ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 647 ท่านอ๋อง ฝ่าบาท ฝ่าบาทมาอีกแล้วเพคะ!
เฉินเสียนไม่ได้พูดถึงสาเหตุที่เธอมา และจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ไม่กล้าจะซักถามมากนัก เขาต้องการดูว่า เธอเป็นถึงองค์จักรพรรดิของอาณาจักรต้าฉู่ สามารถอยู่ในเมืองหลวงของเป่ยเซี่ยไปได้นานแค่ไหน
ในตอนแรกมีท่านอ๋องมู่เป็นเจ้าภาพ นำเฉินเสียนเตร็ดเตร่ไปรอบ ๆ ตัวเมือง
ต่อมา ท่านอ๋องมู่เห็นว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างมาก และไม่ต้องการเกิดความขุ่นเคืองใด ๆ กับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ดังนั้นจึงปล่อยให้องค์หญิงจาวหยางพระราชธิดาของพระองค์เป็นคนนำเฉินเสียนเดินเที่ยวรอบ ๆ
เมื่อเฉินเสียนออกไป ฉินหรูเหลียงและองครักษ์จะติดตามข้างกายเธอเสมอ เมื่อเธอพบกับองค์หญิงจาวหยางเป็นครั้งแรก เธออดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ฉินหรูเหลียงที่อยู่เบื้องหลังเฉินเสียนจากนั้นมองไปที่เฉินเสียนอย่างระมัดระวังและกล่าวว่า “องค์จักรพรรดินีเป็นท่านเองหรือที่จะแย่งพี่ชายของข้าไป?”
“ท่านคิดว่าไม่เหมือนหรือ?”
องค์หญิงจาวหยางแทบไม่อยากจะเชื่อและกล่าวว่า “ข้าแค่คิดว่าไม่น่าเป็นไรได้”
ท่านอ๋องจะอภิเษกสมรสแต่กลับมีคนมาแย่งเจ้าบ่าวไป ผู้หญิงที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ ต้องเป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริง ๆ แต่ผู้หญิงที่มาแย่งเจ้าบ่าวไปกลับไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา แต่เป็นถึงองค์จักรพรรดินีของอาณาจักรอื่น ผู้หญิงที่เป็นกษัตริย์ สำหรับองค์หญิงจาวหยางแล้วเธอรู้สึกแปลกประหลาดมาก
อย่างไรก็ตาม หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งวัน ไม่ต้องการให้องค์หญิงจาวหยางคุ้นเคยกับเฉินเสียน
องค์หญิงจาวหยางดูเหมือนจะชอบฉินหรูเหลียงเป็นพิเศษ และกล่าวกับเฉินเสียนว่า “ฝ่าบาท เขาเป็นใครกันหรือเพคะ?”
เฉินเสียนกล่าว “เขาเป็นท่านแม่ทัพใหญ่ของต้าฉู่”
องค์หญิงจาวหยางถาม “ผู้ชายที่ต้าฉู่ดูหล่อเหลาเหมือนเขาทั้งหมดหรือเปล่าเพคะ?” ยิ่งเธอมองเธอก็ยิ่งรู้สึกถูกชะตา และเธอก็พูดคุยกับเฉินเสียน “อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปที่ร้านเครื่องประดับ ไม่อย่างงั้น หม่อมฉันพาฝ่าบาทเสด็จไปที่จวนท่านอ๋องรุ่ยก่อน แล้วหม่อมฉันค่อยไปเดินเล่นเองดีไหมเพคะ”
เฉินเสียนหรี่ตาของเธอและกล่าวว่า “องค์หญิงช่างมีน้ำใจเสียจริง ช่างถูกใจข้าจริง ๆ”
องค์หญิงจาวหยางกล่าว “เรื่องเล็กน้อยเพคะ เพื่อความสะดวกของฝ่าบาทและเพื่อความสะดวกของหม่อมฉันด้วยเพคะ”
เมื่อมาถึงจวนท่านอ๋องรุ่ย ทหารยามทำการคุ้มกันแน่นหนากว่าแต่ก่อน ไม่บอกก็รู้ จกัรพรรดิเป่ยเซี่ยทำเพื่อป้องกันเฉินเสียน หากเฉินเสียนแค่คนเดียว คงไม่มีทางที่จะเข้าไปจากที่นี่อย่างเปิดเผย และท่านอ๋องมู่ก็ไม่กล้าที่จะช่วยเหลืออย่างโจ่งแจ้ง สำหรับองค์หญิงจาวหยางนั้น เธอมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น และเธอก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของ ท่านอ๋องรุ่ย ที่มีอิสระในการเข้าและออกจวนท่านอ๋องรุ่ย
จึงเหมาะสมเป็นอย่างมากที่มีเธอเป็นคนนำเฉินเสียนเข้าไปในจวนท่านอ๋อง
หลังจากเข้าไปในจวน องค์หญิงจาวหยางและพ่อบ้านที่จวนท่านอ๋องกล่าวอย่างจริงจัง “พระองค์คือองค์จักรพรรดิของอาณาจักรต้าฉู่ เดินทางมาแสนไกล และพระองค์เป็นอาคันตุกะของเป่ยเซี่ย ตอนนี้องค์จักรพรรดิต้องการเข้าไปเดินเล่นรอบสวนและภูมิทัศน์ของจวนท่านอ๋องของเป่ยเซี่ย พวกเจ้าต้องคอยต้อนรับอย่างดี อย่าทำให้มีอะไรผิดพลาด”
พ่อบ้านจวนท่านอ๋องตอบรับอย่างระมัดระวัง
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นและกล่าวอย่างจริงจังว่า “องค์หญิงไม่ได้จะไปร้านเครื่องประดับหรอกหรือ ฉินหรูเหลียง ท่านพาองค์หญิงออกไปเดินเล่น คุ้มกันความปลอดภัยให้กับองค์หญิงนะ”
องค์หญิงจาวหยางเดินอย่างช้า ๆ ด้วยการเอามือไพล่หลัง และกระซิบอย่างสนุกสนานกับเฉินเสียน “ฝ่าบาทแน่มากเลยเพคะ เยี่ยมเพคะ!”
