ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 653 เหตุใดท่านจึงน่ากอดเช่นนี้
ว่าที่ชายาอ๋องมีจักรพรรดิเป่ยเซี่ยคอยหนุนหลัง จึงกล้าช้อนตามองเฉินเสียนโดยตรง นางคิดว่าจักรพรรดิแห่งต้าฉู่จะน่ายำเกรงเพียงใด ถึงกระนั้นก็เป็นจักรพรรดิแคว้นอื่น หลังงานเลี้ยงอำลาจบสิ้นก็ต้องจากไปอยู่ดี
เฉินเสียนเชิดคางอย่างเกียจคร้าน มือถือแก้วหยกเล่นอย่างซุกซน กล่าวอย่างเอ้อระเหยลอยชาย “ก็แค่วันเกิดปาจื้อสมพงษ์กับท่านอ๋องรุ่ยไม่ใช่หรือ ข้าได้ยินว่าไม่ได้สมพงษ์ทั้งหมดนี่ ปาจื้อแค่สมพงษ์กันหกตัว ไม่รู้ว่าฉินเทียนเจี้ยนของเป่ยเซี่ยเป็นผู้คำนวณหรือหาหมอดูที่ไหนก็ได้มาดูดวงสมพงษ์กันแน่?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวด้วยความเย็นเยียบ “งานแต่งงานของอ๋องรุ่ยนั้นสำคัญ ย่อมเป็นฉินเทียนเจี้ยนของเป่ยเซี่ยรับหน้าที่คำนวณหาฤกษ์งามยามดีอยู่แล้ว”
“งั้นฉินเทียนเจี้ยนของพวกท่านอยู่ไหน?” เฉินเสียนเอ่ยปากกล่าวว่า “มาช่วยข้าคำนวณปาจื้อด้วย”
ตำแหน่งฉินเทียนเจี้ยนไม่ได้สูงส่งมากนัก จึงไม่ได้ร่วมงานเลี้ยงค่ำคืนนี้ เพียงแต่บรรยากาศในงานเลี้ยงกลับหดหู่อย่างแปลกประหลาด
ขุนนางเป่ยเซี่ยสัมผัสได้ว่า ถึงแม้จักรพรรดิแห่งต้าฉู่กำลังพูดหยอกเย้าด้วยเสียงหัวเราะ ทว่ารังสีที่แผ่ซ่านออกมานั้นสูสีกับรังสีมืดครึ้มในตัวจักรพรรดิเป่ยเซี่ยยิ่ง
ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้กล่าวประโยคนี้ออกมา “ทูลจักรพรรดิแห้งต้าฉู่ ฉินเทียนเจี้ยนไม่อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนหัวเราะลั่น “เช่นนั้นก็เรียกฉินเทียนเจี้ยนมา งานเลี้ยงนี้ช่างจืดชืดยิ่งนัก ในเมื่อไม่มีดนตรีคอยสร้างความรื่นเริง งั้นข้าก็ให้ฉินเทียนเจี้ยนมาช่วยข้าคำนวณปาจื้อเพื่อสร้างบรรยากาศรื่นเริงเถอะ คาดว่าคงจะได้กระมัง?”
สักพักฉินเทียนเจี้ยนก็มาถึงด้วยความเร่งรีบ
เฉินเสียนเรียกเขาเข้าใกล้เพื่อคำนวณดวงสมพงษ์ ฉินเทียนเจี้ยนไม่กล้าชักช้า กล่าวด้วยความระมัดระวังว่า “ไม่ทราบว่าจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ต้องการให้กระหม่อมรับใช้สิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เธออ้างว่าจะสร้างความรื่นเริง จึงเขียนวันเกิดของตัวเองแล้วยกมือชี้ไปยังซูเจ๋อโดยตรง “ช่วยข้าคำนวณหน่อยว่าปาจื้อของข้ากับเขาสมพงษ์กันหรือไม่?”
