ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 629 วันส่งท้ายปีเก่าปีนั้น
ยอมรับว่าขี้เหล้ามากเกินไป อีกทั้งนานมากแล้วที่ไม่ได้ดื่มอย่างถึงอกถึงใจเช่นนี้ หลังจากที่ดื่มอย่างมีความสุขสนิทสนมกันอย่างดี เย่ซวิ่นเมาเหล้าเล็กน้อย เขาเอียงศีรษะแล้วมองเฉินเสียนอยู่ตลอด
นานแล้วที่ไม่ได้พบเจอเธอ พบว่าเธอมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจริงๆ
เย่ซวิ่นยิ้มเอ้อระเหยกล่าวขึ้นว่า “ท่านผอมกว่าครั้งก่อนมาก ขอบและมุมแบ่งอย่างชัดเจน ”รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆหายไป เปลี่ยนเป็นสงสารจับใจ แล้วกล่าวว่า “ในเมื่อภายในใจเจ็บปวดทรมาน เหตุใดจะต้องสะกดความรู้สึกไม่แสดงออกมา มาดื่มเหล้า ข้าจะร่วมดื่มกับท่าน รอพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมา ทั้งหมดล้วนหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว”
แต่น่าเสียดายที่เฉินเสียนมีสติอยู่ตลอด เธอจำได้ว่ามีคนเคยพูดกับเธอ บอกเธอว่าอนาคตไม่ต้องสัมผัสกับเหล้า เป็นเช่นนั้นจริงต่อมาเธอไม่ได้สัมผัสดื่มเหล้าสักหยด
ไม่เกิดขึ้นบ่อยครั้งที่เธอจะเทเหล้าใส่จอกให้กับเย่ซวิ่นด้วยตนเอง แล้ว กล่าวว่า “ยากที่จะได้ออกมา ชอบดื่มก็ดื่มให้มากสักหน่อย”
เดิมทีเย่ซวิ่นมามอมเหล้าให้เฉินเสียนเมา คิดไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายเขากลับถูกเฉินเสียนมอมเหล้าจนเมาหัวปักหัวปำ
เพื่อที่จะหยอกล้อทำให้เฉินเสียนมีความสุข เขาเริ่มที่จะพูดเรื่องตลก พูดเรื่องสนุกเกี่ยวกับเย่เหลียง จนกระทั่งพูดเรื่องที่ไม่ดีทำให้วางตัวไม่ถูกขององค์จักรพรรดิเย่เหลียงที่เป็นเสด็จพ่อของเขาออกมา พูดว่าในพระราชวังของเสด็จพ่อเขามีพระสนมเท่าไหร่ หนึ่งเดือนต้องไปกี่ครา ตอนสมัยเป็นวัยรุ่นกระฉับกระเฉงในคืนหนึ่งจะต้องไปหลายสถานที่
เย่ซวิ่นกล่าวแนวคิดภายในใจของเขาออกมาว่า “เป็นองค์จักรพรรดิหรือ จะต้องพระราชทานพระเมตตาอย่างทั่วถึง ไม่อย่างนั้นคนหนึ่งอยู่ที่วังหลังเพียงลำพัง บุคคลอื่นก็มองเขาเป็นหนามยอกอก มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเกลียดชังเคียดแค้น”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เช่นนั้นสุขภาพร่างกายขององค์จักรพรรดิเย่เหลียงก็ไม่เลวนะ”
“ใช่หรือ ราชวงศ์เย่เหลียงของข้าผลิตดอกออกผลเร็ว ทายาทสืบสกุลมากมาย ไม่เหมือนต้าฉู่ ที่วังเวง โดดเดี่ยวเดียวดายเหี่ยวเฉา ”
“เช่นนั้นความสามารถที่พระองค์จัดการงานเกี่ยวบ้านเมืองต้องแข็งแกร่งอย่างแน่นอน”เฉินเสียนกล่าว
“ก็ได้อยู่ อำนาจอิทธิพลของราชวงศ์ก่อนหน้าล้วนอาศัยการบำรุงขวัญของวังหลังมาทำให้สมดุลกัน”
“ยากลำบากเป็นอย่างมาก”เฉินเสียนกล่าวถามอย่างราบเรียบว่า “เจ้าคิดว่าเย่เหลียงดีหรือว่าต้าฉู่ดี”
“ต่างกรรมต่างวาระ จะนำมาเปรียบเทียบกันมิได้หรอก”
“เช่นนั้นพละกำลังของเย่เหลียงเทียบเทียนกับต้าฉู่แล้วเป็นอย่างไร?”
