ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 623 เขาดันเป็นผู้มีความอดกลั้นสูง
หลายวันต่อมา เฉินเสียนกลับมาถึงพระราชวังจากการคุ้มกันของฉินหรูเหลียง ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่โล่งใจไปหนึ่งเปลาะ
คาดไม่ถึงว่าการออกจากเมืองของอัครเสนาบดีซูจะกระทบกระเทือนจิตใจจักรพรรดินีมากเพียงนี้ คงเป็นเพราะไม่ใช่เหตุการณ์ปกติที่พบเห็นกันบ่อย ข่าวที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ยามนี้เมื่อเห็นรูพลันลอดสอดเข็ม แอบลือกระฉ่อนกันลับๆจนแพร่กระจายเป็นวงกว้างอีกครั้ง
เพียงแต่ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าเฉินเสียน อัครเสนาบดีซูไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ข่าวลือจึงไม่อาจพิสูจน์ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากพิสูจน์เรื่องนี้ได้แล้วก็จะมีผลเสียมากกว่าผลดี ฉะนั้นถึงแม้จะรู้ก็ทำเป็นไม่ประสีประสา
ตอนที่เฉินเสียนกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนก็ยืนรอเธออยู่บนสะพานแล้ว โดยมีอวี้เยี่ยน แม่นมซุยกับเสี่ยวเฮออยู่ด้านหลังเขาอย่างไม่ขาดผู้ใดเลย
เมื่อเห็นเธอปรากฏกายตรงหน้าพุ่มไม้เขียวขจี ไม่ได้แผ่รังสีสูงศักดิ์ของผู้ที่เป็นจักรพรรดินีควรมี ไม่กระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม ชี้ให้เห็นแต่เพียงความท้อแท้และเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางตะลอนๆหลายค่ำคืน
เมื่อบรรดาสาวรับใช้ข้างกายเธอเห็นสภาพเช่นนี้ ยังไม่ทันเอ่ยปากเกลี้ยกล่อมก็ดวงตาแดงฉ่ำเสียแล้ว
เฉินเสียนเดินขึ้นสะพานเล็กๆมาอยู่ตรงหน้าซูเซี่ยน เธอค่อยๆย่อตัวลงมองเขาอย่างเงียบสงบตั้งนาน
ซูเซี่ยนเป็นฝ่ายเข้าสวมกอดเธอ ร่างกายเธอแข็งทื่อ
มือเล็กกำลังตบไหล่เธอเบาๆ ประหนึ่งจะตบทุกความเจ็บปวดทรมานของเธอออกไปให้หมด
ทว่าไม่ได้ เฉินเสียนจะลบเลือนได้อย่างไร สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ ต่อหน้าซูเซี่ยน เธอจะคลุ้มคลั่ง ร้องไห้ฟูมฟายไม่ได้
เฉินเสียนซุกอยู่บนบ่าของเขา กล่าวเสียงเบาอย่างสงบจิตสงบใจว่า “ท่านพ่อของเจ้าไม่เอาแม่แล้ว วันหน้าแม่มีเพียงเจ้าแล้วนะ”
ซูเซี่ยนกล่าว “ไม่ต้องกลัวท่านแม่ ต่อไปข้าจะดูแลท่านแม่เอง”
เฉินเสียนยิ้มด้วยเสียงสะอื้น กล่าวว่า “เจ้าโตแค่นี้เอง จะดูแลแม่ได้อย่างไร เป็นแม่ที่ต้องดูแลเจ้า”
“ไม่นานลูกก็จะโตแล้ว”
เฉินเสียนกลับห้องอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้านอน เธอนอนจนมืดฟ้ามัวดิน กลับมาถึงพระราชวังตอนเช้า นอนจนถึงฟ้ามืดก็ยังไม่ออกมา
ซูเซี่ยนยังคงไปเข้าเรียนที่โรงเรียนไท่เช่นเดิม พอกลับมาก็นั่งเหม่อลอยอยู่ริมทะเลสาบ
แม่นุมซุยมาตามเขา กล่าวว่า “อาเซี่ยน ควรทานข้าเย็นแล้ว”
ซูเซี่ยนนั่งไม่ไหวติง มองผิวน้ำทะเลสาบที่เงียบสงบ มีลมเย็นโชยมาครั้งคราว ทำให้ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่นเล็กน้อย
ซูเซี่ยนกล่าว “เอ้อร์เหนียง ท่านคิดว่าสาเหตุที่ท่านพ่อของข้าไปเป็นเพราะมีความลำบากอะไรหรือเปล่า?”
