ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 637 ชุดสีดำนั้น ราวกับกำลังอยู่ในห้วงของความฝัน
ฝูหลิงในฐานะหมอหลวงหญิงหนึ่งเดียวของสำนักหมอหลวง มีชีวิตที่คึกคักร่าเริงและฝีมือการแพทย์นั้นก็เก่งกาจ เหล่าขุนนางที่ยังหนุ่มเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยก็จะแวะเวียนเข้ามาให้เธอรักษา และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ปู่ของเธอเป็นกังวล
ผู้เฒ่าใช้ช่วงเวลาที่ว่างการจากสอนวิชาการแพทย์ให้กับเฉินเสียน พูดกับเฉินเสียนว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะทูลขอฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
“พูดมาเลยไม่เป็นไร”
“กระหม่อมพบว่าช่วงนี้มีแมลงวันบินตอมรอบๆหลานสาวของกระหม่อม ทูลขอฝ่าบาทได้ทรงโปรดช่วยหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเฉินเสียนจึงมีรับสั่งด้วยวาจาลงไป สั่งไม่อนุญาตให้ขุนนางที่ไปตรวจรักษาโรคชวนหมอหลวงหญิงพูดคุย สถานการณ์จึงค่อยๆดีขึ้นมาเล็กน้อย
ไม่เพียงแค่จะเรียนวิชาการแพทย์เท่านั้น เรื่องศิลปะการต่อสู้ต่อยมวยเฉินเสียนก็ไม่เคยเว้นว่าง เธอเป็นเพื่อนซูเซี่ยนเพื่อฝึกซ้อมกับหุ่นไม้ฝึกมวย
ไม่เพียงแค่นั้น องครักษ์วังหลวงส่วนพระองค์ก็ได้ถูกจัดมาเป็นคู่ซ้อมให้กับเฉินเสียน เมื่อเฉินเสียนเสร็จกิจราชการและทบทวนตำราการแพทย์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าต้องการที่จะยืดเส้นยืดสายร่างกาย ก็จะไปจัดวางตำแหน่งรูปแบบกองทัพในการสู้รบที่อุทยานอวี้ฮัว ใช้อาวุธมีดดาบของจริงเพื่อการฝึกฝนสู้รบ
เริ่มจากการฝึกหนึ่งต่อหนึ่ง จนไปการฝึกหนึ่งคนต่อองครักษ์ทั้งกอง
ฉินหรูเหลียงและเฮ่อโยวที่มองอยู่ด้านข้าง ได้แต่ยืนมองอย่างคาดไม่ถึงว่าเหล่าองครักษ์กลุ่มนั้นจะถูกโจมตีโดยหญิงเพียงคนเดียวที่ไม่หวาดกลัวสิ่งใด ต้องมีสักวันที่เธอจะกลายเป็นหญิงที่แข็งแกร่ง
เพราะว่าเธอมีศรัทธาผู้พิทักษ์อยู่ในจิตใจ เธอในตอนนี้ช่างแตกต่างกับตอนแรกที่มีจิตใจอ่อนล้าและร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างมาก
แม้ว่าร่างกายของเธอนั้นจะไม่แข็งแรงเท่ากับผู้ชาย แต่ด้วยการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ในทุกๆวันจากที่ชุดกระโปรงยาวในการฝึกนั้นก็ได้ถูกเปลี่ยนให้เสื้อชุดยาวที่รัดรูปครึ่งตัว ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะอรชรและเพียวบาง แต่พลังที่แสดงออกมาอย่างรวดเร็วและดุดันกลับไม่พ่ายแพ้ต่อชายใด
เฮ่อโยวมองไปยังเหล่าองครักษ์เหล่านั้น ก็นึกไม่ถึงว่าเหล่าองครักษ์นั้นจะค่อยๆร่วงลงไปกองกับพื้นตามสายลม ดูแล้วนั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินเสียนแต่อย่างใด จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า“พระองค์ทรงเก่งกาจกว่าผู้ชายธรรมดา เช่นนี้แล้วมันจะดีหรือ?”
