ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 617 อาจเป็นเพราะเธอไร้ความสามารถเกินไป
ซูเจ๋อหยุดและมองดูไกลออกไปเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ข้าพูดไปก่อนหน้านี้แล้ว ท่านยังจะให้ข้าพูดอะไรอีก ในหนึ่งชีวิตของผู้ชายมีเพียงสองสิ่งเท่านั้น อำนาจและผู้หญิง สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่อาจหลบเลี่ยง เดินตามรอยที่ผู้ชายทั่วไปทุกคนเลือกเดินกัน”
“แล้วที่ท่านบอกว่าจะพาข้าไปเที่ยวรอบโลก ท่านยังจำได้ไหม?” เฉินเสียนไม่เคยต้อยต่ำขนาดนี้ แต่เธอรู้สึกว่าถ้าซูเจ๋อไม่ทำตัวห่างเหินกับเธอ ดูต้อยต่ำสักหน่อยก็ไม่เป็นไร
ซูเจ๋อถอนสายตาจากระยะไกล และค่อย ๆ เดินลงบนทางเดินแคบ ๆ เขากระซิบอย่างแผ่วเบา “รอให้ซูเซี่ยนขึ้นครองบัลลังก์แล้วค่อยพูดเรื่องนี้กัน”
“แล้วท่านวางแผนจะทอดทิ้งข้าและอาเซี่ยนไว้ไม่ดูแลไม่ใส่ใจเลยงั้นหรือ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น” ซูเจ๋อพูดเบา ๆ “ข้าอยู่ในราชสำนัก จะพยายามปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของพวกท่านอย่างสุดความสามารถ”
ต่อมา ซูเจ๋อก็ไม่ยืนอยู่ต่ออีกต่อไป เขาเดินออกไปยิ่งเดินยิ่งไกลออกไปจากสายตาของเฉินเสียน
เฉินเสียนตะโกนใส่เขา “ซูเจ๋อ ท่านมันคนสารเลว! คนสารเลว!”
เธอตะโกนจนเสียงแหบแห้ง ไม่ว่าเธอจะด่าว่าอย่างไร ซูเจ๋อก็ไม่หันกลับมามอง ชาวนาที่ทำนาบนสันเขาและขุนนางที่ติดตามซูเจ๋อล้วนก็มองมาที่นี่
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยิ่งไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีซูยั่วยุอะไรเธอ
สองเท้าของเฉินเสียนไม่ได้อยู่ในโคลน และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกเหมือนเป็นคนที่ถูกเขาทอดทิ้ง
ใช่ ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกับถูกซูเจ๋อทอดทิ้ง ในช่วงเวลาที่เธอรักเขามากที่สุด เชื่อทุกคำที่เขาพูด เชื่อว่าจะได้อยู่ด้วยกันในอนาคตอย่างแน่นอน
แต่สุดท้ายเขาก็หันหลังออกไปก่อน เหลือเพียงเธอคนเดียว
มันช่สงทิ่มแทงหัวใจเหลือเกิน ไม่สิ มันโหดร้ายไปกว่านั้น
วันนี้เป็นวันที่สดใสและสวยงามในฤดูใบไม้ผลิ แต่เมื่อเฉินเสียนกลับมาที่วังหลวง เธอรู้สึกหมดหวัง และร่างกายก็เต็มไปด้วยโคลน ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ นางก็ไม่เคยรู้สึกอับอายขนาดนี้มาก่อน
เหล่าขุนนางต่างตกใจ และฉินหรูเหลียงซึ่งพาเฉินเสียนกลับมาก็บอกกับผู้คนภายนอกว่าองค์จักรพรรดินีบังเอิญเหยียบเข้าไปในทุ่งนา ขณะเมื่อเสด็จออกตรวจดูบริเวณชานเมือง
เมื่อเฉินเสียนกลับไปที่พระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนก็ออกมาจากห้อง
เธอไม่คิดเลยว่าเธอจะทนได้ตลอดทางจากชานเมืองจนถึงวังหลวง แต่เมื่อเธอเห็นซูเซี่ยน ดวงตาของเธอแดงก่ำ และเธอก็ร้องไห้ออกมา
ซูเซี่ยนเดินไปหาเฉินเสียนอย่างเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำ แม้ว่าเธอจะเลอะเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน แต่เขาก็กอดเธอด้วยแขนที่เปิดกว้าง