แม่นมซุยเห็นแผ่นหลังอันเล็กๆของเขาโดดเดี่ยวเดียวดายก็ยิ่งรู้สึกใจสลายเป็นเท่าทวีคูณ กล่าวว่า “ต้องมีอยู่แล้ว ใต้เท้าเป็นคนเช่นนั้นเสมอ คิดเผื่อคนอื่นตลอด”
“งั้นท่านพ่อก็ไม่ใช่ไม่อยากเอาข้ากับท่านแม่จริงๆสินะ” ซูเซี่ยนถาม “ท่านแม่ตื่นหรือยัง?”
แม่นมซุยกล่าว “ยังไม่ได้เจ้าคะ”
“เช่นนั้นก็รอให้ท่านแม่ตื่นแล้วค่อยทานมื้อเย็นด้วยกัน”
“เก็บพระกระยาหารของฝ่าบาทไว้ พอพระองค์ตื่นค่อยนำไปถวาย”
ซูเซี่ยนกล่าว “ท่านพ่อบอกให้ข้าดูแลท่านแม่ดีๆ หากข้าไม่รอกินข้าวด้วยกัน ท่านแม่ต้องนอนอยู่อย่างนั้นแน่ๆ ถ้ารู้ว่าข้าหิวยังไม่ทานข้าว ท่านแม่ก็จะตื่นมาทานด้วยกัน”
เดิมทีแม่นมซุยคิดจะเกลี้ยกล่อม ทว่าถ้อยคำนี้ฟังแล้วสะเทือนใจยิ่ง จึงไม่คิดจะเกลี้ยกล่อมอีก กล่าวว่า “เช่นนั้นก็รอทานข้าวพร้อมกับฝ่าบาทด้วยกันเถอะ เมื่อครู่อวี้เยี่ยนเข้าไปปลุกฝ่าบาทแล้ว”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “คนแกล้งหลับปลุกยังไงก็ไม่ตื่น บอกให้อวี้เยี่ยนไปแจ้งท่านแม่ของข้าว่า ข้าทนหิวรอท่านแม่มาทานข้าวด้วยกัน”
และเป็นเช่นนี้จริงๆ เฉินเสียนไม่ได้ทานอาหารเที่ยง ซึ่งอวี้เยี่ยนไปเรียกหลายครั้งแล้ว จากนั้นเสี่ยวเฮอก็วิ่งไปถ่อยทอดวาจา
แม่นมซุย “อาเซี่ยนไปรอท่านแม่ที่ห้องโถงรับประทานอาหารเถอะ ที่นี่ดึกแล้วลมหนาว”
ซูเซี่ยนจึงยกเท้าขึ้นจากรั้้ว จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นเอง แต่พอเขาหันหน้ากลับไปพลันทำให้แม่นมซุยตกตะลึงพรึงเพริด
ใบหน้าเล็กเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ทั้งๆที่เขาเป็นเด็กแท้ๆ แต่ก็สามารถข่มกลั้นอารมณ์ได้ดีเยี่ยม ไม่แม้แต่จะส่งเสียงร้องไห้ออกมาสักแอะ
เขาก็เสียใจมาก เขาเพียงแต่ไม่แสดงต่อหน้าเฉินเสียนเท่านั้น
หัวใจแม่นมซุยเจ็บปวดจนใกล้สลายแล้ว กล่าวว่า “ให้แม่นมอุ้มเจ้าไปห้องโถงรับประทานอาหารหรือไม่?”
ซูเซี่ยนดึงแขนเสื้อมาเช็ดน้ำตา กล่าวว่า “ข้าเดินเองได้” สิ้นเสียงก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว
ต่อมาเฉินเสียนก็ยอมลุกขึ้นมาทานข้าว เธอกับซูเซี่ยนนั่งอยู่ข้างโต๊ะอาหาร ตักอาหารให้ซูเซี่ยนเหมือนปกติเช่นเคย กล่าวอย่างไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น “เจ้าหิวก็กินก่อนเลย หิวแล้วรอแม่ทำไม? แม่คิดจะนอนถึงพรุ่งนี้เช้า ตอนนี้ทำลายฝันหวานของแม่เสียแล้ว”
ซูเซี่ยนยกถ้วยดื่มน้ำซุป กล่าวอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน “ท่านแม่นอนมาทั้งวัน ไหนเลยจะง่วงปานนั้น”
“วิ่งเต้นข้างนอกหลายวันรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย นอนต่ออีกหน่อยคงไม่เป็นกระไรกระมัง?”