เฉินเสียนกล่าว “เพื่อความสะดวกของท่าน และเพื่อความสะดวกของข้า”
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปาก เผยให้เห็นใบหน้าที่เย็นชาและหล่อเหลา
องค์หญิงจาวหยางเดินมาใกล้ ๆ เขา และกล่าวว่า “จักรพรรดิของท่านบอกให้ท่านคุ้มครองความปลอดภัยให้กับข้า งั้นข้าไม่เกรงใจละนะ เราไปกันเถอะ”
และฉินหรูเหลียงก็ถูกเฉินเสียนจับคู่ แต่ไม่มีทางปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิได้ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาองค์หญิงจาวหยางออกจากจวนอย่างเย็นชา
ครั้งก่อนเจ้าสาวยังไม่ได้ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับท่านอ๋องรุ่ย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเข้าห้องหอ ถึงแม้คนในจวนต่างให้ความเคารพและให้เกียรติเธอ และยังเรียกเธอว่าว่าที่พระชายา แต่เธอก็ยังไม่ถือว่าเป็นพระชายาของท่านอ๋องรุ่ยโดยชอบธรรม ก็ต้องถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เธอพักอยู่ที่เรือนด้านข้างเรือนหลักมาแล้วหลายวัน และเธอรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หนทางที่จะไปต่อ
ได้ยินมาว่าอาการป่วยของท่านอ๋องรุ่ยเริ่มดีขึ้นทุกวัน หากอยากเป็นพระชายาท่านอ๋องรุ่ยตามที่คาดหวังจะรู้ว่าไม่สามารถอยู่เฉย ๆ ได้อีกต่อไป
ดังนั้นเธอจึงริเริ่มที่จะสนเป็นห่วงเป็นใยอาการป่วยของท่านอ๋องรุ่ย และเดินเข้าออกเรือนหลักบ่อยครั้ง เมื่อก่อนเธอไม่เคยได้พบหน้าท่านอ๋องรุ่ย แต่หลังจากที่เธอเข้ามาในเรือนหลักและได้พบหน้าเพียงหนึ่งครั้ง เธอจึงมาที่เรือนหลักทุกวันราวกับว่าเธอสูญเสียจิตวิญญาณของเธอไปแล้ว
หลานเอ๋อร์รู้สึกอารมณ์เสียมากเมื่อรู้ว่าหลังจากว่าที่พระชายาได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของท่านอ๋อง เธอเลยเปลี่ยนไปเป็นหมั่นเข้ามาที่เรือนหลัก นี่ขนาดยังไม่อภิเษกสมรสอย่างถูกต้อง หลานเอ๋อร์ได้ยินมาว่าเธอมักร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง
ตั้งแต่ที่ว่าที่พระชายาเดินเข้าออกที่เรือนหลักบ่อยครั้ง เธอก็นำงานของหลานเอ๋อร์ไปปฏิบัติเอง ทุกวันมักเข้าไปในห้องและเปิดหน้าต่าง นำน้ำชาและยาไปถวาย ดูแลปรนนิบัติเป็นอย่างดี
สาวใช้ในจวนต่างไม่พอใจในตัวเธอ สถานะของว่าที่พระชายาก็ดูสูงขึ้นกว่านางสนองพระโอษฐ์มาก แต่กลับทำเหมือนตัวเองเป็นนางสนองพระโอษฐ์ที่คอยเข้าหาท่านอ๋อง ทุกครั้งที่เธอปรากฏตัว มักมีกลิ่นหอมที่ฉุนจมูก ไม่รู้ว่าทาแป้งหนาไปสักเท่าไหร่
เพียงแต่ว่าเธอพยายามอย่างหนักมาเป็นเวลานานและไม่เคยเห็นซูเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองเธอ เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเล็กน้อย ต่อมาทันทีที่หมอเทวดาเข้ามาในห้องและได้กลิ่นแป้งที่แรงของเธอ และเตือนเธอว่ากลิ่นนั้นรุนแรงเกินไปและไม่เอื้อต่อการพักฟื้นของซูเจ๋อ
