ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 633 ชั่วชีวิต มันช่างยาวนานเสียเหลือเกิน
เขายังเด็กขนาดนี้ ยังไม่ทันจะได้เติบโตด้วยซ้ำ แม้ว่าใต้หล้านี้จะโหดร้าย แต่ยังมีสิ่งสวยงามอีกมากมายที่เขายังไม่เคยได้สัมผัส จะให้จากไปทั้งแบบนี้ได้อย่างไรกันเล่า?
เธอไม่ยอมหรอก จะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้น : “อวี้เยี่ยน ไปเอายาของข้ามาหน่อย ข้าจะดื่มยา”
เมื่ออวี้เยี่ยนได้ยินแล้ว ก็รู้สึกทั้งจุกอกและดีใจในคราวเดียวกัน นางรีบขานรับ แล้วหมุนตัวออกไปเอายาทันที
เมื่อเฉินเสียนดื่มยาหมดแล้ว ก็ได้พูดขึ้นกับซูเซี่ยนว่า : “อาเซี่ยนเจ้าดูสิ วันข้างหน้าแม่จะดื่มยาอย่างเคร่งครัด จะดูแลรักษาและฟื้นฟูร่างกาย แม่จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน จะไม่ให้เจ้าต้องเหนื่อยอีก เจ้าจะต้องหายดี รู้หรือเปล่า?”
หมอหลวงรีบลดอาการไข้ของซูเซี่ยนจนมือไม้พันกันไปหมด เฉินเสียนรู้สึกเกลียดที่เธอทำได้เพียงแค่ยืนดูอยู่ข้างๆ เท่านั้น เพราะร่างกายของเธอนั้นอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง จึงไม่สามารถทำอะไรได้
เธอมัวแต่คิดถึงแค่ซูเจ๋อคนเดียว จนมองข้ามและละเลยอาเซี่ยนไป เธอเป็นผู้ใหญ่ทั้งคนแท้ๆ แต่กลับให้เด็กที่อายุเพียงแค่ห้าขวบมาดูแล
มันชั่งน่าเจ็บใจเสียจริง
การป่วยของซูเซี่ยน เป็นเหมือนยาบำรุงที่ฉีดเข้าไปในหัวใจของเฉินเสียน……เธอจะล้มไม่ได้เป็นอันขาด เธอยังมีอาเซี่ยน เธอยังต้องคอยอยู่เคียงข้างจนเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่
เฉินเสียนออกจากห้องของซูเซี่ยน พยายามอย่างมากที่จะให้กำลังใจตัวเอง เธอได้สั่งให้หมอหลวงเพิ่มปริมาณยาให้มากขึ้น ทานยาอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ ให้ความร่วมเป็นอย่างมากในการฟื้นฟูร่างกาย เพื่อที่จะให้ตัวเองหายดีขึ้นมาในเร็ววัน
เธอจะไม่ให้ซูเซี่ยนหยุดเดินเหมือนเธอในตอนนี้อย่าเด็ดขาด
ซูเซี่ยนเป็นลูกชายของเขา ควรจะเป็นเธอที่เป็นคนดูแลเขาต่างหาก จะสลับหน้าที่กันแบบนี้ได้อย่างไรกัน
ในช่วงเวลาที่เฉินเสียนรักษาตัวมานี้ แม่นมซุยก็เป็นคนดูแลซูเซี่ยนโดยปริยาย
แม้ว่าอาการไข้ของซูเซี่ยนจะลดลงแล้ว แต่ร่างกายของเขายังคงอ่อนแออยู่ดี เขาผอมลงไปเยอะมาก พลอยทำให้ผู้คนที่มาเห็นต่างก็พลอยรู้สึกเป็นห่วงและปวดใจไปตามๆ กัน เขานอนหลับใหลไม่ได้สติทั้งวันทั้งคืน
ในระหว่างนี้เขาได้ตื่นขึ้นมาเป็นบางครั้ง ก็เห็นว่าแม่นมซุยนั้นกำลังนั่งเช็ดน้ำตาตัวเอง คอยเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียงเงียบๆ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า : “ท่านแม่ข้าล่ะ อาการของนางดีขึ้นบ้างหรือเปล่า?”
