ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 638 เห็นอะไรที่ไม่ดีก็อย่าได้พูดว่าไม่ดี
เฮ่อโยวกล่าว“แม้ว่ากระหม่อมจะรู้ว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้อง แต่ก็หวังว่าจะช่วยคลายความเหงาของฝ่าบาทได้ ถ้าเกิดว่าเขาจะสามารถปลอบใจได้บ้าง……”
“ไม่เจียมตัว”
เฮ่อโยวไม่กล่าวอะไรมาก รีบถลกชุดเครื่องแบบขุนนางขึ้นแล้วนั่งคุกเข่าลงไปที่พื้น
เฉินเสียนลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าเขา จากนั้นก็ก้มมองลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า“ไม่มีใครบนโลกใบนี้ที่จะสามารถมาแทนที่เขาได้ เจ้าว่างขนาดมากังวลใจเกี่ยวกับเรื่องของข้า ก็น่าจะกังวลเกี่ยวกับเรื่องของตัวเองไม่ดีกว่ารึ ครั้งนี้ไม่ว่าเจ้าจะนอนป่วยติดอยู่บนเตียง ก็รอรับราชโองการไปถึงจวนของเจ้าก็แล้วกัน ”
เดิมทีแล้วเฉินเสียนเองก็ไม่ได้จะบังคับเฮ่อโยวเกี่ยวเรื่องการแต่งงานแต่อย่างใด เมื่อก่อนแค่อยากจะแกล้งเขาให้เขาได้ตระหนักรู้ตัวว่าควรจะทำเช่นไร แต่ในตอนนี้เขาก็คงจะยังไม่รู้สำนึกได้ตัวเองว่าควรจะทำเช่นไร
เมื่อเฉินเสียนกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ อวี้เยี่ยนก็ได้เข้ามาปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ในขณะที่รินน้ำอยู่นั้นก็รู้สึกได้ว่าเฉินเสียนเอาแต่จ้องมองมาที่เธอ เธอจึงก้มลงมองตัวเองแล้วถามขึ้นว่า“ฝ่าบาท บ่าวมีอะไรผิดปกติไปหรือเปล่าเพคะ?”
เฉินเสียนพูดอย่างครุ่นคิดว่า“ไม่มี ข้าแค่คิดว่าเจ้านั้นงดงามไม่น้อยไปกว่าหญิงสาวเหล่านั้น”
อวี้เยี่ยนพูดอย่างเขินอายว่า“ฝ่าบาทกำลังล้อบ่าวเล่นสินะเพคะ”
“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเจ้าก็คือนางข้าหลวงข้างกายของข้า ถ้าเกิดไปอยู่ข้างกายของเฮ่อโยวนั้น ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นการทำให้เขาเสื่อมเสียเกียรติ”
เมื่ออวี้เยี่ยนได้ฟังก็นั่งคุกเข่าลงทันที“ฝ่าบาทจะส่งบ่าวไปที่จวนใต้เท้าเฮ่อหรือเพคะ?”
ขณะที่เฉินเสียนกำลังเขียนราชโองการส่วนพระองค์อยู่นั้น ก็พูดขึ้นว่า“ข้าจะส่งเจ้าไปให้ทำความรู้จักคุ้นเคยกันก่อน ถ้าเกิดว่าเจ้ากับเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ข้าก็จะมีพระราชบัญชาประทานให้เจ้าทั้งสองคนได้แต่งงานกัน ชั่วชีวิตของเขาไม่กล้าที่จะปฏิบัติอย่างไม่ชอบธรรมกับเจ้าเป็นแน่ ถ้าเกิดว่าเจ้าไม่ได้รู้สึกรักและผูกพันธ์ต่อกัน ข้าก็จะไม่บังคับ แล้วจะเรียกเจ้ากลับมา ”
“บ่าวไม่ต้องการ!บ่าวอยากอยู่ที่พระตำหนักไท่เหอจะไม่ไปไหนทั้งนั้นเพคะ”
อวี้เยี่ยนน้ำตาคลอ เฉินเสียนจึงหยุดเขียนพู่กันที่อยู่ในมือ มองมาที่เธอแล้วเอ่ยว่า“เจ้าคิดว่าข้าจะส่งเจ้าไปแค่เรื่องสานความสัมพันธ์อย่างนั้นรึ?แน่นอนว่าข้ามีภาระกิจหน้าที่จะให้เจ้าทำ”
อวี้เยี่ยนพูดขึ้นอย่างเสียงแข็งว่า“หน้าที่อันใดหรือเพคะ?”