หลานเอ๋อร์ได้ยินว่าองค์หญิงจาวหยางพาอาคันตุกะมาที่ประตู ดังนั้นนางจึงวิ่งไปที่ลานด้านหน้าเพื่อดู เมื่อนางมาถึง องค์หญิงจาวหยางก็เดินจากไปแล้ว เหลือเพียงอาคันตุกะ พร้อมด้วยพ่อบ้านพยักหน้าและโค้งคำนับอย่างระมัดระวัง
หลานเอ๋อร์หลบซ่อนตัวอยู่หลังเสา สายตาส่องประกายเมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นั้นค่อนข้างคุ้นเคย
ในขณะนั้นเฉินเสียนกำลังยืนอยู่ในลานกว้างและมองไปรอบ ๆ ดวงตาที่ไม่สุขหรือทุกข์ของเธอจ้องมองเข้ากับหลานเอ๋อร์
ด้วยเหตุนี้ หลานเอ๋อร์มองเห็นเฉินเสียนอย่างชัดเจนราวกับว่านางได้เห็นผี
พ่อบ้านยังถามว่า “ฝ่าบาทเสด็จมาชมสวนในจวน ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อนดีพ่ะย่ะค่ะ?”
หลานเอ๋อร์หันหลังกลับและรีบวิ่งไปที่เรือนด้านหลัง เฉินเสียนก้าวเท้ายกขึ้นตามอย่างไม่รีบร้อนและกล่าวว่า “งั้นเริ่มจากที่เรือนหลักก่อนแล้วกัน”
หลานเอ๋อร์รีบวิ่งกลับมาที่เรือนหลัก และยืนอยู่ที่ประตูด้วยความตกใจและกล่าวกับซูเจ๋อว่า “ท่านอ๋อง ฝ่าบาท ฝ่าบาทมาอีกแล้วเพคะ!”
ซูเจ๋อยิ้มและไม่ได้คิดอะไร
หลานเอ๋อร์ไม่เคยคาดคิดว่าคนที่มาแย่งท่านอ๋องตั้งแต่แรกนั้นคือกษัตริย์
เมื่อเฉินเสียนก้าวเข้าไปในลานบ้าน ภาพที่เห็นยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตรงกลางลานมีสระน้ำหินซึ่งมีปลาคาร์พสีสดใสว่ายอยู่อย่างสบายใจ
เฉินเสียนยืนอยู่หน้าภูเขาจำลอง และเล่นกับปลาคาร์พ สาวใช้ในเรือนยืนตรงอยู่ที่ใต้ระเบียง ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นเธอ แต่ก็มีการป้องกันอยู่บ้างด้วยความไม่คุ้นเคย
“ท่านอ๋องของพวกเจ้าล่ะ?” เฉินเสียนถาม
หลานเอ๋อร์ตอบอย่างระมัดระวัง “ตอนนี้ท่านอ๋องนอนพักผ่อนอยู่เพคะ ท่านอ๋องไม่ต้องการรับแขกเพคะ”
ซูเจ๋ออยู่ในห้องในเวลานี้ มีหนังสืออยู่ในมือของเขา ได้ยินเสียงของเฉินเสียนจากข้างนอก สายตาของเขาอยู่ระหว่างบรรทัดในหนังสือ และเขาไม่ได้พลิกหน้าหนังสือเลยสักพัก
เฉินเสียนไม่ได้ใจร้อน ราวกับว่าเธอมาคุยกับสาวใช้แล้วถามว่า “วันนี้เขานอนไปแล้วกี่ชั่วโมงหรือ?”
หลานเอ๋อร์ตอบอย่างไม่คิดอะไร “ตอนกลางคืนนอนแปดชั่วโมง ตอนกลางวันงีบหลับเมื่อเหนื่อยในระหว่างวันเพคะ”
เฉินเสียนพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นก็ดี ถือว่ายังมีการพักฟื้นร่างกายอยู่” เมื่อก่อนตอนที่เขาทำงานทั้งวันทั้งคืนอยู่ที่ต้าฉู่ เฉินเสียนได้ยินพ่อบ้านบอกว่าเขามีเวลาพักเพียงสองชั่วโมงต่อคืนเท่านั้น
หลานเอ๋อร์กะพริบตา รู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเล็กน้อยจากน้ำเสียงที่สงบของเธอ
เฉินเสียนยังถามอีกว่า “เรื่องอาหารการกินของเขาล่ะ?”