ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 651 ข้ารักเขา มอบเขาให้ข้าได้หรือไม่?
ท่านอ๋องมู่กับองค์หญิงจาวหยางเห็นภาพตรงหน้าพลันรีบเข้าไปดึง กล่าวห้ามปรามว่า “ฝ่าบาททรงระงับโทสะด้วยพ่ะย่ะค่ะ เสียงดังเช่นนี้จะรบกวนการพักผ่อนของท่านอ๋องรุ่ยนะพ่ะย่ะค่ะ”
ภายในห้อง ซูเจ๋อยังคงนอนอยู่บนพนักพิงเก้าอี้ริมหน้าต่างตลอด พลางมองทิวทัศน์นอกหน้าต่างด้วยใบหน้าเรียบเฉย
ตอนแรกด้านนอกจะเสวนาโดยคำนึงถึงเขาเป็นหลัก ต่อมาก็ไม่ได้ใส่ใจโดยสิ้นเชิง ทุกถ้อยคำส่งเข้ามายังหู ซึ่งทำให้เขารู้สึกตะลึงเพียงเล็กน้อย ไม่มีใครเดาออกว่าเขากำลังคิดเช่นไรอยู่
แสงพระอาทิตย์ส่องผ่านต้นไม้มาสะท้อนอยู่ใบหน้าเขาเลือนรางจนยิ่งดูซีดเซียว
หลานเอ๋อร์กลับรู้สึกร้อนรนประหนึ่งมดที่วิ่งวนอยู่ในหม้อน้ำเดือด นางกล่าวว่า “ท่านอ๋องเพคะ ออกไปดูเสียหน่อยไหมเพคะ ด้านนอกเสียงดังมากเพคะ”
ซูเจ๋อละสายตากลับมา มือที่วางอยู่บนโต๊ะกำขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ถ้อยคำของหลานเอ๋อร์ส่งผลให้เขาอยากพุ่งทะยานออกไปดึงตัวเฉินเสียนไว้ด้านหลัง เพื่อปกป้องเธอ
เธอยืนกระต่ายขาเดียวว่าจะพาเขาไปให้ได้ จึงขัดแย้งกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยอย่างเลี่ยงไม่ได้
เขาจะไปกับเธอที่เป่ยเซี่ยไหม? เดิมทีซูเจ๋อคิดจะปฏิเสธ ทว่ายามนี้กลับลังเลขึ้นมา
ซูเจ๋อถามหลานเอ๋อร์กะทันหัน “เจ้ารู้ไหมว่านางชื่ออะไร?”
หลานเอ๋อร์กล่าว “ท่านอ๋องถามถึงจักรพรรดินีต้าฉู่หรือเพคะ?” นางส่ายหัว “อันนี้บ่าวไม่รู้เพคะ”
ซูเจ๋อหยุดชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “แล้วยามที่ข้าวาดภาพนาง เจ้าเคยได้ยินข้าเรียกนางว่าอย่างไร?”
หลานเอ๋อร์ใคร่ครวญพลันฉุกคิดได้ว่า “ท่านอ๋องคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเรียกนางว่าอาเสียนเพคะ”
“อาเสียน”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่อยู่ด้านนอกได้ยินท่านอ๋องมู่บอกว่าจะรบกวนการพักผ่อนของซูเจ๋อ จึงข่มกลั้นเพลิงโทสะอย่างฝืนทน ส่วนเฉินเสียนยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบหลีก ยืนตรงแบบไม่ไหวติง กระทั่งยามจักรพรรดิเป่ยเซี่ยง้างมือจะตบก็ยังไม่กะพริบตาสักคราว
ในขณะที่มือของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะไปถึงเป้าหมาย เธอก็ละทิ้งความดุร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกาย กลายเป็นการวิงวอนที่เสียงแหบพร่าและแผ่วเบา “ข้ารักเขา ท่านมอบเขาให้แก่ข้าได้หรือไม่?”
ท่านอ๋องมู่ตะลึงพรึงเพริด
ร่างกายจักรพรรดิเป่ยเซี่ยสั่นเทิ้ม แววตาแปรเปลี่ยนกะทันหัน จ้องเฉินเสียนพร้อมกับกล่าวว่า “เมื่อครู่ท่านพูดกระไรนะ?”