เธอพูดด้วยความยโสโอหังสองส่วน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าว “เหลวไหล!”
ซูเจ๋อยกหางคิ้ว กลับเปิดปากกล่าวว่า “ในเมื่อสร้างความรื่นเริงให้แก่จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เช่นนั้นฉินเทียนเจี้ยนก็ลองคำนวณดูก็ไม่เป็นกระไร”
ฉินเทียนเจี้ยนจึงนำวันเกิดของทั้งสองคนมาคำนวณ หนึ่งชั่วยามผ่านไป ฉินเทียนเจี้ยนดูดวงสมพงษ์แล้วหลายครั้ง เหงื่อบนกายก็ซึมออกมาเรื่อยๆไม่ขาดสาย
เฉินเสียนกล่าว “ทำไม เจ้าคำนวณไม่ได้?”
ฉินเทียนเจี้ยนกล่าวเสียงสั่นเทา “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่มีชะตาหงส์ แท้จริง……แท้จริงแล้ว……”
เฉินเสียนหรี่ตาถาม “ปาจื้อของข้ากับอ๋องรุ่ยสมพงษ์กันกี่ตัว? หากแค่นี้เจ้ายังดูไม่ได้ เช่นนั้นปาจื้อของท่านอ๋องรุ่ยกับว่าที่ชายาอ๋องก็ใช้การไม่ได้ ถือว่าเป็นโทษลบหลู่เบื้องสูงนะ”
“หาออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ……”
เฉินเสียนยืนกรานถามต่อ “สมพงษ์กี่ตัว(ปาจื้อมีทั้งหมดแปดตัว)?”
ฉินเทียนเจี้ยนตอบอย่างระมัดระวังว่า “วันเกิดปาจื้อของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่กับท่านอ๋องรุ่ยสมพงษ์กันทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ ถ้าหาก ถ้าหากไม่มองว่าจักรพรรดิแห่งต้าฉู่มีชะตาหงส์ก็จะเป็นคู่สร้างคู่สมคอยประคับประคองซึ่งกันและกันกับท่านอ๋องรุ่ยได้เป็นอย่างดีพ่ะย่ะค่ะ……”
เขาหยุดพูดกลางคัน รู้ว่าหากพูดต่อไปก็ต้องมีความผิดแน่นอน
ทันใดนั้นเฉินเสียนรู้สึกว่างานเลี้ยงค่ำคืนนี้มีเรื่องให้สุขฤทัยสักเรื่องหนึ่งแล้ว เธอกล่าวว่า “เมื่อได้ยินเจ้าพูดแล้ว เดิมที่ข้าไม่เชื่อเรื่องพรรค์นี้ ตอนนี้ข้าเริ่มอยากเชื่อแล้วสิ”
เพียงแต่แค่ถือเป็นการสร้างสีสันในงานเลี้ยงเท่านั้น ไม่มีใครเห็นเป็นจริงเป็นจัง ต่อมาก็ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก
พละกำลังของซูเจ๋อมีขีดจำกัด เริ่มงานเลี้ยงได้ครึ่งทางก็จากไป เฉินเสียนใช้หางตามองประตูห้องโถง เห็นเขากับว่าที่ชายาอ๋องเดินออกไปเป็นคู่ด้วยกัน
ซูเจ๋อออกไปไม่นาน เฉินเสียนก็ออกไปด้วย งานเลี้ยงนี้ก็จบลงแบบขอไปที
ให้ความรู้สึกแยกย้ายกันอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์กันเท่าไหร่
เฉินเสียนมาเยือนเป่ยเซี่ยครั้งนี้ได้รับการปฏิบัติที่ย่ำแย่จากจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ทว่าเธอก็ยังฝืนทนมาถึงวันนี้ แต่สุดท้ายก็กำหนดวันเดินทางกลับเป็นวันพรุ่งนี้
