่าเวทนายิ่งกว่าเซียงซั่น อย่างไรแล้วจะทำร้ายบุตรองค์หญิง นั่นคืออาชญากรรมร้ายแรงกระทบกระเทือนทั้งครอบครัว”
ถึงแม้ทุกอย่างที่นางทำล้วนมาจากคำสั่งปลุกระดมจากหลิวเหมยอู่ แต่หากเรื่องแดงขึ้นมา นางก็ยากที่จะหลบหนีจากความโชคร้าย
เรื่องราวมาถึงตอนนี้ นางกับหลิ่วเหมยอู่ก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันแล้ว
เซียงหลิงหัวใจหนักอึ้ง นางไม่มีทางเลือกอื่น จึงต้องกล่าวว่า “บ่าวจะไม่หักหลังนายหญิงเด็ดขาดเจ้าค่ะ!”
แต่อีกไม่นาน หลิ่วเหมยอู่ก็ไม่สงบทุกคืน
ไม่รู้ว่าแมวมาจากที่ใด เมื่อถึงเวลากลางคืน ก็กระโดดขึ้นไปชายคาละแวกนั้น ยืนอยู่บนชายคาและร้องอย่างรุนแรง
หลิ่วเหมยอู่ฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า รู้สึกจิตใจกระสับกระส่ายตลอดทั้งวัน
ฉินหรูเหลียงสั่งคนในจวน หากตอนกลางคืนมีแมวปรากฏตัว ให้ฆ่าทิ้งเสียหมด
ต่อมาผู้ที่เลี้ยงแมวละแวกนั้นต้องเฝ้าดูแมวของตนอย่างใกล้ชิด เกรงว่าจะโชคร้ายไปด้วย
เรื่องพวกนี้อวี้เยี่ยนและแม่บ้านจ้าวเดิมทีไม่ได้ตั้งใจจะบอกเฉินเสียน
ในช่วงกลางคืน เฉินเสียนพิงหัวเตียง ขณะที่อวี้เยี่ยนกำลังป้อนยาให้นาง เธอก็กระซิบเสียงเบา “ไม่กี่คืนก่อนข้าได้ยินเสียงแมวร้องละแวกนี้ ทำไมคืนนี้ไม่มีแล้ว? ”
อวี้เยี่ยนเงียบก่อนกล่าวขึ้น “องค์หญิงรักษาสุขภาพอย่างสบายใจเถิดเพคะ ตอนกลางคืนไม่มีเสียงแมวร้องจะได้หลับสนิท”
เฉินเสียนกล่าว “แต่ได้ยินเสียงร้องนั้น ข้าถึงสบายใจขึ้น”
อวี้เยี่ยนรู้สึกอัดอั้น นิ่งเงียบไป
เฉินเสียนกล่าวขึ้นอีกหน “หากข้าไปสวนดอกพุดตานแย่งมันกลับมาเร็วหน่อย ลูกแมวอาจจะไม่ตายอย่างอนาถ แต่ข้ามักคิดเสมอ ยิ่งข้าใส่ใจมากเท่าใด หลิ่วเหมยอู่ก็ยิ่งอยากครอบครองมัน แบบนั้นก็จะยิ่งเป็นอันตรายกับมัน แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายจะทำร้ายจนมันตาย”
อวี้เยี่ยนกลั้นน้ำตากล่าวขึ้น “องค์หญิงไม่ต้องไปคิดแล้วเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวขึ้นอีกหน “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้นานแล้ว ตอนแรกที่เห็นมันหิวกระสับกระส่ายหลังครัว ก็จะไม่ป้อนมัน ให้มันแอบขโมยกินในห้องครัว ก็คงไม่อดตาย หรือไม่ก็เมื่อมันตามเจ้ามาที่สวนสระวสันตฤดู หากเราไม่เลี้ยงมัน ไล่มันไป มันก็จะไม่ตาย”
อวี้เยี่ยนกัดปาก หายใจเข้าลึกๆ “องค์หญิง ดื่มยาต่อเถอะเพคะ”
“พวกเจ้าฝังมันที่ไหน? พาข้าออกไปดูหน่อย”
เฉินเสียนยังคงลงจากเตียงไม่ได้ แต่อวี้เยี่ยนรู้ว่าหากวันนี้ไม่พาเธอไปดู เกรงว่าเธอจะกังวลกับเรื่องนี้ต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายอวี้เยี่ยนก็เปิดประตูห้อง ยืนข้างประตูและชี้ไปที่สถานที่ฝังศพให้เฉินเสียนดู
เฉินเสียนทำได้แค่มองไกลๆ ดวงตาหรี่เล็กน้อยภายใต้แสงไฟ สีหน้าสงบนิ่ง
อวี้เยี่ยนกล่าว “นางหลิ่วโหดเหี้ยมเกินไป ไม่กี่วันนี้เกรงว่าแมวละแวกนี้ออกมาประณามด้วยความคับแค้นใจ ท่านแม่ทัพกลัวส่งผลกระทบต่อการพักผ่อนนางหลิ่ว จึงส่งคนไปเฝ้าทำร้ายแมว เมื่อจับได้แล้วก็ไม่มีทางออก ตอนกลางคืนจึงไม่มีเสียงแมวร้องแล้ว”
เฉินเสียนละสายตากลับมา หลับตาลง