ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 634 เปลี่ยนจากคนวิตกกังวลและอารมณ์ร้าย เป็นคนสงบสุขุมและอ่อนโยน
- Home
- ข้าคือหงส์พันปี
- บทที่ 634 เปลี่ยนจากคนวิตกกังวลและอารมณ์ร้าย เป็นคนสงบสุขุมและอ่อนโยน
ท่านแม่ของเขาหวงแหนตุ๊กตาหุ่นกระบอกคู่นี้มาก ปลายนิ้วมือที่กำลังสัมผัสบนรอยไหม้สีดำ สีหน้าอารมณ์ดูค่อนข้างเฉยชา ไม่ได้เจ็บปวดและสิ้นหวังเฉกเช่นที่ผ่านมา
ยังมีหน้ากากที่แขวนอยู่ในห้องบรรทม ก็เป็นนิทานอีกตอนหนึ่ง เฉินเสียนเล่าให้เขาฟังว่า ท่านพ่อของเขาได้พาเธอไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟวันไหว้พระจันทร์ ตั้งใจพกเงินไปแค่ไม่กี่เหรียญกษาปณ์ทองแดงมาทานบะหมี่ถงซินข้างแม่น้ำหยางชุนกับเธอ ตอนนั้นเธอพึ่งจะคลอดซูเซี่ยนได้ไม่นาน ในขณะที่กำลังหาเงินค่านมให้ลูกอยู่นั้น ก็ถูกคนจากบ่อนพนันตามไล่ล่า ท่านพ่อของเขาก็ได้สวมหน้ากากแบบนี้ ช่วยเธอตีคนกลุ่มนั้นจนไม่เป็นผู้ไม่เป็นคน
ยังมีขลุ่ยไม้ไผ่ ปิ่นหยก ทุกๆ สิ่งทุกๆ อย่างล้วนมีเรื่องราวที่อบอุ่นแฝงไว้มากมาย
เฉินเสียนไม่ได้นำสิ่งของในความทรงจำเหล่านี้ไปเก็บแต่อย่างใด เธอเลือกที่วางมันไว้บนหัวเตียง ในที่ที่ใกล้กับสายตา ทุกครั้งที่เงยหน้าขึ้นมาก็จะมองเห็นอยู่เสมอ
ยังมีจดหมายที่ซูเจ๋อเขียนให้เธอ รวมไปถึงหนังสือตำราที่เขาเก็บไว้ให้ เธอมักจะนั่งอยู่ข้างเตียงเล็กๆ ของซูเซี่ยน แล้วอ่านเนื้อหาในจดหมายให้เขาฟัง บอกเล่าถึงกลยุทธ์ที่ท่านพ่อของเขาใช้กอบกู้บ้านเมืองของราชอาณาจักรต้าฉู่
เมื่อเหนื่อยล้าแล้ว เฉินเสียนก็จะวางหนังสือตำราไว้ข้างหมอน แล้วนอนตะแคงหันหน้าไปมองท่าทางที่หลับสบายของซูเซี่ยน พลางลูบสัมผัสร่องรอยของสิ่งที่ซูเจ๋อได้หลงเหลือไว้ให้เธออย่างแผ่วเบา
ไม่มีห้วงเวลาไหนเลยที่เธอจะไม่คิดถึงเขา เพียงแต่เธอจะไม่ให้ตัวเองเจ็บปวดทรมานอย่างที่แล้วๆ มา เธอยังมีลูกชายของเธอ เธอจะไม่ยอมให้ตัวเองล้มแล้วลุกไม่ขึ้นแบบนี้อีก
เวลาอาจจะไม่ใช่ยารักษาที่ดีที่สุด แต่เมื่อเวลาผ่านไป แผลเจ็บปวดในหัวใจก็จะค่อยๆ ทุเลาลง และสามารถช่วยเยียวยารักษาเธอ จากที่เคยวิตกกังวลอารมณ์ร้ายกาจก็เปลี่ยนมาเป็นสงบสุขุมและอ่อนโยน
เพียงแต่ขลุ่ยไม้ไผ่และปิ่นหยกที่ซูเจ๋อได้มอบให้เธอ เธอไม่ได้พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาเหมือนเฉกเช่นที่ผ่านมา เธอวางสองสิ่งนี้ไว้ใต้หมอน ยามค่ำคืนเวลาที่เธอนอนไม่หลับ ทุกครั้งที่เธอเอื้อมมือไปจับ ก็จะสัมผัสเจออยู่เสมอ
เธอกลัวว่าสิ่งเหล่านี้ที่ซูเจ๋อได้มอบไว้ให้เธอนั้น จะถูกทำร้ายจากกาลเวลา ฉะนั้นเธอจึงเก็บถนอมมันไว้เป็นอย่างดี เพราะหากมันเสียหายไป ซูเจ๋อจะไม่มีวันมามอบของชิ้นที่สองให้กับเธออีกแล้ว
บางครั้ง เมื่อรอซูเซี่ยนหลับไปแล้ว เฉินเสียนก็มักจะนำจดหมายที่ซูเจ๋อเคยเขียนให้เธอออกมาอ่านใหม่ และเมื่อเฉินเสียนหลับไปแล้ว บางทีซูเซี่ยนก็ตื่นมาห่มผ้าห่มให้เฉินเสียนอยู่บ่อยครั้ง
สองแม่ลูกที่ต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ทุกอย่างค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
