ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 639 ในใจของเธอมีบางอย่างที่สำคัญมากกว่านั้น
ถึงแม้จะเป็นเรื่องการแต่งงานเพื่อขจัดความชั่วร้ายของท่านอ๋องรุ่ยกับพระชายา แต่นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้อย่างประมาท จำเป็นต้องค้นหาหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์งดงาม มีความสามารถอย่างครบถ้วน และยังต้องมีดวงชะตาที่ตรงกับท่านอ๋องรุ่ยอีกด้วย
ไม่มีใครเคยได้เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงของท่านอ๋องรุ่ยว่างดงามหรืออัปลักษณ์ ยิ่งกว่านั้นท่านอ๋องยังเป็นคนที่เจ็บป่วยอีกด้วย อาจจะเสียชีวิตได้ตลอดเวลา ถ้าหากว่าแต่งงานเข้ามาในจวนแล้วเกิดเรื่องไม่ที่คาดคิดเพียงเล็กน้อยก็อาจจะทำให้กลายเป็นสาวหม้ายไปตลอดชีวิต สำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานนั้นเป็นเรื่องราวกับฝันร้ายอย่างไม่น่าสงสัย
ในช่วงเวลาขณะนี้กว่าจะค้นหาคนที่เหมาะสมมาได้ ก็คงจะต้องสิ้นเปลืองเวลาไปอีกสักระยะหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นคือท่านอ๋องมู่ได้สั่งหนึ่งในหลานชายจักรพรรดิว่า ไม่ว่าจะอย่างไรเรื่องนี้ต้องยืดเวลาออกไปก่อนอีกสักเดือนสองเดือน เมื่อเขากลับแล้วค่อยคุยกันใหม่
ท่านอ๋องมู่เป็นบุตรชายอีกคนของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยอย่างไม่น่าสงสัย การทำดีเช่นนี้สำหรับการเป็นจักรพรรดินั้นมีประโยชน์มาก เขาไม่อยากที่จะให้ท่านอ๋องรุ่ยมาแกร่งแย่งชิงตำแหน่งมงกุฎราชกุมารไป
ท่านอ๋องมู่จึงทำการเขียนสารฉบับหนึ่ง และส่งสารด่วนไปยังต้าฉู่
กลับเข้ามาสู่วสันตฤดูอีกครั้ง
อาณาจักรต้าฉู่นั้นเจริญรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็ว ประชาชนต่างมีความสงบสุข ใช้ชีวิตอย่างไม่ต้องกังวลอะไร
เฉินเสียนกำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องตำราหลวง เมื่อเหลียนชิงโจวมาเข้ามาด้านใน กล่าวคำเคารพอย่างนอบน้อม “ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”
เมื่อเฉินเสียนจดบันทึกสมุดบัญชีเสร็จแล้ว จึงพูดขึ้นว่า“ยืนขึ้นได้”
เธอวางพู่กันสีแดงในมือลง แล้วลุกเดินออกจากโต๊ะมาเชิญให้เหลียนชิงโจวนั่งลง นางกำนัลก็ได้ยกน้ำชาสองถ้วยเข้ามา
เฉินเสียนใช้นิ้วคีบฝาปิดถ้วยชาขึ้นมาแล้วจิ้มนิ้วลงไปแตะเล่นกับใบชาที่ลอยขึ้นมา แล้วกล่าวว่า“ข้าได้ยินมาว่าปีนี้เจ้าไม่ได้กลับมาเมืองหลวงในช่วงเทศกาลตรุษจีน และเพิ่งจะกลับมาได้ไม่นานนี้เอง”
เหลียนชิงโจวกล่าว“ใช่พ่ะย่ะค่ะ การค้าด้านนอกเมืองนั้นยุ่งมาก จนไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้น“แต่ว่าเจ้าได้ไปสร้างบ้านอยู่ที่ต่างเมืองแล้ว อนาคตเจ้าตั้งใจจะกลับมาที่เมืองหลวงน้อยลงแล้วใช่หรือไม่?”