เฉินเสียนพูดด้วยสีหน้าที่ไม่เปลี่ยน“ข้าจะให้เจ้าไปคอยจับตามองเขาทุกฝีก้าว ข้าสงสัยว่าเขาไม่จงรักภักดีต่อข้า”
“จริงหรือเพคะ?”อวี้เยี่ยนคิด ในเมื่อมันเป็นภาระกิจหน้าที่ เธอก็ไม่ควรที่จะปฏิเสธ “ฝ่าบาทต้องการให้บ่าวกับเขาสาน……สานสัมพันธ์กันหรือเพคะ?”เมื่อพูดคำนี้ออกมา มันทำให้เธอรู้สึกเขินอายขึ้นมาทันที
“แน่นอน นั่นเป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า”
“แล้วฝ่าบาทจะเรียกให้บ่าวกลับมาได้เมื่อใดหรือเพคะ?”อวี้เยี่ยนถาม
เฉินเสียนใช้ความคิดแล้วเอ่ยว่า“เมื่อเจ้าหาหลักฐานได้ว่าเขามีใจที่ไม่จงรักภักดีต่อข้า แล้วข้าจะเรียกเจ้ากลับมา”
พระราชโองการส่วนพระองค์ได้ส่งมาถึงที่จวนของเฮ่อโยวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เฮ่อเซียงรับพระราชโองการส่วนพระองค์แล้วก็รู้สึกปลื้มใจจนน้ำตาไหล ขอบคุณน้ำพระทัยที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ ราวกับว่าเขาได้เห็นหลานชายตัวน้อยกำลังกวักมือเรียกเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น
เช้าวันที่สอง เสี่ยวเฮอและแม่นมซุยได้ช่วยกันจัดระเบียบให้กับอวี้เยี่ยน ก็พบว่าเมื่อนางได้ถอดชุดกระโปรงของนางข้าหลวงออกแล้ว รูปร่างลักษณะของเธอจะเปลี่ยนไปอย่างมาก ดูโตเป็นสาวที่มีน้ำมีนวลอย่างแท้จริง
ขณะที่เฉินเสียนกำลังติดเครื่องประดับไข่มุกบนมวยผมของเธอ แล้วก็พูดกำชับไปด้วยว่า“จำเอาไว้ เมื่อถึงจวนของเขาแล้ว เจ้าจะต้องคอยจ้องติดตามเขาอย่างใกล้ชิด”
อวี้เยี่ยนกล่าวด้วยความจริงใจว่า“บ่าวทำได้แน่นอน จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังเพคะ ถ้าเกิดเขาไม่จงรักภักดีต่อฝ่าบาทจริง บ่าวจะรีบกลับมารายงานฝ่าบาทเพคะ”
เฉินเสียนพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยว่า“เมื่อถึงจวนเขาแล้ว อย่าเรียกแทนตัวเองว่าบ่าวอีก เจ้าคือนางข้าหลวงของข้า ไม่ใช่นางข้าหลวงของเขา เจ้าทั้งสองคนมีฐานะที่เสมอกัน”
“บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ”
เฉินเสียนและเหล่านางกำนัลได้ยืนส่งอยู่ตรงหัวสะพานพระตำหนักไท่เหอ เฝ้าดูการจากไปของอวี้เยี่ยน หลังจากนั้นเฉินเสียนก็จูงมือของซูเซี่ยนกลับเข้าห้อง ซูเซี่ยนกล่าวว่าขึ้นว่า“ท่านแม่บอกว่าจะส่งนางไปก็ส่งไปเลยหรือ”
อวี้เยี่ยนเป็นคนที่ดูแลซูเซี่ยนจนเติบโต เป็นเรื่องปกติที่ซูเซี่ยนนั้นจะรู้สึกเสียใจกับเรื่องแบบนี้
เฉินเสียนพูดอย่างอ่อนโยนว่า“แม่นางเติบโตพอที่จะแต่งงานได้แล้ว นางควรได้ไปอยู่ในที่พักพิงที่ดี”
ซูเซี่ยนกล่าว“อวี้เยี่ยนรู้จักพื้นฐานของตัวเอง นางเป็นคนของท่านแม่มาโดยตลอด แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”
เฉินเสียนชำเลืองมอง ใช้นิ้วแตะที่จมูกของซูเซี่ยน แล้วเอ่ยว่า“เห็นอะไรที่ไม่ดีก็อย่าได้พูดว่าไม่ดี เข้าใจหรือไม่?”