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “ข้ารักเขา”
เธอกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่น ยืนอกผายไหล่ผึ่งอย่างคนเที่ยงตรงมากคุณธรรม
เสียงนี้ส่งลอดประตูเข้ามาถึงหูซูเจ๋อ ทำให้นิ้วมือของเขาสั่นระริก
องค์หญิงจาวหยางกับหลานเอ๋อร์ที่เป็นสตรีเพศด้วยกันงงเป็นไก่ตาแตก เหตุเนื่องจากไม่มีผู้ใดมีความกล้าหาญเช่นเฉินเสียน ไม่เพียงแต่จะแย่งคนกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ทั้งยังลั่นวาจาเช่นนี้อีก
สตรีเพศจะขวยเขินในการเอ่ยปากพูดถึงเรื่องรักๆใคร่ๆ ทำเยี่ยงนี้จะทำให้คนอื่นมองว่าไร้ศักดิ์ศรี ไม่รักนวลสงวนตัว
ทว่ายามที่เฉินเสียนกล่าวเช่นนี้ องค์หญิงจาวหยางกับหลานเอ๋อร์กลับไม่รู้สึกว่าเธอไม่สำรวมกิริยาเลยสักนิด ตั้งแต่ต้นจนถึงบัดนี้เธอเป็นฝ่ายแสดงท่าทีต่อซูเจ๋อก่อน ไม่เคยสำรวมเลย ทั้งยังผ่าเผยตรงไปตรงมาอย่างไม่คิดอ้อมค้อม
ทว่าท่านอ๋องมู่กลับรู้สึกฉุนเฉียว
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่เคยรับรู้ความรักระหว่างซูเจ๋อกับเฉินเสียนเลย ทุกเรื่องราวที่รู้ล้วนรับฟังจากการเล่าของท่านอ๋องมู่อย่างเดียว ดังนั้นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยคิดว่าสาเหตุที่ซูเจ๋อรั้งอยู่ในแคว้นต้าฉู่เพราะต้องการตอบแทนบุญคุณเท่านั้น และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เป็นแค่ราชากับขุนนางเท่านั้น หรือหากใกล้ชิดอีกหน่อยก็คือเป็นความสัมพันธ์ของอาจารย์กับลูกศิษย์เท่านั้น
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกว่าเฉินเสียนกับซูเจ๋อเติบโตมาด้วยกัน ทั้งสองร่วมทุกข์ร่วมสุข คอยค้ำจุนซึ่งกันและกัน หากมีความผูกพันกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกกระไร ถึงกระนั้นก็ไม่เคยคาดคิดว่าเฉินเสียนจะรู้สึกรักใคร่ฉันชู้สาวกับซูเจ๋อ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกลับใจเย็น กล่าวกับเฉินเสียนทีละถ้อยคำ “หากเรียกตามอาวุโสในเครือญาติ ข้าคือเสด็จตาของเจ้า เช่นนี้เจ้าก็ต้องเรียกเขาว่าเสด็จน้า เขามีศักดิ์เป็นเสด็จน้าของเจ้า เจ้ารู้ตัวไหมว่ากำลังพูดกระไรอยู่?”
เฉินเสียนกล่าว “แต่ท่านรู้ดี ข้าไม่เคยเห็นท่านเป็นเสด็จตาบุญธรรม ท่านเองก็ไม่เคยเห็นข้าเป็นหลานสาวบุญธรรมเช่นกัน”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวอย่างเย็นเยียบ “ไม่ว่าข้าจะใช้ฐานะจักรพรรดิเป่ยเซี่ยหรือฐานะบิดาซูเจ๋อ ข้าล้วนไม่อนุญาตให้เรื่องผิดทำนองคลองธรรมเกิดขึ้น ข้าไม่ยินยอมและยอมรับท่านเด็ดขาด”
เฉินเสียนก็ไม่รู้ปฏิกิริยาใหญ่โตนัก แค่ตอบเสียงเบา “ใช่หรือ” เธอบอกตัวเอง เธอไม่มีอันใดต้องท้อแท้หรือผิดหวังเลย เพราะเธอเตรียมใจไว้แล้วว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่มีทางยอมรับอย่างง่ายดาย หาไม่แล้วไยต้องยืดเวลาจนถึงบัดนี้ด้วย
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกวาดสายตามองทรงผมเธอแวบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็ต้องหยุดอยู่ตรงนั้น เพราะอยู่ในระยะใกล้ชิด จึงคลางแคลงใจกับปิ่นหยกขาวที่สังเกตเห็นบนเรือนผมของเฉินเสียน
สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน อยากดึงปิ่นอันนี้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ทว่าก็ไม่เป็นเรื่องสมควร ได้แต่เค้นเสียงถาม “ท่านเอาปิ่นหยกขาวนี่มาจากไหน?”