เงียบไปสักครู่ แล้วยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างจิ้งจอก“ไม่มีเรื่องอันใดที่จะปิดบังจักรพรรดินีไว้ได้เลยจริงๆนะพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วครั้งนี้เจ้าก็ได้พาหญิงสาวต่างถิ่นกลับมาด้วย เจ้าแต่งงานแล้วหรือ?” เฉินเสียนเงยหน้าถามเขา
แม้ว่าเธอจะมีสีหน้าที่เรียบเฉย แต่ดวงตาคู่นั้นดั่งกับหยั่งรู้ทุกอย่างบนโลกนี้ ถ้าเกิดว่าเหลียนชิงโจวโกหกในตอนที่อยู่ต่อหน้าเธอ คงจะปิดบังไม่ได้อย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเฉินเสียนจะถามขึ้นมาในตอนนี้ แต่จริงๆแล้วเธอเองก็รู้เรื่องราวทั้งหมดอยู่ก่อนแล้ว
เหลียนชิงโจวกล่าว“นางเป็นหญิงสาวธรรมดา เมื่อก่อนตอนที่ออกทะเลแล้วประสบกับภัยพิบัติทางทะเล เธอได้ช่วยชีวิตข้าน้อยเอาไว้ จึงเป็นบุญคุณที่เธอได้ดูแลมาสักระยะหนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”
“ดังนั้นก็เลยก่อเกิความรักใช่หรือไม่?”
“น่าจะใช่พ่ะย่ะค่ะ”
นี่ไม่ใช่เรื่องที่แปลก คิดว่าเหลียนชิงโจวนั้นได้ทำการค้าขายอย่างเหน็ดเหนื่อยยากลำบากในต้าฉู่ คงจะเคยชินกับการได้พบเจอหญิงสาวที่งดงามมาทุกรูปแบบ สุดท้ายก็กลับเลือกหญิงสาวธรรมดาๆคนหนึ่งมาอยู่ใช้ชีวิตคู่อยู่ร่วมกัน
เขาดูเป็นคนที่เฉลียวฉลาด รู้ว่าความงดงามนั้นไม่ได้อยู่คงทนตลอดไป การอยู่กับความธรรมดาที่เป็นจริง แบบเรียบง่ายนั่นคือความสุข
ถ้าเฉินเสียนไม่สนใจที่จะถามเหลียนชิงโจว เมื่อคิดดูแล้วเขาก็คงตั้งใจจะค่อยๆย้ายออกไปจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรก็ตามเขาคือคนที่อยู่กับซูเจ๋อมานานหลายปี ก็น่าจะรู้ว่าการค้าขายและการเมืองนั้นเกี่ยวเชื่อมโยงกัน มีความอันตรายซ่อนมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง
แต่เหลียนชิงโจวนั้นยังคงเป็นพ่อค้าในนามของจักรพรรดิ อยากที่สะบัดให้หลุดพ้นก็คงจะไม่ง่ายสักเท่าไหร
ปัจจุบันค่าใช้จ่ายในพระราชวังของต้าฉู่ทั้งหมด ได้มาจากเหลียนชิงโจวที่ได้ทำการจัดซื้อสินค้าจากต่างแดนกลับมา ไม่มีอะไรไปมากกว่าสินค้าที่สามารถแลกเปลี่ยนได้ในราคาเดียวกัน บ่อเกลือและเหมืองแร่ของต้าฉู่และสินแร่อื่นๆนั้นที่เป็นช่องทางการทำเงินยังคงถูกควบคุมด้วยทางราชสำนักอยู่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เหลียนชิงโจวก็ยังคงส่งเครื่องบรรณาการมายังราชสำนักทุกๆปี
“ไม่ทราบว่าที่ฝ่าบาทเรียกข้าน้อยมาเข้าเฝ้า มีอะไรจะรับสั่งหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างสบายๆว่า“ตอนนี้ต้าฉู่ของข้านั้นมีความมั่นคงทั้งภายในและภายนอกอาณาจักร เหลือเพียงแค่จำทำอย่างไรให้อาณาจักรนั้นร่ำรวยยิ่งขึ้น ช่วงนี้ข้าก็เลยคิดว่าอยากจะร่วมทำการค้าขายกับเจ้า”
เหลียนชิงโจวมีสีหน้าที่สงบ แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า“ข้าน้อยทำการค้าธัญพืชและค้าน้ำมันเล็กๆน้อยๆ ถ้ามันสามารถช่วยแบ่งเบาความกังวลใจของฝ่าบาทได้ ขอฝ่าบาทได้โปรดทรงรับสั่งมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว“การค้าธัญพืชและน้ำมันเล็กๆน้อยๆ หากแต่การค้าเช่นนี้ก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในต้าฉู่ การทำมาหากินของประชาชน เจ้าสามารถทำให้ต้าฉู่เกิดความวุ่นวายได้แล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ยังทำให้เกิดครั้งที่สองได้ คงจะไม่ต้องพูดเลยว่าร้านธัญพืชเหลียนจี้นั้นจะหยุดอยู่ที่การค้าขายแค่ธัญพืชและน้ำมัน ผ้าไหม ใบชา เครื่องเคลือบลายครามโบราณ และหยก เพียงแต่สิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวันของประชาชนต้าฉู่ของข้านั้น
ทั้งหมดก็เป็นสิ่งของที่เจ้านั้นครอบครองเอาไว้อยู่แล้ว และตอนนี้เจ้ายังจะแสร้งกับข้าอีกรึ?”