แม่นมซุยรีบพยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยดูแลรักษาพระวรกายให้หายดี และยังทรงมาดูแลพระองค์อยู่บ่อยๆ เพคะ”
ซูเซี่ยนยิ้มขึ้นที่มุมปากบางเบา พลอยทำให้ผู้ได้เห็นรู้สึกจุกอกไปตามๆ กัน เขาพูดขึ้นว่า : “เช่นนั้นก็ดีแล้ว”
แม่นมซุยหวนนึกถึงค่ำคืนที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น ซูเซี่ยนตั้งใจสวมเสื้อผ้าบาง ตอนนอนก็ไม่ยอมห่มผ้าห่ม แม่นมซุยเห็นแล้วจึงรีบปราม แต่ซูเซี่ยนกลับพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียงไม่ต้องสนใจข้า ข้าจะป่วย ข้าต้องป่วยเท่านั้น ถึงจะสามารถปลุกสติของท่านแม่ของข้าได้”
หลายคืนที่ผ่านมานั้น เขาทนนอนหนาวทุกคืน แม่นมซุยเห็นแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดจนหัวใจแทบแตกสลาย นึกๆ ดูแล้ว เด็กบ้านอื่นที่อายุเท่านี้ ต่างล้วนสดใสร่าเริงและไร้เดียงสาทั้งสิ้น แต่เขากลับต้องมาแบกรับสิ่งเหล่านี้
เขาเหมือนกับพ่อของเขาไม่มีผิด ที่มักจะทุ่มเทและคิดแทนคนสำคัญของตัวเองก่อนเสมอ เขาอายุแค่นี้เอง หากไม่ใช่เพราะเรื่องราวและสถานการณ์เหล่านี้ที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของเขา เขาจะต้องโตเร็วเช่นนี้ไปทำไมกัน รู้จักความรักความอบอุ่น รู้จักเห็นใจและห่วงใยผู้อื่น เขาล้วนเคยสัมผัสมันมาทั้งหมด
เด็กที่ทั้งเก่งและฉลาดเช่นนี้ ใครจะไม่รู้สึกปวดใจกันเล่า
แม่นมซุยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สะอึกสะอื้นว่า : “สิ่งที่อาเซี่ยนได้พยายามและทุ่มเทไปนั้น ไม่เสียแรงเปล่าเลย”
ซูเซี่ยนหลับตาลง พูดขึ้นเบาๆ ว่า : “ก่อนที่ท่านพ่อจะจากไป เขาได้ให้ข้าดูแลท่านแม่ให้ดี”
แม่นมซุยนั่งน้ำตาไหลท่วมหน้าอยู่ข้างๆ
เขาพูดขึ้นต่อว่า : “ไม่ว่าข้าจะพยายามแค่ไหน ท่านแม่ข้าก็ไม่อาจก้าวพ้นความเจ็บปวดนั้นมาได้ ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว จะต้องให้นางหันมาดูแลข้า ถึงจะเป็นวิธีดูแลนางที่ดีที่สุด”
จะต้องให้เธอได้ดูแลเขา เธอถึงจะได้สติขึ้นมา ว่าเขานั้นก็ต้องการการดูแลเหมือนกัน เธอถึงจะไม่มีความคิดที่จะตามท่านพ่อของเขาไป และเขาเองก็จะได้ไม่ต้องรีบเติบโตขนาดนี้ เพราะเขากลัวว่าหากวันหนึ่งวันใดเมื่อเขาเติบโตแล้ว เฉินเสียนก็จะจากเขาไป
เขาใช้วิธีการรั้งเธอแบบเด็กๆ เพื่อให้เธอกลับมามีความหวังในการมีชีวิตอีกครั้ง
ดีที่เขาสามารถทำมันได้สำเร็จ
เฉินเสียนพยายามอย่างมากที่จะหายจากอาการป่วย เพื่อที่จะได้ไปดูแลอาการป่วยของซูเซี่ยน เธอวางความเจ็บปวดทั้งหมดลง ไม่ไปคิดอะไรมากมาย ความหวังเดียวของเธอในตอนนี้ ก็คืออยากให้ซูเซี่ยนหายป่วยไวๆ