เย่ซวิ่นอยากจะพูดคุยกับเฉินเสียนมากๆ สติอันน้อยนิดหนึ่งที่เหลืออยู่ในสมองของเขาพยายามบอกว่าไม่สามารถนำเรื่องของเย่เหลียงมาบอกกล่าวกับขุนนางต้าฉู่ตามอำเภอใจได้ แต่เขาไม่สามารถควบคุมลิ้นของตัวเองได้เลย
ด้วยเหตุนี้เฉินเสียนถามเกี่ยวกับพละกำลังของเย่เหลียง เย่ซวิ่นก็บอกว่าพละกำลังในเย่เหลียงมีเมืองใหญ่เท่าไหร่ สถานที่ไหนค่อนข้างร่ำรวยมั่งคั่ง กองกำลังทหารหลักๆอาศัยรายได้อะไร
เฉินเสียนถามเกี่ยวกับกองกำลังทหารของเย่เหลียง เย่ซวิ่นก็บอกเธอว่าเย่เหลียงมีกองทัพใหญ่อยู่เท่าไหร่ แบ่งพักอยู่สถานที่ไหนบ้าง
จนกระทั่งเฉินเสียนถามว่าอนาคตองค์ชายท่านไหนอาจจะเป็นผู้สืบทอดของเย่เหลียง เย่ซวิ่นก็ทำการแยกแยะแจกแจงให้กับเธออย่างละเอียด บอกสิ่งที่ดีและไม่ดีขององค์ชายเหล่านั้นออกมา
พูดไม่รู้เรื่องรู้ราวอยู่ครึ่งค่อนคืน
เย่ซวิ่นเมาจนกลายเป็นโคลนตม เขายังต้องการที่จะปีนขึ้นไปบนเตียงของเฉินเสียน บ่นเสียงอุบอิบๆว่า “วันนี้ข้าจะนอนที่นี่……ข้าจะนอนกับท่าน……ท่านไม่มีเขาแล้ว….. แต่ข้ายังอยู่ ท่านว่าใช่หรือไม่……”
เฉินเสียนสะบัดชุดลุกขึ้น เรียกอวี้เยี่ยนเข้ามา แล้วกล่าวว่า “โยนเขาออกไปนอกพระตำหนักไท่เหอ”
ด้วยเหตุนี้อวี้เยี่ยนเลยได้เรียกนางกำนัลจำนวนหนึ่งมา นำเย่ซวิ่นไปทิ้งไว้ที่ฝั่งตรงข้าม
อากาศหนาวเหน็บ ไม่นานเย่ซวิ่นก็ทนไม่ไหว หนาวจนตัวสั่น เขาได้สติขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เวลาต่อมาในค่ำคืนนี้เลยได้พักที่พระตำหนักฉีเล่อ
วันต่อมาสร่างเมา เย่ซวิ่นปวดหัวอย่างมาก แต่นี่ไม่ใช่สิ่งเร่งด่วนและสำคัญ สิ่งเร่งด่วนและสำคัญคือนึกถึงเรื่องเหล่านั้นที่เมื่อคืนได้บอกกับเฉินเสียน รู้สึกเสียใจภายหลังเป็นอย่างมาก
เขาแทบอยากจะตบปากของตนเอง พูดเรื่องสำคัญของเย่เหลียงให้หญิงผู้นั้นฟังอย่างตามอำเภอใจได้อย่างไรกัน!