เหล่าองครักษ์หลวงเหล่านั้น คือองครักษ์ที่ฉินหรูเหลียงฝึกฝนและเลื่อนตำแหน่งมาด้วยมือของเขาเอง ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขานั้นไม่เป็นสองรองใคร
สายตาของฉินหรูเหลียงนั้นจ้องมองไปยังเฉินเสียน พูดออกมาอย่างเงียบๆว่า“ไม่มีอะไรที่ไม่ดี”
เฮ่อโยวกล่าว “เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้ปรึกษาหาลือเป็นการส่วนตัวกันว่า วังหลังนั้นจะปล่อยให้ว่างตลอดไปไม่ได้ อย่างน้อยต้องมีใครสักคนอยู่ที่นั่นถึงจะดี”
ฉินหรูเหลียงพูด“แล้วทำไมไม่เห็นพวกเขากราบบังทูลกันรึ?”
เฮ่อโยวใช้นิ้วสัมผัสไปที่จมูก“ถ้าเกิดกราบบังคมทูลเรื่องนี้ขึ้น พระองค์คงต้องปฏิเสธเป็นแน่ ดังนั้นจะต้องค้นหาในเหล่าประชาชนว่ามีผู้ใดที่เหมาะสมที่จะได้รับคัดเลือกมา”
ฉินหรูเหลียงเลิกคิ้วขึ้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมา
เฮ่อโยวพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า“เพียงแต่ไม่รู้ว่าบนโลกใบนี้ จะมีคนที่จะมีลักษณะท่าทางที่สง่างามได้เหมือนซูเจ๋ออีกหรือไม่”
เวลานั้น องครักษ์กลุ่มนั้นทั้งกลุ่มก็ถูกเฉินเสียนจัดการจนร่วงลงไปกองที่พื้นทั้งหมด เฉินเสียนเหน็ดเหนื่อยจนเหงื่อออกท่วมตัว เธอโยนหอกยาวให้กับขุนนาง ขณะที่คลายสายรัดข้อมือ เธอก็เดินมายังทั้งสองคน กระตุกคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า“เฮ่อโยว พ่อของเจ้ามาขอให้ข้าอนุญาตเรื่องการแต่งงานอยู่หลายครั้ง อยากที่จะอุ้มหลานเต็มทนแล้ว เจ้าอยากจะเลือกหาเองหรือว่าให้ข้าเลือกให้”
เฮ่อโยวมีสีหน้าที่ขมขื่น“ฝ่าบาท กระหม่อมยังไม่พบคนที่ถูกใจ และยังไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัวพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว“หรือว่าเจ้ายังลืมเรื่องแต่ก่อนไม่ได้?”
เฮ่อโยวกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า“กระหม่อมลืมไปนานแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนชำเลืองมองเขา“ข้ายังไม่ได้เอ่ยเลยว่ามันเป็นเรื่องไหน เจ้าก็กลับลืมเสียแล้วรึ?”
เฮ่อโยวเงียบไปสักครู่หนึ่ง
เฉินเสียนถอนหายใจยาวออกมา แล้วเอ่ยว่า“ผู้เฒ่าเฮ่อช่างน่าสงสารเฝ้ารอคอยกับการที่จะมีหลาน ตอนนี้ความคาดหวังของเขาที่มีต่อเจ้านั้นต่ำกว่าเกณฑ์ของตระกูลเจ้ามาก ไม่ได้สำคัญว่าเจ้าจะแต่งใครเข้ามาในจวน ขอเพียงเป็นแค่ผู้หญิงก็พอแล้ว ”
เฮ่อโยว “……”
ฉินหรูเหลียงตบไปที่ไหล่ของเฮ่อโยว บ่งบอกถึงว่าการช่วยเหลือตัวเองนั้นดีกว่าให้คนอื่นช่วยเหลือ ขณะที่เขากำลังจะเดินไปจัดระเบียบกับกองกำลังองครักษ์ เสียงของเฉินเสียนก็ลอยขึ้นมาว่า“ท่านแม่ทัพใหญ่ก็อายุไม่น้อยแล้ว มีคนรักที่ถูกใจหรือยัง?”