เฉินเสียนเอามือไปจับปิ่นหยกขาว เหม่อลอยไปชั่วขณะ กล่าวว่า “ซูเจ๋อมอบให้ข้าเอง” เธอย้อนระลึกภาพยามที่ซูเจ๋อมอบปิ่นหยกขาวนี้ให้แก่เธอ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหรี่ตา กล่าว “ในเมื่อเป็นสิ่งของของเขา เช่นนั้นตอนนี้ก็ควรนำกลับมาได้แล้ว ทางที่ดีท่านควรเจียมตัวรีบคืนกลับมาบัดเดี๋ยวนี้เถอะ”
เมื่อครั้งอดีตขนาดพลอยโทแพซหนึ่งชิ้น จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่ได้ร้อนรนเท่านี้เลย ตอนนี้เขากลับร้อนรนเพราะปิ่นหยกขาวชิ้นนี้
เห็นเฉินเสียนไม่ยอมทำตามเสียที จักรพรรดิเป่ยเซี่ยฉวยโอกาสตอนไม่ระวังลงมือชิงด้วยตัวเองอย่างไม่คำนึกถึงสิ่งใด
ใครจะไปรู้ว่าเฉินเสียนมีปฏิภาณไหวพริบเฉียบคมกว่าที่เขาประเมิน เธอได้สติก็รีบจับข้อมือของเขาไว้ พลางกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอันใด? จะแย่งหรือ? เห็นท่านร้อนใจเยี่ยงนี้ อย่าว่าเป็นของแทนความรักที่ซูเจ๋อมอบให้ข้าเลย กระทั่งก้อนหินที่ไม่มีคุณค่า ข้าก็ไม่อยากให้ท่านหรอก”
คนหนึ่งบีบคั้นอย่างไม่ลดละ ส่วนอีกคนก็ไม่ยอมอ่อนข้อ ฉะนั้นทั้งสองจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือดขึ้นมา
ต้องบอกว่าถึงจะเกี่ยวข้องกันแค่ความสัมพันธ์ บุญธรรม หากแต่นิสัยใจคอของทั้งสองกลับดื้อรั้นเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคิดแต่จะฉกชิงปิ่นหยกขาวท่าเดียว ทว่าเสียดายที่เขาประเมินฝีมือเฉินเสียนต่ำไป คาดไม่ถึงว่าวรยุทธของเฉินเสียนจะล้ำเลิศเยี่ยงนี้ เธอไม่เพียงแต่ไม่เสียเปรียบ ทั้งยังไม่ปล่อยให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถือไพ่เหนือกว่าด้วย
สุดท้ายท่านอ๋องมู่ยืนขัดตรงกลางอย่างหวาดหวั่นต่อภยันตราย จึงสามารถแยกทั้งสองออกจากกันได้สำเร็จ กล่าวว่า “เหตุใดต้องวิวาทด้วยปิ่นชิ้นเดียวด้วยเล่าพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยกคิ้วขึ้นดึงปิ่นหยกขาวลงมา กล่าวว่า “จักรพรรดิเป่ยเซี่ยให้ความสำคัญปิ่นหยกชิ้นนี้มากเพียงนี้ คาดว่าคงเป็นสิ่งของมีค่าทางจิตใจในอดีต สิ่งเดียวที่เชื่อมต่อกันได้ก็คงจะเป็นมารดาของซูเจ๋อแล้ว หรืออันนี้คือปิ่นปักผมของมารดาเขา? หรือว่าท่านเคยมอบให้กับมารดาของเขาเพื่อเป็นสิ่งแทนความรัก?”
เธอมีความคิดอ่านแหลมคม ทายถูกทันที
มันเป็นปิ่นปักผมที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมอบให้แก่มารดาซูเจ๋อจริงๆ สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทั้งตะลึงงันและประหลาดใจก็คือ มรดกที่ตกทอดจากมารดามีคุณค่าทางจิตใจต่อซูเจ๋อยิ่ง แต่เขากลับมอบให้เฉินเสียนผู้ที่อยู่เบื้องหน้า จึงพอจะใคร่ครวญได้ว่าเฉินเสียนไม่ได้รักซูเจ๋อฝ่ายเดียว เกรงว่าทั้งสองจะมีใจให้กันและกันตั้งนานแล้ว
ไยจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงไม่รู้สึกอับอายจนกลายเป็นโทสะเล่า จึงคิดจะไปแย่งอีกครั้ง ครอบครองบุตรชายของเขาหลายปีก็น่ารังเกียจมากแล้ว ตอนนี้ยังคิดจะลากลูกชายเขาลงดินโคลน ให้ชื่อเสียงของเขาแปดเปื้อน
ไม่คิดว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่ทันบรรลุเป้าหมาย เฉินเสียนก็นำปิ่นหยกขาวเก็บใส่ด้านในเสื้อของตนอย่างเอื่อยเฉือย
อีกสามคนที่อยู่ในจวน “……”