คณะทูตของเธอต่างขุ่นเคืองที่เธอซึ่งเป็นถึงจักรพรรดิต้องมาทุกข์ทนกับการปฏิบัติเช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนที่อยู่ในวัยสาวที่ไฟแรง เฉินเสียนคงทนความหยามเหยียดเช่นนี้ไม่ได้ เธอต้องสู้กันตาต่อตา ฟันต่อฟันเป็นแน่แท้
ยามนี้เฉินเสียนกลับพูดกับคณะทูตอย่างยิ้มแย้มเฉยเมยว่า “ใครใช้ให้ข้าเป็นฝ่ายวิงวอนเล่า หากคิดจะขอสิ่งใดย่อมต้องต่ำกว่าหนึ่งชั้นอยู่แล้ว มันสมเหตุสมผลดี”
ซูเจ๋อกลับมาเร็ว บัดนี้แสงตะเกียงในห้องยังคงสว่างไสว เขายังไม่ได้นอนหลับพักผ่อน
ทันใดนั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวในลานบ้าน องครักษ์ที่เฝ้ายามในจวนต่างวิ่งเข้ามาในลานบ้านด้วยความพร้อมเพรียง ซูเจ๋อเปิดประตูก็เห็นเฉินเสียนถูกองครักษ์ห้อมล้อม
องครักษ์กล่าวว่า “ท่านอ๋อง คนผู้นี้บุกเข้าจวนยามวิกาล มีเจตนาร้าย ควรจัดการเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ซูเจ๋อไอเบาๆหนึ่งครั้ง กล่าวด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “นางเป็นสหายเก่าของข้า”
องครักษ์กล่าวอย่างฉงนใจ “แต่นางปีนข้ามกำแพงมาพ่ะย่ะค่ะ”
ซูเจ๋อมองเฉินเสียน กล่าวว่า “มันไม่ส่งผลที่นางเป็นสหายเก่าของข้า”
จากนั้นองครักษ์ในลานบ้านพลันถอยไปอย่างเป็นระเบียบ เฉินเสียนก้มหน้าปัดใบหน้าบนชายเสื้อ
ซูเจ๋อยืนอยู่ใต้ระเบียง พลางถามเสียงนุ่มนวล “เหตุใดจึงมาเวลานี้”
เฉินเสียนเม้มปาก มองเขาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “พรุ่งนี้จะไปแล้ว จึงคิดจะมาขโมยท่านก่อนเดินทาง”
อันที่จริงคืนนี้เธอดื่มชาเยอะจนนอนไม่หลับ หัวใจเต้นแรงจนคล้ายกับกระดอนเข้าในสมองเป็นระยะ คล้ายกับมีสิ่งของแหลมคมอยู่ในศีรษะของเธอ ทำให้ระหว่างคิ้วชนกันด้วยความปวดศีรษะ
ซูเจ๋อเชิญเฉินเสียนเข้าในเรือน
“พรุ่งนี้จะไปแล้วหรือ” เขาหันหลังให้เฉินเสียน โยนไม้กฤษณาเข้าในกระถางธูปพร้อมกับถามขึ้นมา
เฉินเสียนมองแผ่นหลังของเขา ยิ้มอย่างใจลอย กล่าวว่า “หา ข้าของถามท่านอีกครั้ง ท่านยินดีให้ข้าขโมยพาท่านกลับต้าฉู่”
ซูเจ๋อหันหลังมา มองเธอเนิ่นนาน กล่าวว่า “ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?”
เฉินเสียนยกคิ้วขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆเจือจาง เธอกล่าวว่า “คงไม่ยินยอมหรอก” หยุดพูดชั่วครู่ แล้วเธอถามเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าไปแล้วท่านจะแต่งงานกับว่าที่ชายาอ๋องหรือไม่?”