การก้าวเท้าของฉินหรูเหลียงหยุดนิ่งลง แล้วเอ่ยว่า“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นอีกสองวัน ข้าจะจัดงานเลี้ยงน้ำชา แล้วเชิญเหล่าหญิงสาวของตระกูลขุนนางต่างๆมาร่วมงาน เจ้ากับเฮ่อโยต้องเข้าร่วมงานเพื่อจะได้ดูว่ามีใครเข้าตาบ้าง ”
“ข้ากระหม่อมมีกิจราชการยุ่งมาก เกรงว่าจะไม่สามารถไปร่วมงานได้พ่ะย่ะค่ะ”
“นี่คือคำบัญชาของจักรพรรดิ”
ผลสุดท้ายวันนั้น เฮ่อโยวและฉินหรูเหลียงทั้งสองคน คนหนึ่งก็ป่วยนอนติดเตียง อีกคนก็นำทัพทหารออกไปปราบปรามโจรด้านนอกเมือง เหลือให้เพียงเฉินเสียนต้อนรับหญิงสาวเหล่านั้น อยู่ร่วมชมการแสดงระบำและชื่นชมดอกไม้กับพวกนาง มันช่างน่าโกรธแค้นเสียนจริง
อย่ามองว่าแม้แต่เฉินเสียนจะเป็นหญิง เธอสวมใส่ชุดเครื่องแบบองค์จักรพรรดิ ผมยาวสลวย นัยน์ตาเย็นสบาย ไม่ได้แสดงถึงความน่ากลัว แต่กลับงดงามอย่างสง่าผ่าเผย ต่อมาก็ได้ยินมาว่าในหมู่หญิงสาวที่กลับมาอย่างมีความสุขวันนั้น มีสองคนที่ตั้งใจจะเข้าเข้าวังเพื่อเป็นนางกำนัลให้กับจักรพรรดินี ซึ่งทำให้คนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หลายวันผ่านไป เฮ่อโยวได้เข้าเฝ้าเฉินเสียนอย่างระมัดระวัง
เฉินเสียนถามด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า“เจ้าหายป่วยแล้วรึ?ลงจากเตียงได้แล้ว?”
เฮ่อโยวแกล้งไอออกมา“ขอบพระทัยน้ำใจของฝ่าบาท กระหม่อมดีขึ้นเยอะแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เรื่องเหล่าหญิงสาวพวกนั้น……”
เมื่อเฮ่อโยวเห็นว่าเธอจะพูดอะไรต่อ จึงรีบพูดตัดจังหวะขึ้นว่า“ถวายบังคมฝ่าบาท ข้ามีเรื่องที่จะกราบบังคมทูลพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเงยหน้ามองเขา“เรื่องอันใด?”
“เหล่าขุนนางอยากจะเชิญให้ฝ่าบาทเสด็จไปประทับที่วังหลังพ่ะย่ะคะ”เฮ่อโยวได้รับรู้ถึงการบีบบังคับอย่างไม่คาดคิด เขาพูดออกมาอย่างขมขื่นว่า“กระหม่อมจึงได้ไปค้นหาชายหนุ่มผู้หนึ่งมาให้เพื่อฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนถาม“เจ้าเห็นว่าข้าต้องการผู้ชายมากเลยหรือ?”
เฮ่อโยวฝืนใจพูดต่อว่า“มันไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาระยะยาวที่จะปล่อยให้วังหลังว่างอยู่แบบนี้ แต่ทั้งหมดก็เพื่อปิดปากเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่พวกนั้น ฝ่าบาทลองดูชายผู้นี้ก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าชายผู้นี้มีความสามารถเป็นเลิศ ได้มีเพื่อนร่วมดื่มน้ำชาด้วยกันก็คงจะดีไม่น้อย อ่อ อีกอย่างจะให้เป็นเพื่อนร่วมฝึกกับหุ่นไม้ฝึกมวยด้วยก็ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียน“เขาเป็นศิลปะป้องกันตัวด้วยรึ?”