ครั้นแล้วเย่ซวิ่นก็เริ่มสำนึกได้ เมื่อคืนราวกับว่าเขาถูกหญิงคนนั้นมอมเหล้า ตัวเธอเองไม่ได้ดื่มเหล้า เป็นเขาเองที่ไม่หยุดดื่มตลอดมา!
เย่ซวิ่นไปด่าทออยู่ด้านนอกห้องตำราหลวงพักหนึ่ง โดยพื้นฐานแล้วไม่มีผู้ใดสนใจ เขาพักอยู่ที่พระตำหนักฉีเล่อเป็นการชั่วคราว กลับมากินมื้อเที่ยงก็เริ่มพิจารณาขั้นต่อไป
เขาไม่เชื่อว่าเขารักษาเฉินเสียนไม่ได้
รอตอนค่ำคืน พระตำหนักไท่เหอไม่เหมือนกับอดีต ไม่เงียบเหงาวังเวงแล้ว วันนี้แสงไฟสว่างไสว การฟ้อนรำร้องเพลงกันอย่างสงบสุขสนุกสนาน
เมื่อตอนที่เย่ซวิ่นอยู่ในพระตำหนักเย็นได้มีการจัดเรียงการฟ้อนรำร้องเพลงที่เขาคิดว่าดีและสนุกวันนี้เขานำมาที่พระตำหนักไท่เหอ
เวลานั้นเฉินเสียนเข้ามา เห็นนางกำนัลเต้นระบำฉวัดเฉวียนฉับไวกับผ้าบางเบาอยู่ มีเย่ซวิ่นนั่งมองอยู่ด้านบนอย่างมีความสุข ยังไม่หยุด เย่ซวิ่นยังพาซูเซี่ยนมาชมด้วย
ซูเซี่ยนนั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กแล้วมองอย่างตั้งใจ มองจนตาไม่กระพริบ
เย่ซวิ่นกล่าวกับเขาว่า “เจ้าคือองค์ชายใหญ่ อนาคตเป็นมกุฎราชกุมาร อย่าเลียนแบบอย่างท่านพ่อเจ้าที่ไร้รสนิยม เป็นองค์ชายต้องรู้จักผ่อนคลายและเสพสุข ”เขายกเหล้าจอกหนึ่งมอบให้แก่ซูเซี่ยน “มา ลิ้มรสเหล้านี้ ทำให้เจือจางแล้ว อร่อยไม่ทำให้คนเมา”
ซูเซี่ยนเพิ่งยกจอกเหล้า ก็มองเห็นกับตาว่าเย่ซวิ่นถูกพันรอบคอด้วยเชือกมัดมือไพล่หลังแล้วทิ้งลงทะเลสาบ
แต่ตอนนี้เป็นเหมันตฤดู แม้ว่าในทะเลสาบจะอบอุ่น แต่ก็มีสิ่งที่เขาสบายใจ
เย่ซวิ่นโมโหด่าอยู่ในน้ำว่า “เฉินเสียน ท่านผู้นี้สรุปว่ามีจิตใจที่รู้บาปบุญคุณโทษหรือไม่!ข้ามีความหวังดีมาโน้มน้าวใจท่าน ทำให้ท่านมีความสุข!ท่านไม่ใช่ว่าสูญเสียชายไปผู้หนึ่งหรือ บนโลกนี้มีชายมากมาย!”