แทนที่จะส่งบุตรสาวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักให้ไปแต่งงานกับตระกูลเฮ่อ นั่นอาจจะมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักกันเองก็ได้ มันเป็นการที่ดีกว่าที่เฉินเสียนจะส่งคนที่เชื่อใจได้ให้ไปอยู่ข้างกายและแต่งงานกับเขา
อย่างไรก็ตามยังเหลือตำแหน่งนายหญิงของท่านแม่ทัพใหญ่ ไม่รู้ว่าจะมีกี่คนที่ห่วงใยเขากัน
เป่ยเซี่ย ณ จวนท่านอ๋องรุ่ย
อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่าตอนนี้ที่เป่ยเซี่ยนั้น จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้พบเจอบุตรชายที่หายตัวไปนานหลายปีกลับมาได้สองปีแล้ว และได้พระราชทานนามใหม่ว่าท่านอ๋องรุ่ยซิน
เพียงแต่เมื่อเอ่ยนามของท่านอ๋องรุ่ยก็จะนึกถึงความเจ็บป่วย หลังจากกลับมาอยู่ภูมิลำเนาเดิมของตนได้สองปีแล้ว ร่างกายของเขานั้นก็ยังคงอ่อนแอนอนป่วยติดอยู่แต่เตียง คนภายนอกนั้นไม่มีทางที่จะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเขา
พื้นที่กว้างขวางภายในห้องถูกจัดสรรได้อย่างกระชับ พร้อมด้วยความหรูหราอย่างเรียบง่ายในทุกที่ แสงแดดที่สาดส่องผ่านผ้าตารางโปร่งบางเข้ามาอย่างแสบตาจากภายนอก ราวกับทรายที่รั่วลงมาจากตะแกรง ลำแสงที่ส่องเข้ามานั้นดูนุ่มนวลอย่างมาก
กระถางธูปที่วางอยู่บนโต๊ะยาวนั่น มีกลิ่นหอมของไม้กฤษณาลอยกระจายออกไปทั่วทุกทิศอย่างจางๆ ผสมกับกลิ่นหอมของสมุนไพรที่ปกคุลมอยู่ภายในห้อง จึงทำให้เกิดกลิ่นที่แตกต่างกันออกไป
ชายผู้นั้นนอนหงายอยู่บนเตียงไม้ โดยที่มือทั้งสองวางซ้อนกันบนลำตัว ใบหน้าของเขาสงบเยือกเย็น ดวงตาที่เรียวยาวถูกปิดไว้อย่างเบาๆ ไม่รู้ว่าถ้าเกิดเขาลืมตาขึ้นมาแล้ว นัยน์ตาเรียวยาวคู่นั้นจะเป็นอย่างไร
ในทุกๆวันจะมีหมอเข้ามาในห้องนอนของเขา เคลื่อนไหวทำการรักษาอย่างเบามือ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ได้เข้ามาเยี่ยมเยือนที่จวนท่านอ๋องอยู่บ่อยครั้ง
ในช่วงระยะหนึ่งปีที่ผ่านมา อาการป่วยของเขานั้นจะมีดีบ้างไม่ดีบ้าง ถ้าเกิดอาการแย่ขึ้นมาก็จะเป็นอย่างที่เห็นอยู่ในตอนนี้ มักจะนอนหลับไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หมอที่ดูแลรักษาอาการของท่านอ๋องคือครอบครัวหมอผีที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาของเป่ยเซี่ย เขากราบบังคมทูลกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยว่า“ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บที่สาหัส