“ถึงไม่เป็นฝ่าบาทก็สามารถสอนเขาได้นะพ่ะย่ะค่ะ”เฮ่อโยวพูดพร้อมกับตบมือเรียกให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา
เฉินเสียนไม่ได้แสดงสีหน้าที่ดีใจหรือโกรธเคืองอันใดออกมา เมื่อได้เห็นท้องฟ้าอันสดใสนอกประตูท้องพระโรง แล้วก็มีร่างคนเดินย้อนแสงเข้ามาในประตูอย่างเลือนราง สะบัดแขนเสื้อสองข้างอย่างเบาๆ โครงร่างของเขามีความตื้นลึกที่ชัดเจน
วินาทีนั้นแววตาของเฉินเสียนก็มืดสลัวลงทันที เมื่อได้เห็นชุดสีดำราวกับกำลังอยู่ในห้วงของความฝัน
เมื่อชายคนนั้นเข้ามาในประตูแล้ว ก้าวเท้าเข้ามาด้านในท้องพระโรงอย่างไม่รีบร้อน เขาจึงยกมือขึ้นคำนับ แล้วเอ่ยว่า“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ”
วินาทีนั้นเฉินเสียนก็ได้สติกลับมา ดวงตานั้นถูกย้อมไปด้วยน้ำค้างที่เยือกเย็นๆ
นั่นไม่ใช่น้ำเสียงของซูเจ๋อ
เธอกล่าว“เงยหน้าขึ้นมา”
ชายผู้นั้นเมื่อได้ยินจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา เมื่อได้เห็นรูปร่างลักษณะภายนอกของเฉินเสียนแล้ว เขาก็ตะลึงไปชั่วขณะ คงจะคิดไม่ถึงว่า จักรพรรดินีนั้นจะสวยงดงามมากกว่าที่เขาคิดไว้เสียอีก
เฉินเสียนเมื่อมองใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนแล้ว จึงถามด้วยเสียงต่ำว่า“ใครใช้ให้เจ้าแต่งตัวแบบนี้?”
ความน่าเกรงขามและอำนาจของจักรพรรดิที่แผ่รังสีออกมาจากร่างกายของเธอนั้น ทำให้ชายที่อยู่ในท้องพระโรงไม่กล้าที่จะสังเกตสีหน้าของเธออีกต่อไป และก็รับรู้ได้ถึงว่าวินาทีนั้นเธอน่าจะไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ชายผู้นั้นจึงรีบคุกเข่าลงไป แล้วหมอบลงไปที่พื้นทันที แล้วเอ่ยว่า“ข้าน้อยแต่งตัวธรรมดาเรียบง่ายแบบนี้เป็นประจำ ถ้าเกิดมันเป็นการไม่ให้เกียรติฝ่าบาท ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยให้ข้าน้อยด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
เฉินเสียนเอนตัวพิงกับผนักพิงเก้าอี้ แล้วมองเขาอย่างเย็นชา
นอกจากเสื้อผ้าชุดดำนี้แล้วและรูปร่างที่สมส่วนของเขาแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่มีส่วนไหนที่เหมือนกับซูเจ๋อเลยแม้แต่น้อย
น้ำเสียงไม่เหมือน คิ้วก็ไม่เหมือน และรวมถึงจิตใจจากภายในสู่ภายนอกของเขาก็ไม่มีส่วนไหนเลยที่เหมือนแม้แต่นิดเดียว
“ออกไป”
ดูเหมือนมันไม่ใช่เรื่องที่ล้อเล่น สำหรับชายผู้นี้การที่ได้มาเข้าเฝ้าก็ถือว่าเป็นบุญมากแล้ว เพียงแต่ตอนนี้จะต้องรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงรีบก้มศรีษะและรีบออกไปทันที
เฉินเสียนจึงเคลื่อนสายตามามองที่เฮ่อโยว แล้วเอ่ยว่า“เจ้ากล้ามากนะ กล้าดีอย่างไรถึงมาเสนอแนะเรื่องนี้กับข้า”