อยู่ในทะเลสาบเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง ตอนที่เย่ซวิ่นกลับมาที่พระตำหนักของตนเอง หนาวสั่นทั้งตัวสูญเสียความรู้สึกไปเลย
เขาป่วยอยู่สองวัน ไม่รู้ว่ากำลังวังชาจิตใจที่ดีเช่นนี้มาจากที่ไหนกัน เขายังวางอำนาจบาตรใหญ่อยู่ที่วังหลังต่อไป เขาเดินแนวตั้งและเดินแนวนอนล้วนไม่มีคนสนใจเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
แม้แต่เป็นคู่อริเฉินเสียนก็ไม่เป็นกับเขา
ค่ำคืนวันส่งท้ายปีเก่า ในหมู่อาณาประชาราษฎร์ทั่วไปล้วนมีความสนุกคึกครื้น
หนึ่งปีแล้วหนึ่งปีอีกครั้ง
ในพระราชวังได้เตรียมดอกไม้ไฟไว้ เฉินเสียนกลับมาจากหลังตำราหลวงนานแล้ว หลังจากกินอาหารเย็นกับซูเซี่ยนเสร็จ เธอนั่งอยู่หน้าพระตำหนักไท่เหอ เงยหน้าขึ้นมองดอกไม้ไฟ
ดอกไม้ไฟเตรียมไว้เพียงพอ สามารถจุดได้จนฟ้าสาง ให้เธอมองได้ทั้งคืน
ที่จริงไม่มีสิ่งใดน่าดู ดอกไม้ไฟง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงจางหาย เธอเพียงแค่อยากได้ยินเสียงของมันที่อยู่ในท้องฟ้ายามค่ำคืน สีสันหลากหลายของดอกไม้ไฟสะท้อนที่ใบหน้าของเธอ
เฉินเสียนทอดถอนหายใจออกมา สัมผัสไม่ได้ว่าโลกมนุษย์นี้มีกลิ่นควันดอกไม้ไฟเท่าไหร่กัน
ในสมองของเธอมักดึงดันฉายภาพ ส่งท้ายปีเก่าปีนั้น
วันส่งท้ายปีเก่าปีนั้น บนถนนที่เงียบวังเวงเขากุมศีรษะเธอไว้แล้วจูบเธอจนไม่สามารถควบคุมได้
วันส่งท้ายปีเก่าปีนั้น เขาพาลูกจัดเตรียมประทัดที่เป็นตับอยู่ภายในเรือน พริบตาเดียวตอนหันกลับไป บนศีรษะก็เป็นดอกไม้ไฟอย่างนี้
หนึ่งปีเป็นการเริ่มต้น หนึ่งปีเป็นการสิ้นสุด
ตั้งแต่ต้นจนจบแววตาของเธอเรียบเฉย ไม่สุขไม่เศร้า
ในหมู่อาณาประชาราษฎร์คนทั่วไปล้วนประหลาดใจ เหตุใดปีนี้ดอกไม้ไฟในพระราชวังถึงจุดไม่หยุดเลย แต่เหล่าอาณาประชาราษฎร์ยิ่งมีความคึกครื้นรื่นเริงมากขึ้น
ใกล้จะถึงเวลาห้าทุ่มถึงตีหนึ่ง ในวังหลังไม่ได้ยินเสียงประทัดของอาณาประชาราษฎร์ดังแล้ว แต่เสียงดอกไม้ไฟยังคงมีพลังดังสนั่นเหมือนเดิม
เย่ซวิ่นเดินมาที่พระตำหนักไท่เหอด้วยความโมโห และก็ได้ถูกทหารอารักขารั้งไว้
ฉินหรูเหลียงเฝ้าอยู่ที่ฝั่งตรงข้ามตลอด มองเงาที่อ้างว่างที่อยู่ในพระตำหนักไท่เหอ
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “ปล่อยข้าข้ามไป!วันนี้ข้าจะด่านางให้ตื่น!”
ทหารอารักขาดึงกริชออกมา แต่ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงกล่าวด้วยน้ำเสียงอึมครึมว่า “ปล่อยองค์ชายหกข้ามไป”เขาจะไม่อยากให้เธอได้สติกลับมาที่ไหนกันล่ะ
เย่ซวิ่นราวกับลม ที่แฉลบผ่านสะพานไป แล้วมาอยู่ด้านหน้าเฉินเสียน ร่างของเขาบังการมองเห็นดอกไม้ไฟของเฉินสียน แต่ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงบอกให้เขาหลีก ก็ถูกเขาดึงลากแล้ว