ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 631 ซูเจ๋อ ท่านกลับมาใช่หรือเปล่า?
เฉินเสียนนึกขึ้นได้ ตอนนั้นรู้สึกว่าซูเจ๋อเคยพูดถึงว่าเขานั้นได้ทำเอกสารฉบับหนึ่งหายไป นึกไม่ถึงเลยว่าจะหาเจอที่นี่
ตอนนั้นซูเจ๋อบอกว่าทำหายไปแล้ว แล้วทำไมเขาถึงให้พ่อบ้านเอาไปเผาทิ้งล่ะ?
ถึงแม้ว่าพ่อบ้านจะเก็บเอกสารแผ่นพับนี่ไว้ แต่ก็ไม่ได้เปิดดูเนื้อหาภายใน เพราะฉะนั้นจึงไม่รู้ว่าข้างในนั้นคืออะไร
เฉินเสียนเปิดดูทีละหน้า เมื่อเปิดถึงหน้ากลาง เธอก็ได้หยุดชะงักไป
บนแผ่นหน้ากระดาษที่สีออกเหลืองนั่นมีคราบเลือดอยู่ด้วย
ร่างกายของเธอเย็นเฉียบขึ้นมาทันที ค่อยๆ ลูบคราบเลือดเบาๆ ด้วยมือที่สั่นเทา คราบเลือดนั้นแห้งไปแล้ว เหมือนคราบเลือดที่ทำเปื้อนทิ้งไว้ตั้งนานแล้ว
เฉินเสียนอ้าปากค้าง พยายามที่จะข่มความสั่นเทานั่นไว้ พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เจ้าเคยได้เปิดจุลสารฉบับนี้ดูหรือไม่”
พ่อบ้านตอบกลับไปว่า : “บ่าวมิบังอาจเปิดอ่าน จึงไม่เคยดูเนื้อหาข้างในสักครั้งขอรับ”
จู่ๆ เฉินเสียนเหมือนจะเข้าใจได้ ว่าทำไมซูเจ๋อถึงต้องโกหกว่าจุลสารฉบับนี้ได้หายไป แล้วทำไมถึงต้องสั่งให้พ่อบ้านเผามันทิ้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเททำมันมาอย่างยากลำบาก คำตอบทั้งหมดมันอยู่ในนี้นี่เอง เธอรู้สึกเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้าขึ้นมาทันที
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วพับจุลสารฉบับนั้น กอดไว้ในอ้อมกอด เดินออกจากห้องตำรา ตรงไปยังป่าไม้ไผ่อย่างรีบร้อน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าอยากจะอยู่คนเดียวสักพัก ไม่ต้องมาสนใจข้า”
เฉินเสียนเดินเข้าไปในป่าไม้ไผ่ เงาของเธอค่อยๆ กลืนหายไปในดงไผ่ เหลือทิ้งไว้เพียงลมพัดที่บางเบาและเสียงซาของป่าไม้ไผ่
สำหรับเธอแล้วที่แห่งนี้ถือเป็นที่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความทรงจำอันหวานล้ำ ที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของเธอและซูเจ๋อ แต่มาตอนนี้เหลือไว้เพียงความทรงจำที่แสนจะบีบหัวใจ
เธอถูกกักขังด้วยความเจ็บปวดทรมานโดยที่ไม่สามารถหลบหนีได้
เธอนึกอยู่เสมอว่าตราบใดที่เธอไม่ยอมเชื่อว่าซูเจ๋อเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ เธอก็จะยังพอเหลือความหวังอันน้อยนิด และคงเพียงพอจะปลอบประโลมหัวใจที่สิ้นหวังของเธอ ให้สามารถผ่านพ้นความมืดมิดที่แสนจะยาวนานนี้ไปได้