เฉินเสียนนั่งยอง ๆ กอดเขาไว้ในอ้อมแขน ซบศีรษะของเขาไว้ที่คอเล็ก ๆ และน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ
ซูเซี่ยนลูบหลังของเฉินเสียนด้วยมือเล็ก ๆ ของเขา และถามว่า “ใครรังแกท่านแม่หรือขอรับ เดี๋ยวข้าจะเรียกเขามาที่พระตำหนักไท่เหอ และเตะเขาลงไปในทะเลสาบ”
“ได้ เตะเขาลงไปในทะเลสาบ” เฉินเสียนยังคงไม่บอกว่าเป็นใคร
มีข่าวลือจางถูกแพร่กระจายในราชสำนักว่า แม้ว่าอัครเสนาบดีซูจะเป็นราชครูขององค์จักรพรรดินี แต่ดูเหมือนว่าองค์จักรพรรดินีจะเลิกกับเขาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ในวันนั้นองค์จักรพรรดินีตะโกนด่าทออัครเสนาบดีซูบนสันเขา และเรื่องนี้ก็ถูกเหล่าขุนนางพูดถึงและแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว และไม่นานทุกคนในราชสำนักก็รู้เรื่องนี้
ทุกคนต่างรอให้องค์จักรพรรดินีโจมตีอัครเสนาบดีซู แต่ก็มีความสงบแปลก ๆ อยู่ในราชสำนัก องค์จักรพรรดินีและอัครเสนาบดีซูมีความชอบซึ่งกันและกันมาก และทุกคนต่างก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม องค์จักรพรรดินีและอัครเสนาบดีก็ไม่ได้หย่อนยานกับเรื่องในราชสำนักเลย ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนกำลังต่อสู้เพื่ออำนาจอย่างเงียบ ๆ
ยิ่งการที่ซูเจ๋อหมกมุ่นกับอำนาจ ก็ยิ่งกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเฉินเสียนมากขึ้นเท่านั้น เธอไม่เพียงแต่เอาใจเหล่าขุนนางให้อยู่ฝ่ายเธอ และเธอก็ค่อย ๆ กดอำนาจของซูเจ๋อลง
เธอไม่เชื่อว่าเขาจะหลงใหลในพลังอำนาจนี้ สิ่งที่เธอเสียใจที่สุดคือเธอทำให้เขาได้เป็นอัครมหาเสนาบดีอย่างง่ายดาย
หากเธอพยายามกอบกู้พลิกสถานการณ์ หากในที่สุดเธอสามารถพลิกกระแสน้ำได้ ซูเจ๋อคงจะไม่ต้องยืนขวางทางเธออีกต่อไป?
เธอคิดว่า บางทีการที่เธอถูกทอดทิ้ง อาจเป็นเพราะเธอไร้ความสามารถเกินไป
เธอไล่ตามความสามารถของซูเจ๋อไม่ทัน แต่เธอก็ไม่ต้องการจะหยุดพัก เธอต้องการจะไล่ตามไป
เมื่อเฉินเสียนนำอำนาจการบริหารราชการแผ่นดินกลับคืนมาอย่างช้า ๆ เธอมักจะสงสัยอยู่เสมอว่าอำนาจแบบนี้มีดีอะไร? ทำไมเธอไม่รู้สึกมีความสุขเลย?
ซูเจ๋อกลับเป็นฝ่ายหลอกล่อให้เธอเข้าไปโจมตีเขา ในท้ายที่สุดเหล่าขุนนางนับร้อยก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเธอ และนโยบายใหม่ก็ถูกส่งต่อไปให้เธออย่างไร้ร่องรอย และทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาต้องการ
ในตอนกลางคืน แสงไฟในห้องอ่านหนังสือของซูเจ๋อสว่างไสว เขาใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนในการเขียนตำราขึ้น เขาเขียนได้ประมาณสามถึงห้าเล่มแล้ว ซึ่งบันทึกกลวิธีทั้งหมดในการบริหารปกครองอาณาจักรที่เขาได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต และทิศทางในอนาคตของต้าฉู่ เขากังวลมาสี่ห้าปีแล้ว เขาจะต้องเขียนแผนทั้งหมดสำหรับการบริหารปกครองอาณาจักรต้าฉู่ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ขอเพียงแค่เขานึกได้ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่
ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้ ต้องมีสักวันที่เธอจะเปิดอ่านดูอย่างละเอียด
