ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 649 ท่านได้เคยกราบไหว้ฟ้าดินแล้วกับคนคนหนึ่ง
ซูเจ๋อวางม้วนหนังสือในมือบนโต๊ะเล็ก ๆ ตรงหน้าเขา เอื้อมมือออกไปรับชามยา ดูเหมือนเฉินเสียนไม่อยากจะยื่นถ้วยยาให้แก่เขาเลย เธอนั่งลงข้าง ๆ เขาแล้วหยิบช้อนยาป้อนให้เขา
เฉินเสียนอยู่ใกล้เขามาก ซูเจ๋อหลับตาลงทำให้มองเห็นการแสดงออกที่จดจ่อของเธอ เมื่อยามาถึงปาก เขาพูดอย่างอ่อนโยน “ข้ากลัวขม”
เฉินเสียนหยุดชะงัก ภายใต้การจ้องมองที่จดจ่อของซูเจ๋อ เธอทดลองชิมยาด้วยตัวเอง และกล่าวว่า “ไม่ขมเลย”
ซูเจ๋อเอนหลังพิงหมอนอย่างเกียจคร้านและยิ้มอย่างแผ่วเบา “ท่านป้อนข้าทีละช้อน ๆ ความขมมันก็ค่อย ๆ เข้ามาทีละนิดเหมือนกัน ท่านกำลังเอาคืนที่ครั้งก่อนข้าทำกับท่านใช่ไหม”
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นและยื่นมือออกไปป้อนยาให้เขา “แล้วท่านจะกินยาไหม ถ้าไม่กิน ข้าจะป้อนท่านทีละคำ ใช้ปากป้อนทีละคำแบบนั้น”
เมื่อเฉินเสียนป้อนยา ซูเจ๋อก็ดูให้ความร่วมมืออ้าปากกินยาลง เพียงแต่หลังจากได้ยินที่เฉินเสียนพูดเมื่อครู่โดยที่เธอไม่มีอาการหน้าแดงหัวใจเต้นแรง ก็ทำให้ซูเจ๋อสำลัก และไอสองสามครั้ง
เธอขดริมฝีปากและยิ้มออกมาเล็กน้อย เอนตัวไปข้างหน้า และลูบหลังซูเจ๋ออย่างนุ่มนวล
เมื่อลืมตาขึ้น สายตาของเฉินเสียนก็จ้องไปที่ดวงตาของซูเจ๋อโดยไม่ทันตั้งตัว เธอเหมือนถูกเขาดึงดูด เธอยังคงเห็นเงาสะท้อนของเธอในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน แต่เธอมักจะคิดถึงอารมณ์ที่ลึกซึ้งและลุกโชติช่วงที่เธอคุ้นเคยอยู่เสมอ
แต่ดวงตาของทั้งสองประสานกันและยังสามารถผสมความรู้สึกที่ต่างกันได้
ซูเจ๋อถาม “เมื่อสักครู่ท่านบอกว่า ว่าที่พระชายาไม่ได้เป็นผู้หญิงแบบที่ข้าชอบ งั้นท่านบอกข้ามาสิว่าผู้หญิงแบบไหนที่ข้าชอบ”
เฉินเสียนกล่าว “ท่านไม่ได้หลับหรอกหรือ ทำให้ถึงได้ยินที่คนอื่นพูด”
ซูเจ๋อกระซิบเบา ๆ “ข้าคิดว่าท่านจะอยู่ข้างนอกแค่ไม่นาน หลังจากนั้นก็จะกลับออกไป เลยไม่ได้คิดจะขัดขืน”
หลังจากดื่มยาหนึ่งถ้วยเสร็จ เฉินเสียนก็ผสมน้ำอุ่นและให้ซูเจ๋อดื่ม เธอกล่าวว่า “ข้าก็แค่ยึดติดเฉพาะกับท่านเท่านั้น” เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาแล้วกล่าวอีกว่า “ท่านดูลักษณะแบบข้า เหมือนอย่างที่ท่านชอบไหม?”