เธอยังคงเดินหน้าไปตามทางของป่าไม้ไผ่ เดินผ่านดงไผ่ไปยังสุดทางเดิน และยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ขาของเธอเหยียบลงไปในสระน้ำช้าๆ แล้วจู่ๆ ก็ทิ้งตัวนั่งลงตรงริมสระ
มือทั้งคู่ของเธอจับจุลสารฉบับนั้นแนบแน่น เธอออกแรงบีบจนนิ้วมือของเธอบิดเบี้ยวไปหมด เธองอเข่าเข้าหาตัวเอง กอดจุลสารฉบับนั้นอย่างแนบแน่นในอ้อมกอดสุดแรง
ผมที่ยาวประบ่าของเธอค่อยๆ ทิ้งตัวลงมาบดบังใบหน้า เธอก้มศีรษะลงภายใต้ความเงียบสงัดนี้
ความรักที่มาถึงจุดสิ้นสุด ก็คงจะเป็นเฉกเช่นเฉินเสียนในตอนนี้
เธออ้าปากค้าง เจ็บปวดจนหน้าผากของเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเฉียบ หายใจด้วยอาการหอบ แต่เธอกลับร้องไห้ไม่มีเสียง
เธอจะไม่ยอมร้องไห้เสียงดังเป็นอันขาด แบบนี้ก็เท่ากับว่าเธอไม่ได้ยอมรับมัน เขาจากไปแล้วจริงๆ นะหรือ?
เธอพยายามจะกอดตัวเองให้แน่น กอดรัดตัวเองให้แน่นกลม พยายามใช่เรี่ยวแรงทั้งหมดที่เธอมี แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งหัวไหล่ที่กำลังสั่นเทาของเธอได้
บนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวที่แพรวพราว สะท้อนภาพลงบนผิวน้ำ ราวกับไอหมอกที่กำลังลอยขึ้นจากผิวน้ำก็ไม่ปาน
คนคนนั้นที่เคยร่วมชมจันทน์กับเธออยู่ที่นี่ ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ไม่มีแล้วคนที่จะคอยโอบกอดเธอ คนที่จะคอยกระซิบข้างหูของเธอด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
เฉินเสียนเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว มือที่จับจุลสารฉบับนั้นค่อยๆ คลายตัว ร่วงลงสู่พื้น เธอที่นั่งอยู่ในตอนแรก ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นนอนขดตัวอยู่บนพื้น เธอกำคอเสื้อของตัวเองอย่างสุดแรง เส้นเลือดบนขมับของเธอนูนปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เพราะอะไร…… ”
“ทำไมท่านถึงทำกับข้าเช่นนี้……” เสียงกระซิบที่แหบพร่าถูกเปล่งออกมาจากลำคอของเธอ : “ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไว้คนเดียว……”
ในป่าไผ่เงียบสนิท ทันใดนั้นเองจู่ ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นในโสตประสาทของเฉินเสียน ดังมาจากทิศทางของทางเดินในป่าไผ่
เขาเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้วจึงปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเฉินเสียน
เฉินเสียนหันกลับไปมองทันที ในแววตาที่ท่วมท้นไปด้วยความหวังที่แตกสลาย ดวงตาที่พร่ามัว เธอถามขึ้นด้วยน้ำตานองหน้าว่า : “ซูเจ๋อ ท่านกลับมาใช่หรือเปล่า?”