หากอาเสียนสามารถเข้าใจสิ่งที่เขาหลงเหลือไว้เบื้องหลังอย่างรอบคอบ เขาคิดว่าน่าจะหมดกังวลภายในสิบปีนี้ อีกสิบปีข้างหน้า ต้าฉู่จะรุ่งเรือง ไม่ว่าเป่ยเซี่ยหรือเย่เหลียง อาณาจักรต้าฉู่จะไม่หวั่นเกรงอีกต่อไป
ซูเจ๋อจะระมัดระวังไม่ให้เลือดของเขาไปโดนบนหน้าหนังสือ ถ้าเขามีเลือดกำเดาไหลหรือไอเป็นเลือด เขาจะหลบออกจากโต๊ะทำงานไว้โดยเอามือปิดริมฝีปาก
เลือดสีแดงไหลออกมาจากระหว่างนิ้วที่ซีดและเย็นของเขา เป็นสีสันที่ดูว่างเปล่า
ต่อไป ก็จะเป็นสิ่งสุดท้าย
ไม่บ่อยนักที่ซูเจ๋อจะเป็นฝ่ายนัดพบเฉินเสียน
เมื่อเขาไปที่ห้องตำราหลวงขององค์จักรพรรดิ เฉินเสียนกำลังยุ่งอยู่กับงานที่โต๊ะ ซูเจ๋อรออย่างเงียบ ๆ รอให้เธอทำงานเสร็จ
และไม่รู้ว่าเป็นเวลานานเท่าไรแล้ว ที่เขาไม่ได้เห็นเฉินเสียนยิ้ม
ไม่มีการแสดงออกบนใบหน้าของเธอ ดวงตาของเธอโดดเดี่ยวและแหลมคมเหมือนแก้วและอำพัน และเธอมีความรู้สึกคลุมเครือว่าไม่มีความโกรธแต่ดูมีอำนาจ
เธอเรียนรู้ที่จะองค์จักรพรรดินีที่น่าเกรงขามในราชสำนัก และที่นี่ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุย สิ่งที่เธอเป็นคือเธอเป็นตัวแทนของศักดิ์ศรีของอาณาจักร และองค์จักรพรรดินีไม่มีเรื่องไร้สาระพูดคุย
เหมือนกับปกติที่มักจะมีปากเสียงทะเลาะกับเหล่าขุนนางในราชสำนัก ต่อไปคงไม่สามารถให้เกิดขึ้นได้อีก
ซูเจ๋อเสียใจมาก ในที่สุดก็ต้องปล่อยให้เธอเดินไปบนถนนที่เปลี่ยวเหงา
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็พูดเบา ๆ ว่า “อัครเสนาบดีซูมีเรื่องอะไรหรือ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “หม่อมฉันได้มอบหมายงานของอัครเสนาบดีไปยังฝ่ายต่าง ๆ หลังจากนี้จะเป็นการควบคุมดูแลจากศูนย์กลางโดยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหยุดการเคลื่อนไหวที่มือของเธอ มองไปที่ซูเจ๋อและกล่าวว่า “อัครเสนาบดีซูกำลังคืนอำนาจมาให้ข้าโดยสมบูรณ์งั้นหรือ? ข้าจำได้ว่าอัครเสนาบดีเคยพูดไว้ว่าท่านชอบอำนาจนี้” เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “น่าจะเป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิพูดไว้ ตอนนี้เพิ่งจะกลางฤดูร้อน”
แม้ว่าอำนาจในมือของซูเจ๋อจะเหลืออยู่ไม่มาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าของเหล่าขุนนาง มีตำแหน่งสูงศักดิ์ที่ไม่อาจสั่นคลอน
ตอนนี้เขาได้มอบหน้าที่ที่เหลือให้กับฝ่ายต่างๆ โดยมีเฉินเสียนเป็นผู้วางแผนโดยรวม และหลังจากนั้นจะเหลือเพียงแค่ตำแหน่งเท่านั้น
ซูเจ๋อกล่าว “หม่อมฉันตั้งใจจะออกจากเมืองหลวงไปสำรวจสถานที่ต่าง ๆ หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วง”
ดวงตาของเฉินเสียนเข้มขึ้น น้ำเสียงของเธอยังคงทื่อ และถามว่า “ท่านตัดสินใจจะไปที่ไหนหรือ?”
“บางแห่งมีการเก็บเกี่ยวได้ผลอุดมสมบูรณ์ในปีนี้ และบางแห่งก็ยังแห้งแล้ง ไม่มีที่ที่แน่นอน ยกเว้นไปดูด้วยตัวเองในสถานที่จริง อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในและนอกเมืองหลวงยังดีอยู่ หลังจากการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง บางส่วนของเมล็ดพืชส่วนเกินจะนำเข้าท้องพระคลัง”