แต่สวรรค์ไม่ได้ให้เราสมดังปรารถนาอยู่เสมอ ครั้งนี้ซูเซี่ยนป่วยจนเป็นผื่นแดงขึ้นมาตามตัว แม้เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ อาการของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย
เฉินเสียนมองดูตุ่มแดงที่ขึ้นทั่วร่างกายของเขา เขาดูทั้งอ่อนล้าและทรมานเป็นอย่างมาก เธอจึงรู้สึกเจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกโยนเข้าไปในหม้อน้ำมันที่เดือดจัดก็ไม่ปาน
ผื่นแดงที่ซูเซี่ยนเป็นนั้นคือโรคระบาดที่สามารถติดต่อได้ เหล่าบรรดานางกำนัลที่ปรนนิบัติรับใช้ ต่างก็ต้องอยู่แค่นอกประตูเท่านั้น ยกเว้นหมอหลวงที่ต้องถวายการรักษา ก็มีเพียงเฉินเสียนเท่านั้นที่เฝ้าดูแลเขาอยู่ในห้อง
เฉินเสียนดูแลอาหารการกินรวมไปถึงทุกอย่างในชีวิตประจำวันของซูเซี่ยน ย้อนกลับไปเป็นเหมือนเช่นอดีตที่ผ่านมา เป็นท่านแม่ที่แสนจะอบอุ่นและอ่อนโยน สีหน้าของซูเซี่ยนดีขึ้นมากแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนจากเขามาเป็นเธอที่เป็นคนเล่านิทานแทน
นิทานที่ท่านแม่ของเขาได้เล่าให้ฟังนั้น ไม่ได้เล่าตามนิทานในหนังสือตำรา เธอเล่าได้สนุกและตื่นเต้นเป็นที่สุด เวลาที่ซูเซี่ยนได้ฟังเขาก็มักจะแอบยิ้มบางๆ ที่มุมปากอยู่เสมอ
เวลาที่ซูเซี่ยนนอนหลับไปแล้ว เฉินเสียนก็จะเฝ้าเขาอยู่ในห้องตลอดไม่ไปไหน เธอได้ให้คนขนหนังสือตำราของตำหนักหมอหลวงมาที่นี่ทั้งหมด เธอค่อยๆ ไตร่ตรองและเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง ทั้งฝังเข็มและจัดยาให้กับซูเซี่ยนด้วยตัวเอง ยาที่เธอจัดเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำมาให้หมอหลวงทำการตรวจสอบว่าถูกต้องหรือเปล่า ยาที่ต้มเสร็จแล้ว เฉินเสียนก็มักจะชิมยาด้วยตัวเองก่อนเสมอ เมื่อมั่นใจว่าปลอดภัยดีแล้วถึงจะยอมป้อนให้กับซูเซี่ยน
เฉินเสียนโชคดีที่ไม่ได้ติดเชื้อ ภายใต้การดูแลของเธออาการป่วยของซูเซี่ยนก็ค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ
แต่หลังการป่วยครั้งนี้ ร่างกายของซูเซี่ยนแตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างชัดเจน ใบหน้าที่อ่อนล้าไร้ซึ่งเรี่ยวแรงลมหายใจดูแผ่วเบา คงต้องใช้เวลาบำรุงและฟื้นฟูร่างกายพอควร
ในขณะที่เฉินเสียนเช็ดร่างกายให้ซูเซี่ยนด้วยความอ่อนโยนและเบามืออยู่นั้น ซูเซี่ยนก็ได้เอื้อมมือไปโอบกอดศีรษะของเฉินเสียนเบาๆ แล้วถามขึ้นด้วยความไร้เดียงสาว่า : “ท่านแม่ วันข้างหน้าท่านจะทิ้งข้าไปอีกหรือไม่?”