หลังจากงดการว่าราชกิจในยามเช้าครบหนึ่งเดือน ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในทุกๆ วันเฉินเสียนตื่นก่อนซูเซี่ยนหนึ่งชั่วยาม (สองชั่วโมง) เมื่อกลับจากการว่าราชกิจในยามเช้า เธอก็จะมาทานอาหารเช้าพร้อมกับเขาเสมอ
ในระหว่างที่ซูเซี่ยนพักฟื้นรักษาตัว ก็ได้หยุดการเรียนในสถาบันการศึกษาไท่ เมื่อเฉินเสียนว่างเว้นจากการจัดการบ้านเมือง ก็มักจะสอนหนังสือให้เขาเสมอ
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ท่านพ่อของเจ้าเป็นคนสอนชั้นเรียนอารยธรรมและวัฒนธรรมที่แม่เรียนเอง ถึงแม้ว่าจะไม่เทียบเท่ากับราชครูที่รู้เรื่องประวัติศาสตร์เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นัก ตอนนี้ก็พอดีเลย แม่จะได้ทบทวนไปพร้อมๆ กับเจ้า”
ซูเซี่ยนนั่งอยู่บนเตียงเล็กของเขา อาการป่วยปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาชัดเจน เวลาที่เขายิ้มขึ้นอ่อนๆ อย่างมีเงื่อนงำนั้น ดูมีเสน่ห์เฉกเช่นพ่อของเขาไม่มีผิด
เฉินเสียนมักจะจ้องจนลืมตัวอยู่เสมอ
ซูเซี่ยนพูดขึ้นว่า : “ข้ารู้ ท่านแม่ไม่ถนัดอ่านบทความ หนังสือใบลานที่ร่ายยาวของเหล่าบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักมักนำมาทูลนั้น พอท่านแม่ได้อ่านก็มักจะปวดหัวอยู่เสมอ”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “นั่นเป็นเพราะเมื่อก่อนอ่อนประสบการณ์ ตอนนี้ไม่ได้แย่ขนาดนั้นเสียหน่อย”
ในแต่ละวันซูเซี่ยนไม่เพียงแต่อ่านหนังสือเท่านั้น เฉินเสียนยังสอนเขาแกะสลักอีกด้วย ถึงแม้ว่าฝีไม้ลายมือของตัวเองจะไม่ได้ดีเท่าไหร่นักก็ตาม
เธอเคยเรียนแกะสลักกับอาจารย์ในย่านชานเมืองอยู่พักหนึ่ง หุ่นกระบอกที่เธอแกะสลัก ก็ถือว่าเป็นผลงานที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เท่าไหร่นัก เวลานี้จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับการฝึกฝนและได้อวดฝีมือไปในคราวเดียวกัน
เธอได้นั่งบนพรมกับซูเซี่ยน บนพื้นมีไม้แกะสลักวางอยู่ สองแม่ลูกต่างพากันฝึกแกะสลัก ทั้งคู่ได้ฝึกฝนและขัดเกลาจิตไปในตัว
ไม้แกะสลักเริ่มโค้งมนและเป็นรูปเป็นร่างขึ้น เฉินเสียนอยากแกะสลักซูเจ๋อออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด เธอขัดจนฝ่ามือของเธอออกเลือด แตกและด้านไปหมด แต่ก็ไม่สามารถแกะลักษณะและรายละเอียดของซูเจ๋อออกมาได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำเสร็จได้ภายในวันเดียว ฉะนั้นเฉินเสียนจึงไม่ได้หักโหมและบีบบังคับตัวเองจนเกินไป วันข้างหน้าขอเพียงเธอฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ จะต้องสามารถแกะสลักผลงานที่สวยงามออกมาได้อย่างแน่นอน
สิ่งที่เธอแกะสลักได้ตอนนี้เป็นเพียงโครงร่างคร่าวๆ ตรงกลางระหว่างเธอและซูเจ๋อมีเจ้าตัวเล็กเพิ่มมาหนึ่งคน ภาพที่ปรากฏในสายตานั้น เป็นครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก
ชีวิตของเฉินเสียนนั้นมั่นคงกว่าเมื่อก่อนมาก เธอจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของซูเซี่ยนซ้ำรอยเดิมของเธอเป็นอันขาด วันข้างหน้าเธอจะค่อยๆ ถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่ซูเจ๋อเคยสอนเธอให้กับซูเซี่ยนทีละนิด