ซูเจ๋อกล่าว “สีหน้าท่านแย่มาก”
“ใช่ คงดื่มชาเยอะไปหน่อยทำให้รู้สึกปวดหัวเท่านั้นเอง” เฉินเสียนยิ้มให้กับซูเจ๋ออีกครั้ง กล่าวเสียงแหบพร่า “แต่ข้ารู้สึกว่าสตรีผู้นั้นไม่ดี”
ซูเจ๋อไม่ใส่ใจว่าใครจะเป็นชายาอ๋อง แต่สามารถทำให้เธอเสียใจมากเพียงนี้ เหมือนจะไม่ดีจริงๆ
หลังกลับมาถึงเขาก็หวนคิดถึงภาพในห้องโถงคืนนี้ ภาพเธอที่เศร้าหมองและหัวเราะอย่างฝืนกลั้น มันบีบหัวใจอย่างแปลกประหลาด เพราะไม่อยากมองเธอเป็นเช่นนั้น จึงรีบกลับมาโดยเร็ว
แต่ยามนี้ยังได้มองหน้าเธออีก ซูเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีเหลือเกิน
ซูเจ๋อก้าวไปหาเธอทีละก้าว ก้มหน้ามองเธอ กล่าวว่า “แล้วท่านรู้สึกว่าใครดี”
เขาจ้องริมฝีปากของเธอด้วยใบหน้ายากจะหยั่งถึง
ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันเกิดแสงกะพริบตาฟ้าแลบ จากนั้นก็ส่งเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง จากยามราตรีที่อากาศสดใสก็กลายเป็นมืดครึ้มทันที
ลมในลานบ้านพัดผ่านหน้าต่างที่ไม่ทันได้ปิด เมื่อสายลมพัดเข้าไปเปลิวไฟจากตะเกียงก็ดิ้นรนยืนหยัดหลายครั้ง สุดท้ายก็ต้องดับวูบไป
เฉินเสียนมองไม่เห็นใบหน้าซูเจ๋ออีกต่อไป ได้ยินก็แต่เสียงฟ้าร้องที่ไม่หยุดหย่อน
ต่อมาเธอได้ยินเสียงซูเจ๋อคล้ายกับดังข้างหูของเธอ ก่อนจะได้กลิ่นของไม้กฤษณา กล่าวกับเธอเสียงเบาบาง “ให้ข้าลองกอดท่านดูดีหรือไม่?”
เฉินเสียนตะลึงงัน
มือข้างหนึ่งสอดผ่านเอวบางของเธอ จากนั้นก็ค่อยๆดึงเธอมาอยู่ในอ้อมแขนทีละนิด
เฉินเสียนตัวสั่นเล็กน้อย เอียงหน้าซุกอยู่ในอกของเขาช้าๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาแนบติดกับเสื้อผ้าของเขา เธอหัวเราะเสียงเบาที่เจือเสียงสะอื้น กล่าวว่า “ซูเจ๋อ”
ซูเจ๋อสูญเสียการควบคุมเล็กน้อย เขาพบว่าตัวเองขาดการควบคุมโดยไม่รู้ตัว มือของเขากอดรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อกอดแล้วทำให้ไม่อยากปล่อยเลย เขาแทบอยากจะบีบเธอเข้าไปเก็บไว้ในกระดูกซะเลย
ช่างทำให้รู้สึกหัวใจเต้นรัวแรงและเกิดความรู้สึกที่แปลกประหลาด
เขาจับศีรษะของเฉินเสียนไว้บนหน้าอกตัวเอง หัวใจที่เรียบเฉยพลันรู้สึกตัว เริ่มเต้นอย่างรุนแรง นิ้วมือเย็นลูบไล้เบาๆที่จอนผมเธอ คล้ายกับจะช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะของเธอ
ซูเจ๋ออดกลั้นเสียงหัวเราะไม่ได้ หัวเราะแบบเสียงแหบต่ำ พลางย้ายริมฝีปากจูบที่หูของเธอ กล่าวว่า “ทำไมท่านน่ากอดเช่นนี้”