เธอพูดออกมาอย่างแผ่วเบา จนทำให้มือของเหลียนชิงโจวนั้นกลับมีเหงื่อออก
เฉินเสียนนั้นไม่ใช่เฉินเสียนในอดีตแล้ว เหลียนชิงโจวนั้นก็เข้าใจ ในตอนนี้เธอพูดคุยกับเขาอย่างไม่ตรีจิต ถ้าเกิดว่าเขายังหลีกเลี่ยงประเด็นสำคัญไปอีก เธอก็คงจะไม่พูดกับเขาด้วยไมตรีจิตแล้วก็ได้
ในใจของเธอมีบางอย่างที่สำคัญมากกว่านั้น ไม่ใช่คำที่เรียบง่ายว่า“ความกตัญญู”สองคำนี้ที่จะครอบคลุมทุกสิ่งอย่างได้
เหลียนชิงโจวกล่าว“เช่นนั้นมาคุยเรื่องการค้ากันดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”เขาไม่ได้หวังที่จะได้กำไรมากมายจากเรื่องนี้ เพียงแค่สามารถรักษาชีวิตน้อยๆนี้ไว้ได้ก็ถือว่ากำไรแล้ว
เฉินเสียนใช้นิ้วเคาะไปที่โต๊ะแล้วเอ่ยว่า“แม้ว่าเจ้าจะเป็นพ่อค้าในนามจักรพรรดิของต้าฉู่ แต่ก็ยังเป็นเพียงพ่อค้าพลเมืองคนหนึ่ง บ่อเกลือและเหมืองแร่คือเส้นเลือดใหญ่ของต้าฉู้ ผลกำไรจากที่นี่นั้นมิอาจประเมินค่าได้” เธอวางนิ้วลงทันที แล้วมองที่เหลียนชิงโจว “เจ้าอยากครอบครองมันหรือไม่?”
เหลียนชิงโจวใช้ความคิดแล้วเอ่ยว่า“คนใจซื่อนั้นจะไม่พูดลับลมคมใน ไม่อยากจะแสร้งทำเป็นคนดี เพียงแต่ข้าน้อยนั้นรักในความมั่งคั่ง แล้วก็ยังรักชีวิต สามารถที่จะครอบครองทั้งสองได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนกล่าว “เจ้าเป็นพ่อค้าในนามจักรพรรดิที่มีความมั่งคั่งบนโลกหล้า ถ้าเกิดไม่มีชีวิตก็คงไม่เสียดาย? ข้าตั้งใจจะปรับปรุงระบบบ่อเกลือและเหมืองแร่ให้ดีขึ้น ทำประชาชนพลเรือนได้ร่วมกันเป็นเจ้าของและร่วมกันควบคุมดูแล ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะเป็นประชาชนเพียงหนึ่งเดียวของต้าฉู่ที่จะได้ร่วมมือกับฝ่ายการค้าของราชสำนัก ข้าขอแค่สองส่วนสิบจากผลกำไรของเจ้า เจ้าคิดว่าเป็นอย่างไร?”