หลังจากที่ซูเซี่ยนสามารถเดินเหินได้อย่างคล่องตัวแล้ว เพื่อที่จะวางรากฐานที่มั่นคงให้กับร่างกายของเขา เฉินเสียนจึงได้สร้างหุ่นไม้ฝึกมวยขึ้นมาในวัง เพื่อสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับซูเซี่ยน
อาจเป็นเพราะเขามีคนที่อยากจะปกป้องในใจอยู่แล้ว ทั้งๆ ที่อายุน้อยแค่นี้ แต่ซูเซี่ยนก็ฝึกฝนหมัดมวยอย่างแน่วแน่ไร้ซึ่งความคลุมเครือใดๆ เขามักจะฝึกฝนจนเหนื่อยหอบและเหงื่อชุ่มท่วมตัวอยู่เสมอ
ในบางครั้งที่ฉินหรูเหลียงผ่านมาเห็นเข้า ก็มักจะแนะนำเขาบ้างเป็นครั้งคราว
หลังจากที่ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว สภาพร่างกายซูเซี่ยนก็ดีขึ้นมาไม่น้อย ถึงแม้ว่ามือของเขาจะเต็มไปด้วยรอยแดงที่เกิดขึ้นจากการลงหมัดบนหุ่นไม้ฝึกมวย และไม่ยอมหายง่ายๆ
ยาทาที่ซูเจ๋อเคยให้เธอไว้เมื่อนานมาแล้ว เธอไม่กล้านำมาใช้เพราะมันนานมากแล้ว จึงได้ลงมือผสมยาทาตัวใหม่ขึ้นมาเพื่อนำไปทาให้ซูเซี่ยน เมื่อรอยแดงทุเลาลงแล้ว มือน้อยๆ คู่นั้นก็กลับมาขาวเนียนสะอาดเหมือนเช่นเดิมอีกครั้ง
มือของเฉินเสียนกลับมาจับมีดแกะสลักและจับพู่กัน รวมไปถึงฝึกฝนหมัดมวยพร้อมกับซูเซี่ยนอีกครั้ง เธอเองก็ได้ทายานี้ตัวนี้ด้วย จากนั้นไม่นาน รอยแตกและรอยด้านที่มือของเธอก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เฉินเสียนพยายามอย่างมากในการเป็นกษัตริย์ที่ดีของราชอาณาจักร สำหรับซูเซี่ยนแล้ว เธอถือว่าเป็นท่านแม่ที่ดีมากคนหนึ่งของเขา ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ เมื่อถึงเทศกาลต่างๆ เฉินเสียนมักจะพาซูเซี่ยนออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงอยู่เสมอ และในช่วงคิมหันตฤดูเข้าสู่สารทฤดูนั้น ก็มักจะพาเขาออกไปเดินสำรวจตามทุ่งนาแถวชานเมืองของเมืองหลวงอีกด้วย
ซูเซี่ยนชอบตั๊กแตนในนาข้าวเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่เฉินเสียนได้ดูออกตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อกลับวังหลวงแล้ว ในวันเกิดปีที่หกของซูเซี่ยน เฉินเสียนได้อบเค้กวันเกิดให้กับเขาอย่างเช่นเคย เขาอธิษฐานขอพรเงียบๆ จากนั้นก็ทานขนมเค้กอย่างมีความสุข ค่ำคืน หลังจากที่เข้านอนเรียบร้อยแล้ว เฉินเสียนก็ได้แอบนำไม้แกะสลักที่เธอแกะเองไปไว้ที่ใต้หมอนของเขา มันเป็นตั๊กแตนไม้ที่สวยงามเป็นอย่างมาก วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เฉินเสียนไปว่าราชกิจที่ราชสำนักในยามเช้าแล้ว ซูเซี่ยนก็ได้ตื่นมาเห็นมันเข้า จึงได้หยิบมันขึ้นมาเล่น จากนั้น ใบหน้าและนัยน์ตาของเขาก็ค่อยๆ ปรากฏรอบยิ้มบางๆ ขึ้นมา
ขณะที่แม่นมซุยกำลังปรนนิบัติดูแลเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่นั้น ก็ได้เห็นรอยยิ้มของเขา จึงได้พูดขึ้นว่า : “เมื่อคืนหลังจากที่พระองค์เข้าบรรทมไปแล้ว ฝ่าบาทก็ได้ทรงแกะสลักมันทั้งคืน ตรัสว่าเป็นของขวัญวันเกิดที่จะมอบให้อาเซี่ยนเพคะ”
ซูเซี่ยนจึงถามขึ้นว่า : “เมื่อคืนท่านแม่ของข้าเข้านอนดึกมากหรือเปล่า?”