แต่เมื่อเห็นว่าคนที่ปรากฏตัวขึ้นนั้นไม่ใช่ซูเจ๋อ นัยน์ตาของเธอก็มืดมนไร้ซึ่งความสว่างในทันที
นี่คือด้านที่อ่อนแอและสิ้นหวังที่สุดของเธอ
ทั้ง ๆ ที่เธอเป็นถึงองค์จักรพรรดินีแห่งราชอาณาจักร สูงสุดเหนือใต้หล้า แต่ตอนนี้ฉินหรูเหลียงกลับรู้สึกว่าที่แท้แล้ว เธอสูญสิ้นทุกอย่างไม่หลงเหลืออะไร และน่าสงสารจับใจแค่ไหน
เธอเงียบสงบมาตลอดทางเดิน ฉินหรูเหลียงเดินเป็นเพื่อนอยู่ข้างๆ เธอ และคอยสังเกตเธอมาตลอดทาง
บางทีอาจเป็นเพราะเธอเคยควานหาจนทั่วทั้งแม่น้ำฉวี่เจียงด้วยตัวเอง อาจเพราะเคยเฝ้ารออยู่ตรงนั้นทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่ไปไหน เคยผ่านสนามรบด้วยความบ้าคลั่ง เคยผ่านช่วงเวลาที่ท่วมท้นไปด้วยความหวังจนไปถึงจุดที่ไร้ซึ่งความหวัง จนไม่หลงเหลืออะไรให้เสียใจอีกต่อไปแล้ว
ฉินหรูเหลียงยังจำเหตุการณ์ที่เธอสู้รบกับชาวหมานอี๋ได้เป็นอย่างดี ตอนนั้นเธอตั้งใจจะตายในสมรภูมิรบเสียด้วยซ้ำ
ฉินหรูเหลียงรู้สึกโศกเศร้าและเจ็บปวดขึ้นมาจับใจ แต่เขาก็ไม่อาจแบ่งเบาหรือสามารถเจ็บปวดแทนเธอได้แม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เขาพอจะทำได้ก็คือการคอยอยู่เป็นเพื่อนข้างๆ เธอก็เท่านั้น
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นว่า : “อยากจะร้องก็ร้องออกมาให้สุดเถอะ อยู่ตรงนี้ไม่มีใครได้ยินหรอก”
ต่อมา ฉินหรูเหลียงพิงอยู่ข้างๆ ต้นไผ่ เฉินเสียนที่หันหลังให้เขาและกำลังก้มหน้ากอดเข่าตัวเองอยู่ เขามองเห็นเพียงแผ่นหลังอันบอบบางที่แสนจะเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย สั่นเทาเบาๆ แต่กลับไม่ได้ยินเสียงร้องไห้ของเธอเลย
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า : “เขาเคยบอกว่าจะอยู่เคียงข้างและคอยปกป้องข้ากับอาเซี่ยนตราบชั่วชีวิต”
“เพราะเขารู้ว่าตัวเองกำลังจะตายหรือ คนที่ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของชีวิต มักจะมีสัญญาณและลางสังหรณ์เสมอ”
“ชั่วชีวิตน่ะหรือ ที่แท้แล้วเขาหมายถึงชั่วชีวิตของเขาเองต่างหาก ไม่ใช่ชั่วชีวิตของข้ากับอาเซี่ยน”
จู่ๆ เฉินเสียนก็รู้สึกเข้าใจในคำพูดที่ซูเจ๋อเคยพูดไว้เมื่อตอนนั้น ในคืนสุดท้ายก่อนวันตรุษจีน
เขาบอกว่า จะไม่ให้เธอเห็นภาพที่เขาหลับตา เพื่อที่จะให้เธอรู้สึกว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่
เมื่อคิดๆ ดูแล้ว ที่แท้ก็มีความหมายอย่างนี้นี่เอง
เขาละเลยและเย็นชาต่อเธอ ออกห่างจากเธอ เขาพยายามวางแผนและจัดการทุกอย่างก่อนที่เขาจะจากไป ทำให้เธอเกลียดชังและโกรธเกลียดเขา เพื่อที่ว่าในวันที่เขาจากไป เขาก็จะจากไปอย่างเงียบเชียบไร้ซึ่งสุ้มเสียงข้างนอกนั่นคนเดียว!