เฉินเสียนหยุดชะงักไป แล้วจึงอุ้มเขามานั่งอยู่ในอ้อมกอดของเธอ ช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทำไมแม่จะต้องทิ้งเจ้าไปด้วยล่ะ?”
“เพราะท่านแม่คิดถึงท่านพ่อของข้า”
เฉินเสียนนิ่งเงียบไป
ซูเซี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “วันข้างหน้าเวลาที่ท่านคิดถึงเขา ท่านบอกข้าด้วยได้หรือไม่ ข้าจะได้คิดถึงเขาเป็นเพื่อนท่าน”
เธอยิ้มขึ้นด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ทุกวันนี้มีเรื่องมากมายของราชอาณาจักรให้จัดการไม่หวาดไม่หวั่น ไหนจะต้องดูแลเจ้าอีก วันข้างหน้าแม่จะเอาเวลาไหนไปคิดถึงเขากัน”
เมื่อเธอสวมเสื้อผ้าให้เขาเสร็จ ก็ได้กอดเขาไว้ในอ้อมกอด พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า : “อาเซี่ยน วันข้างหน้าแม่จะไม่ทิ้งเจ้าไปง่ายๆ แบบนี้อีก แม่จะคอยเฝ้าดูเจ้าจนเติบใหญ่ ไม่ให้เจ้าเป็นกังวลเช่นนี้อีก แม่จะรอดูเจ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา มีบ้านมีครอบครัวเป็นของตัวเอง” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นต่อว่า
“ชั่วชีวิตแม้จะยาวนาน แต่มันก็จะผ่านพ้นไปในทุกๆ วันเอง”
จากนั้นซูเซี่ยนก็ถูกย้ายไปพักรักษาตัวที่ห้องบรรทมของเฉินเสียน เตียงเล็กถูกนำมาวางไว้ที่ข้างเตียงของเฉินเสียน ยามค่ำคืนสองแม่ลูกจะได้นอนด้วยกัน ส่วนช่วงกลางวันในระหว่างที่เฉินเสียนจัดการงานหลวงนั้น ก็จะได้ดูแลเขาสะดวกมากกว่า
สิ่งของบางอย่างที่ถูกวางไว้ในห้องบรรทม ล้วนแฝงไปด้วยความทรงจำในอดีตของเฉินเสียน
เฉินเสียนค่อยๆ เล่าให้ซูเซี่ยนฟัง ตุ๊กตาหุ่นกระบอกไม้คู่นั้น ตัวหนึ่งถูกแกะสลักโดยพ่อของเขา ส่วนอีกตัวนั้นแม่ของเขาเป็นคนแกะสลักเอง เพียงแต่ว่าไม่ได้เก็บรักษาให้ดี จึงมีรอยไหม้บนหัวของมัน เป็นรอยสีดำขนาดใหญ่
ซูเซี่ยนจึงได้รู้ว่าในตอนนั้น ท่านพ่อของเขาถูกขังคุกมาแล้วครั้งหนึ่ง ในขณะที่เรือนกำลังถูกค้นนั้น ก็เจอเข้ากับตุ๊กตาหุ่นกระบอกสองตัวนี้ จากนั้นก็ถูกนำไปเผาเพื่อให้ความอบอุ่นในคุก จึงได้ทิ้งร่องรอยแบบนี้ไว้
เฉินเสียนเล่าว่าตอนที่ท่านพ่อของเขาถูกจับเข้าคุกนั้น เธอใช้วิธีอะไรในการช่วยเขาออกมา เฉินเสียนค่อยๆ เล่าอย่างใจเย็น ราวกับว่ากำลังเล่าเรื่องของคนอื่นยังไงอย่างงั้น เขาเองก็ตั้งใจฟังและรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
เขารู้สึกว่านิทานที่เคยฟังมามากมายนั้น มีเพียงนิทานของท่านพ่อเขาเท่านั้นที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้นที่สุด