ซูเจ๋อมองดูใบหน้าของเธอ เธอมีดวงตาเย็นเป็นประกายคู่หนึ่ง และริมฝีปากของเธอไม่ได้สัมผัสกัน ดวงตาของเขาค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเข้ม
ต่อมา เฉินเสียนก็กลายมาเป็นแขกประจำของจวนท่านอ๋องรุ่ย
สาวใช้ในเรือนต่างเริ่มคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ตอนที่เฉินเสียนจัดการว่าที่พระชายาครั้งก่อน สาวใช้ต่างก็ปฏิบัติต่อเธอด้วยความเกรงกลัวและเคารพ
และเฉินเสียนก็ไม่เห็นว่าที่พระชายามาที่เรือนหลักอีกเลย
หลานเอ๋อร์ค้นพบว่าไม่เคยมีใครที่เหมาะกับท่านอ๋อง ไม่ว่าจะพูดคุยหรือเล่นหมากรุกและดื่มชา ราวกับเพียงแค่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่าง ก็ดูเหมือนว่าสามารถมีเรื่องให้พูดคุยไม่รู้จบและสนุกสนานได้
เพราะจักรพรรดินีมีความรู้และมีโลกทัศน์ จึงสามารถช่วยให้เขาเปลี่ยนความเหงาในยามว่างได้ ซูเจ๋อมักเห็นว่าคิ้วของเธอนั้นเรียบและไม่มีร่องคลื่น
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “หากวันไหนข้าไม่มีเรื่องราวจะพูดคุยกับท่าน ก็คงเหลือแค่เพียงความโหยหาคิดถึง”
ซูเจ๋อคงคิดว่าเฉินเสียนเป็นผู้หญิงที่น่าตกใจและไม่เคยปิดบังความรู้สึกของเธอต่อตัวเอง แต่เธอไม่เคยบังคับซูเจ๋อ โดยหวังว่าเขาจะจำอดีตได้โดยเร็วที่สุด
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องราวในอดีตระหว่างพวกเขา นับประสาความสิ้นหวังและความเจ็บปวดที่เธอได้รับ
เมื่อเรื่องราวของคนสองคนถูกจดจำได้เพียงคนเดียวในท้ายที่สุด มันค่อนข้างจะโดดเดี่ยวที่จะพูดออกมา
ซูเจ๋อใช้นิ้วเรียวของเขาวางคั่นบนหนังสือ และกล่าวว่า “ท่านเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรต้าฉู่ ทำไมต้องทำเช่นนี้”
เฉินเสียนมองมาที่เขา และพึมพำ “เพราะตลอดชีวิตของข้า รักเพียงแค่ท่านคนเดียวเท่านั้น”
ซูเจ๋อใจสั่นกะทันหัน และเขาก็รู้สึกประทับใจเล็กน้อยกับคำพูดของเธอ เขายิ้มอยู่นานและกล่าวว่า “แต่ข้ามีพระชายาแล้ว”
“แต่ท่านไม่ได้ชอบเขาไม่ใช่หรือ และท่านก็ไม่ได้เต็มใจที่จะแต่งงานกับเขา ผู้หญิงคนนั้นเป็นเพียงแค่คนที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมอบให้แก่ท่าน”
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ปฏิเสธ ก่อนหน้านั้นที่ว่าที่พระชายาเข้ามาที่เรือนของเขา เขาก็ปล่อยไป ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว การได้ใครมาเป็นพระชายา ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญใด ๆ เลย
ซูเจ๋อไม่ตอบสักพัก บางทีเขาอาจกำลังพิจารณาอยู่ว่าจะพูดออกมาอย่างไรดี เพื่อไม่ทำให้เฉินเสียนเสียใจ
มีแสงวาบอยู่ข้างหน้า เฉินเสียนไม่สามารถอ่านความคิดของเขาได้ เกรงว่าชายที่อยู่ข้างหน้าเธอจะไม่ใช่ของเธออีกต่อไป เธอเอนตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อด้วยใบหน้าซีดเซียวเพื่อกอดเขา เอื้อมมือออกไปและกอดเขาแน่น
คราวนี้ไม่มีการหยุดอีกต่อไป เขารู้สึกถึงคนในอ้อมแขนของเขาจริงๆ และเขาก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง
เธอไม่มีกลิ่นฉุนของแป้ง แต่ลมหายใจของเธอดีมาก
เฉินเสียนใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวของซูเจ๋อ และค่อยๆ ถูเสื้อของเขาด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาปั่นป่วนจนเธอแทบจะน้ำตาไหล แต่เธอยังคงเก็บอารมณ์บ้า ๆ เหล่านั้นไว้อย่างใจเย็น
อ้อมกอดนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แต่เธอต้องบังคับตัวเองให้ตื่น
เฉินเสียนกล่าว “ซูเจ๋อ ท่านคงจะลืมไปแล้วว่าท่านได้เคยกราบไหว้ฟ้าดินแล้วกับคนคนหนึ่ง”
ซูเจ๋อกล่าว “งั้นท่านคิดว่า ข้าจะกลับไปต้าฉู่กับท่านไหม?”