เฉินเสียนกินน้อย ส่วนมากจะมองซูเซี่ยนกิน เธอมองไปมองมาก็ใจลอยคิดถึงอีกคนหนึ่ง
ซูเซี่ยนเป็นคนชาญฉลาด ไม่บอกก็ดูออก เขาปีนขึ้นยืนบนเก้าอี้ ก่อนจะคีบอาหารอย่างไม่ชำนาญส่งไปในถ้วยของเฉินเสียน
อาหารที่เขาคีบล้วนเป็นอาหารโปรดของเฉินเสียนทั้งนั้น
ปกติเวลาทานข้าว มักเป็นเฉินเสียนที่คอยดูแลเอาใจใส่เขา เขาแค่ตั้งหน้าตั้งตากินก็พอแล้ว แต่เขาไม่เคยมองข้ามว่ามารดาของเขาชอบกินอะไรเป็นประจำ
เฉินเสียนมองถ้วยอย่างชะงัก พลางได้ยินซูเซี่ยนกล่าวว่า “ท่านแม่กินไปไม่กี่คำเอง อย่าบอกนะว่าอิ่มแล้ว กินพวกนี้ให้หมดเสียก่อนถึงจะเรียกว่ากินอิ่ม”
เฉินเสียนไม่มีความอยากอาหารเลยสักนิด ทว่าเธอก็ยังคงรับประทานอาหารในถ้วยหมด เธอคงทำตัวแย่กว่าเด็กไม่ได้กระมัง
ต่อมาทุกอย่างก็เป็นปกติตามเดิม
เฉินเสียนยังคงทำราชกิจทุกวัน ส่วนซูเซี่ยนยังคงวิริยะอุตสาหะในด้านการศึกษาเล่าเรียนเช่นเดิม เขาเป็นผู้ที่พรสวรรค์สูง เรียนรู้ไว ไม่นานก็จดจำอักษรได้จนเกือบหมดแล้ว สามารถอ่านจับใจความบทความยากๆได้แล้ว
ทุกครั้งที่ราชครูมารายงานผลการเรียนของซูเซี่ยน ต่างเอ่ยปากชื่นชมไม่หยุดหย่อน เกือบคุ้ยหาจุดผิดไม่ได้เลย
เมื่อก่อนเฉินเสียนรู้สึกว่าซูเซี่ยนยังไม่ถึงวัยเรียนตำรา เขาควรมีวัยเด็กที่สดใสร่าเริง หากเขาไม่อยากร่ำเรียน เฉินเสียนก็ไม่บังคับ เหล่าราชครูจึงไม่เคยมาสรุปผลการเรียนของซูเซี่ยนต่อหน้าเธอ
ครั้งนี้เป็นราชครูเป็นฝ่ายทูลเข้าเฝ้าเอง กล่าวว่าทุกๆเจ็ดวันจะต้องสรุปผลหนึ่งครั้ง โดยได้รับคำสั่งจากอัครเสนาบดีซู ดังนั้นพวกเขาจะรายงานผลการเรียนให้อัครเสนาบดีซูทุกครั้ง ยามนี้อัครเสนาบดีซูไม่อยู่ในราชสำนัก จึงได้แต่มารายงานให้เฉินเสียนทราบ
เฉินเสียนนั่งอ่านหนังสือที่ราชครูนำมาถวายหน้าโต๊ะ ภายหลังราชครูกล่าวอะไรเล็กน้อย ซึ่งเธอไม่มีแนวคิดอันใดเลย เธอพลิกหน้ากระดาษด้วยนิ้วสั่นระริก เพราะด้านในมีลายมือของซูเจ๋อ โดยเนื้อหาจะเป็นวิธีการสอนซูเซี่ยน ถึงแม้จะเขียนให้ราชครูดู แต่กลับตั้งใจเขียนอย่างละเอียด
เนื้อหาที่ราชครูสอนทุกวัน ล้วนได้รับการถ่ายทอดมาจากซูเจ๋ออีกทีหนึ่ง สิ่งเดียวที่จินตนาการในยามนี้ก็คือ ซูเจ๋อนั่งเขียนเรื่องพวกนี้อยู่บนโต๊ะ