เหลียนชิงโจวครุ่นคิดอยู่นาน จึงเอ่ยขึ้นว่า“ฝ่าบาทต้องการอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนกล่าว“ข้าต้องการห้าส่วนสิบของทั้งหมดการค้าเหลียนจี้ ไม่ว่าเจ้าจะไปทำการค้าที่ใดของต้าฉู่ หรือแม้แต่ขยายค้าการไปที่เย่เหลียงหรือเป่ยเซี่ย การค้าขายของเจ้าทั้งหมด ครึ่งหนึ่งจะเป็นของราชสำนัก แน่นอนว่าไม่ใช่เจ้าเป็นคนจ่ายออกไปทั้งหมด จะมีทางราชสำนักเป็นฝ่ายที่คอยประคับประคองอยู่ด้านหลัง ”
หลังจากที่เหลียนชิงโจวใช้ดุลพินิจพิจารณาแล้ว ก็ให้คำตอบออกมาว่า“ได้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยยินดีที่จะร่วมทำการค้ากับฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนพูดออกมาอย่างไม่แปลกใจ “รู้สึกสดชื่นหรือไม่?”
เหลียนชิงโจวกล่าว“ใช้ห้าส่วนสิบของการค้าประชาชนแลกกับฝ่ายการค้าของราชสำนักส่วนสิบ แม้จะดูว่าการแบ่งปันนั้นไม่ค่อยจะถูกต้อง แต่ข้าน้อยนั้นก็ไม่ได้ถูกเอาเปรียบ ต่อไปภายหน้าทุกๆเรื่องของข้าน้อยก็คงต้องพิงพึงราชสำนัก ต้องเป็นแหล่งการเงินที่พิเศษมาก”
แน่นอนว่าเข้ารู้ว่าเฉินเสียนต้องการใช้เขาเพื่อไปควบคุมดูแลบ่อเกลือและเหมืองแร่ที่ดำเนินการโดยฝ่ายการค้าของราชสำนักแม้ว่าจะดึงส่วนแบ่งออกไปสองส่วนสิบของทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วฝ่ายการค้าของราชสำนักก็มิอาจจะกล้าประพฤติไม่ชอบ ทุกปีเงินก็จะถูกส่งมอบให้เป็นทรัพย์สินในท้องพระคลังที่แบ่งให้กับเขานั้นจะน้อยลงสักเท่าไหร
แม้ว่าผลกำไรสองส่วนสิบนั้นจะดูไม่คุ้มกับห้าส่วนสิบของการค้าของเหลียนชิงโจว แต่ถ้ามีราชสำนักเป็นกองหนุนให้ ต่อไปก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการใช้ชีวิตในอนาคต และยังมีเส้นทางการค้าขายและทรัพยากรที่สะดวกมากขึ้นไปอีก
และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาไม่ตอบรับ เฉินเสียนก็คงไปหาพ่อค้าที่ยินดีที่จะมาพึงพิงกับทางราชสำนัก และถือมันไว้ในมืออย่างมั่นคง ในอนาคตอาจจะเป็นคู่แข่งทางการค้ากับเขาก็เป็นได้
เฉินเสียนต้องการที่จะใช้เขาเพื่อรวบรวมเศรษฐกิจของต้าฉู่ให่กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง และเธอยังต้องการใช้เขา เป็นตัวแทนตัวเองเพื่อที่จะเปิดโลกกว้างความมั่งคั่งทางการค้า
โชคดีที่เหลียนชิงโจวนั้นเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ร่ำรวยจากการมิชอบธรรมแต่ก็ไม่โลภมาก จริงใจและเต็มที่กับผู้อื่นเพื่อเปิดเส้นทางตัวเองให้กว้างขึ้น
เมื่อเรื่องนี้ได้รับการพิจารณาไป ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้เหลียนชิงโจวก็ได้แบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของการค้าเหลียนจี้ตามสัญญาการค้าส่งไปถึงมือของเฉินเสียน การค้าของเหลียนจี้นั้นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่เป็นการเพิ่มนายจ้างที่คอยสนับสนุนอยู่ด้านหลังขึ้นมาเพิ่มหนึ่งคน การค้าด้านหน้าก็ยังคงเป็นการค้าของเหลียนชิงโจว
เฉินเสียนได้ทำสัญญาทางการค้าแล้ว จึงให้ยื่นแผนที่หนึ่งให้กับเหลียนชิงโจว
เหลียนชิงโจวเปิดออกดูแล้วพูดว่า“นี่มันเป็นแผนที่ของเมืองเย่เหลียงหรือพ่ะย่ะค่ะ?”