เขาไม่ยอมให้เธอหาเขาเจออย่างเด็ดขาด แม้แต่กระดูกหลังความตายของเขา
ภายใต้ความใจจืดใจดำและความเฉยชาของเขา ล้วนแฝงไปด้วยความรักที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งไหนเสียอีก
เฉินเสียนเจ็บปวดจนเกินบรรยาย เธอเจ็บปวดจนสำลักออกมา การสำลักครั้งนี้ เธอไม่อาจจะหยุดมันได้อีกเลย
ฉินหรูเหลียงเดินเข้ามาข้างหน้า เขาปลดชุดคลุมของเขาคลุมลงบนตัวเธอ แล้วโอบไหล่ของเธอเบาๆ จึงเพิ่งจะรู้ว่าร่างกายของเธอนั้นเย็นเฉียบถึงเพียงนี้
เฉินเสียนใช้มือปิดปากตัวเองแน่น ฉินหรูเหลียงก็เห็นว่ามีเลือดซึมออกมาจากซอกนิ้วมือของเธอ เขาอึ้งไปชั่วขณะ รีบอุ้มเฉินเสียนขึ้นมา แล้วหมุนตัวกลับไปทันที
เฉินเสียนกอดจุลสารของซูเจ๋อในอ้อมกอดแนบแน่นด้วยความหวงแหน และแขนอีกข้างของเธอก็ได้พลัดร่วงจากไหล่ของฉินหรูเหลียง ใบหน้าของเธอขาวซีดและสะลึมสะลือใกล้จะหมดสติ
ฉินหรูเหลียงอุ้มเธอขึ้นบนหลังม้า มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางของวังหลวง เธอยอมที่จะระบายมันออกมาเช่นนี้ ก็แสดงว่าภายในหัวใจของเธอคงจะเจ็บปวดจนแตกสลายไปแล้ว
ลมที่หนาวเย็นพัดเส้นผมของเฉินเสียนบางเบา เธอหรี่ตาลงอยู่ในอ้อมแขนของฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงเพียงก้มหน้าลง คางของเขาก็สัมผัสโดนท้ายทอยของเธอ เขาหอมผมของเธอเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อีกเดี๋ยวก็จะถึงแล้ว”
ภายใต้เสียงฝีเท้าของม้า ยังคงได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนล้าของเฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ข้าคงไม่คู่ควรที่จะรักเขา ทั้งๆ ที่เขาป่วย แต่ข้ากลับไม่รู้อะไรเลย ข้ารู้เพียงว่าทุกๆ สิ่งที่เขาทำนั้นมันผิดปกติและมีพิรุธ และข้าก็ไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้มาจากใจจริงของเขา แต่ข้ากลับไม่เคยสังเกตเห็นเลย ว่าเขากำลังจะตายแล้วแท้ๆ”
“เป็นข้าเองที่ไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน ข้ายังนึกว่าหากข้าอธิษฐาน เขาก็จะมีอายุที่ยืนยาว ข้ามันช่างไร้เดียงสาเสียจริง”
เธอถอนหายใจเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้ามันสมควรที่จะได้รับบทลงโทษ คนที่สมควรจะตายควรเป็นข้าถึงจะถูก”
เฉินเสียนผู้ซึ่งเคยดื้อรั้นและแกร่งกล้า ผู้ที่ไม่เคยย่อท้อและยอมพ่ายแพ้แม้ว่าจะยากเย็นถึงเพียงไหน แต่ตอนนี้ เธอกำลังค่อยๆ ละทิ้งแม้กระทั่งตัวเธอเอง
ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นด้วยความเจ็บปวดว่า : “เขาเป็นคนแบบไหนท่านยังไม่เข้าใจอีกหรือ เขาระมัดระวังตัวเสียยิ่งกว่าอะไรดี ไม่ว่าจะทำการใดเขาไม่เคยเลยที่จะผิดพลาดหรือรั่วไหลเลยแม้แต่นิดเดียว หากเขาไม่มีเจตนาจะให้ท่านรับรู้ ท่านก็จะไม่สามารถรู้อะไรได้เลยแม้เพียงเศษเสี้ยว นี่คือสิ่งที่เขายืนกรานจะทำ มันไม่ใช่ความผิดใดๆ ของท่านเลย”
เฉินเสียนได้หลับตาลง เธอไม่ได้ตอบอะไรออกมาอีก