ทันทีที่เขาพูด ซูเจ๋อเองก็รู้สึกว่ามันไม่เหมาะสม และขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าเขากำลังถามเฉินเสียนหรือตัวเขาเอง
ด้วยความช่วยเหลือขององค์หญิงจาวหยาง ที่ทำให้เฉินเสียนได้ไปจวนอ๋องรุ่ยบ่อยครั้งนั้น กลับรู้ไปถึงจักรพรรดิเป่ยเซี่ย องค์หญิงจาวหยางจึงทรงถูกตำหนิอย่างรุนแรงอย่างไม่ต้องสงสัย
ในที่สุดจักรพรรดิก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาไม่คิดว่าเฉินเสียนจะอดทนได้ถึงเพียงนี้ หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเธอคงคิดวางแผนลงหลักปักฐานอยู่ที่เป่ยเซี่ยเป็นแน่ ตอนนี้ซูเจ๋อจำเรื่องราวในอดีตไม่ค่อยได้เท่าไรนัก หากเป็นเพราะการปรากฏตัวของเธอ ทำให้เขานึกขึ้นได้ ก็เท่ากับได้ไม่คุ้มเสีย
คำพูดของซูเจ๋อทำให้เฉินเสียนไม่รู้จะตอบอย่างไรดี ในขณะที่เกิดความเงียบขึ้นภายในห้องอยู่ชั่วขณะ หลานเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางที่แปลกไปและกล่าวว่า “ท่านอ๋อง จักรพรรดิต้าฉู่ องค์จักรพรรดิเสด็จมาเพคะ”
ทั้งสองคนตกใจเล็กน้อย
ทีนทีที่หลานเอ๋อร์พูดจบ ก็มองเห็นร่างที่อยู่ในชุดสีเหลืองเปล่งประกายก้าวเข้ามาในห้อง และบรรยากาศในห้องก็แทรกซึมด้วยความกดดันและซึมลงอย่างแปลกประหลาด
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ได้มองมาที่เฉินเสียน และกล่าวกับซูเจ๋อว่า “ร่างกายเพิ่งจะฟื้นตัวไม่นาน แต่เจ้ากลับไม่พักผ่อน หมอเทวดาบอกว่ายังไงก็ควรนอนพักผ่อนที่เตียงให้มาก คนที่ไม่เกี่ยวข้องทำไมต้องลำบากให้เจ้าต้องมาดูแลด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดจบ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็หยิบหนังสือบนโต๊ะของซูเจ๋อทิ้งลง และเรียกนางกำนัลที่อยู่ข้างนอกเข้ามาดูแลซูเจ๋อและพาเขาไปนอนพักผ่อนที่เตียง
ทันทีที่นางกำนัลมาถึงประตู ซูเจ๋อดูเย็นชาและสงบอย่างอธิบายไม่ถูก และกล่าวว่า “ไม่ต้อง ข้านั่งอยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว”
จักรพรรดิเป่ยเซียรู้นิสัยของซูเจ๋อพอสมควร เขาจึงไม่พูดอะไรอีก และมองไปที่เฉินเสียนด้วยความโกรธ และพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านออกมา!”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไป
เฉินเสียนลุกขึ้นและกระซิบกับซูเจ๋อว่า “ข้าออกไปข้างนอกก่อน” เธอเดินไปที่ประตูหยุดชะงักและพูดอีกครั้งว่า “หลานเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่คอยดูแลท่านอ๋อง”
หลานเอ๋อร์ตอบรับและเดินเข้าไปในห้อง
เฉินเสียนหันศีรษะของเธอและยิ้มให้ซูเจ๋อและกล่าวว่า “ประเดี๋ยวไม่ว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้น ท่านไม่ต้องออกมาได้ไหม? ข้าไม่อยากจะทำให้ท่านพ่อของท่านขุ่นเคือง แต่หากทะเลาะกันขึ้นมา อาจทำให้ท่านไม่สบายใจได้”
ซูเจ๋อกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร หากเขาไม่ให้เกียรติท่าน ท่านสามารถทะเลาะกับเขาได้”