อีกอย่างศรีษะของท่านอ๋องเองนั้นก็ได้รับบาดเจ็บจนทำให้นอนหลับลึกไปเช่นนี้ กระหม่อมพยายามรักษาท่านอ๋องจนสุดความสามารถมาจนถึงวันนี้แล้ว สำหรับภายหน้านั้นเขาจะค่อยๆหายหรือว่าจะอ่อนแอลง ก็คงต้องขึ้นอยู่กับฟ้าลิขิตแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่เชื่อเรื่องฟ้าลิขิตอะไรทั้งนั้น แต่เมื่อสถาการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว เขาก็ได้แต่หวังว่าสวรรค์จะทรงเมตตาและไว้ชีวิตท่านอ๋องเอาไว้
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนที่เสนอความคิดให้กับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ว่าให้ท่านอ๋องรุ่ยได้แต่งงานกับพระชายาสักคน ตามเรื่องเล่าของประชาชน ที่เรียกว่าการแต่งงานเพื่อขจัดความชั่วร้าย บางทีบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุขอาจจะไปกดระงับอาการเจ็บป่วยไว้ได้ แล้วท่านอ๋องรุ่ยก็จะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ท่านอ๋องมู่เกิดความไม่สบายใจขึ้น เมื่อกลับถึงจวนของตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาไม่หยุด
บ่าวที่อยู่รับใช้ข้างกายจึงถามเขาว่า“กำลังกังวลเรื่องใดอยู่หรือเจ้าค่ะ?”
ท่านอ๋องมู่ใช้ความคิด แล้วพูดกับบ่าวว่า“คนคนหนึ่งจะลืมเรื่องราวในอดีตไปหมดสิ้น แล้วก็เริ่มต้นใหม่ด้วยการแต่งงานสร้างครอบครัวมีลูก เรื่องแบบนี้มันจะดีหรือไม่?”
บ่าวตอบกลับว่า“มันก็เป็นเรื่องที่ดีสิเจ้าคะ”
ท่านอ๋องมู่นำด้ามจับพัดหยกมามาเคาะไปที่ฝ่ามือของตัวเอง แล้วพูดขึ้นอย่างไตร่ตรองว่า“แล้วถ้าเกิดว่าตัวเขาเองได้แต่งงานมีภรรยาและลูกอยู่แล้วหล่ะ?”
บ่าวกล่าว“โอ้ เรื่องแบบนี้ก็พูดยากเจ้าค่ะ คนที่ดีนั้นจะไม่ละทิ้งภรรยาเช่นนี้อย่างแน่นอนเจ้าค่ะ ”
“ไม่ใช่ว่าเขาจะทอดทิ้งอย่างโหดเหี้ยม แต่เป็นเพราะร่างกายตัวเขาช่วยไม่ได้หล่ะ?”
บ่าวคิดพิจารณาแล้วตอบคำถามว่า“เช่นนั้นก็ถามความคิดเห็นจากภรรยาและลูกของเขาสิเจ้าคะ”
ท่านอ๋องมู่หันกลับมา ยิ้มให้กับบ่าวแล้วเอ่ยว่า“เจ้าก็สนับสนุนให้ข้าถามภรรยาและลูกของเขาก่อนใช่หรือไม่?”
บ่าวกล่าว“บ่าวคิดว่าท่านอ๋องคงจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วนะเจ้าคะ”
ท่านอ๋องมู่ตบไปที่ไหล่ของบ่าว เดินผ่านไปแล้วเอ่ยว่า“คนที่รู้ใจข้า นั้นก็คือเพื่อนเก่าของข้าสินะ”