ทุกท่วงท่าช่างคุ้นเคยและเป็นธรรมชาติ ประหนึ่งเคยเกิดขึ้นในชีวิตเขานับครั้งไม่ถ้วน ทันใดนั้นเขารู้สึกว่า คล้ายกับตามหาสิ่งของสำคัญที่สูญหายกลับมาได้แล้ว สามารถไขความสับสนของตน
แสงฟ้าแลบด้านนอกหน้าต่างสว่างบ้างมืดบ้าง ยามนี้เฉินเสียนกลัวตัวเองทานทนไม่ไหวจนร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขาเหลือเกิน
ซูเจ๋อถาม “ท่านอยากให้ข้าหนีตามไปกับท่านหรือ”
เฉินเสียนกล่าวเสียงสะอื้น “ท่านไม่ยินดีไม่ใช่หรือ ท่านไม่ยินดีกลับต้าฉู่กับข้า”
ซูเจ๋อก้มหน้าลงเล็กน้อย ลมหายรดใส่บริเวณคอของเธอ “ท่านยังไม่ฟังข้าตอบ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ยินดี”
เฉินเสียนตะลึงงันสุดๆ
ซูเจ๋อกล่าวอีกว่า “งั้นข้าถามท่านอีกว่า ท่านคิดว่าข้าจะกลับต้าฉู่กับท่านไหม?”
เฉินเสียนตัวสั่นอย่างข่มกลั้นไม่ได้ในอ้อมแขนของเขา กล่าวเสียงสะอื้นว่า “หากข้าคิดว่าท่านจะกลับ ท่านก็จะกลับไปกับข้าใช่ไหม?” ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเขาถาม เธอคิดว่าสาเหตุที่เขาถามเช่นนั้น คงมีความคิดปฏิเสธแล้ว
“ข้าคิดน้าบุญธรรมของท่าน” ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ท่านก็ไม่ใส่ใจหรือ?”
เฉินเสียนส่ายหัว “ข้าไม่ใส่ใจว่าท่านเป็นใคร ข้ารู้แต่ว่าท่านคือซูเจ๋อ”
ซูเจ๋อกล่าว “แต่ถ้าหากข้าแอบกลับต้าฉู่กับท่าน เช่นนั้นมิตรภาพระหว่างแคว้นเป่ยเซี่ยกับต้าฉู่ต้องสั่นคลอน ข้านามไม่เที่ยง วาจาไม่ราบรื่นก็จะตกเป็นผู้นำภัยพิบัติสู่แว่นแคว้นสิ”
เขาหัวเราะกล่าวเสียงต่ำอีกว่า “อยากให้ข้าไปกับท่าน ท่านต้องให้จักรพรรดิของข้าเห็นชอบ แล้วข้าจะไปกลับท่าน เป็นอย่างไร?”
มีเพียงจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นชอบแล้ว เธอจะได้ไม่ถูกติฉินนินทา การกระทำที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินของเธอจะได้ไม่ถูกใต้หล้าครหา
สุดท้ายหัวใจซูเจ๋อก็หวั่นไหว เมื่อหวั่นไหวแล้วก็เสมือนกระแสน้ำที่ไหลทะลักจนกลายเป็นน้ำท่วม เป็นภัยพิบัติในที่สุด
เขาไม่รู้สึกเฉื่อยชากับการเลือกชายาอ๋องว่าเป็นใครก็ได้อีกต่อไป
เหมือนเขาจะลุ่มหลงกับการกอดสตรีตรงหน้ามากขึ้น เขาไม่ชอบให้เธอต้องฝืนยิ้มฝืนหัวเราะ และไม่ชอบเห็นเธอทุกข์ทน
นับจากนี้ แม้จะเป็นการเล่นสนุกเพื่อเข้ากับบรรยากาศเป็นครั้งคราว เขาก็จะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ยากจะทานทน