“ถึงแม้ว่าจะเข้าบรรทมดึกกว่าปกติ แต่เพราะทรงเห็นว่าอาเซี่ยนได้บรรทมเป็นอย่างดี ดังนั้นฝ่าบาทจึงไม่ได้สูญเสียการบรรทมแต่อย่างใดเพคะ”
ซูเซี่ยนรู้ดีว่าท่านแม่ของเขามักมีภาวะนอนไม่หลับอยู่บ่อยครั้ง บางครั้งท่านแม่ของก็มักจะนอนกอดสิ่งของที่ท่านพ่อของเขาเคยมอบไว้ให้จนดึกดื่นแล้วจึงค่อยเข้านอน
ใบเมเปิลบนเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงแล้ว เฉินเสียนได้พาซูเซี่ยนไปชมใบเมเปิลบนเขาเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ
ความทรงจำอันเลือนรางของวันวานที่ผ่านมา ตอนที่ซูเจ๋อพาเธอขึ้นเขาเป็นครั้งแรก ทั้งภูเขาราวกับเพลิงไฟสีแดงที่กำลังโหมกระหน่ำ สวยสดงดงามตระการตาเป็นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่มีข่าวลือว่ามีหมาป่าอยู่บนเขา เพราะฉะนั้นผู้คนที่มาท่องเที่ยวมากมายเหล่านั้น ต่างก็ได้สูญเสียทัศนียภาพที่แสนจะสวยงามนี้ไปอย่างน่าเสียดาย
มาปีนี้เฉินเสียนจึงได้พาซูเซี่ยนไปท่องเที่ยวชมสารทฤดู ในตอนแรกฉินหรูเหลียงตั้งใจจะให้ทหารรักษาพระองค์ไปปิดล้อมเขาเมเปิลไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของสองแม่ลูก เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้ ยากที่จะหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย เสมือนการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งยังจะไปสร้างความแตกตื่นให้กับผู้คนที่มาท่องเที่ยวอีกด้วย
สองแม่ลูกจึงทำตัวให้เหมือนกับผู้คนอื่นๆ ขี่ม้าไปยังตีนเขา จากนั้นก็พากันเดินขึ้นเขาไป ทั้งคู่เชยชมมาตลอดเส้นทาง พลางฟังเรื่องราวที่ทั้งน่าทึ่งและน่าประหลาดใจจากผู้คนที่มาท่องเที่ยวอีกด้วย
ในขณะที่กำลังลงเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับคนรู้จักที่นอกชานเมือง
แม่นางผู้หนึ่งกำลังแบกตะกร้ายาสมุนไพรอยู่ ดูท่าทางแล้วน่าจะกำลังจะกลับ ในตะกร้าของนางเต็มไปด้วยยาสมุนไพร จึงตั้งใจจะโบกรถม้าแถวนี้เพื่อที่จะติดรถกลับไปด้วย
เฉินเสียนจึงได้ให้แม่นางผู้นั้นขึ้นรถม้ามา
แม่นางผู้นั้นสวมชุดผ้าธรรมดา ตอนที่ขึ้นมาบนรถม้านั้น นางก็ได้นำตะกร้ายาสมุนไพรที่แบกมาวางลงด้านข้าง พร้อมกับกล่าวขอบคุณเป็นการใหญ่ แต่เมื่อนางได้เงยหน้าขึ้นมาเห็นเฉินเสียน ก็อึ้งและหยุดชะงักไปชั่วขณะ นางคุกเข่าลงพื้นในทันใด พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “หม่อมฉันขึ้นรถม้าผิดคัน ไม่ทราบว่าฝ่าบาททรงประทับอยู่ ขอฝ่าบาททรงประทานอภัยด้วยเพคะ”
เฉินเสียนมองนางอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้พูดขึ้นว่า : “โชคดีที่ขึ้นรถม้าของข้า แม่นางตัวคนเดียวแท้ๆ แต่กลับโบกรถม้าของผู้อื่นไปทั่วเช่นนี้ ช่างใจกล้าเสียจริง”