ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 654 ตกลงตามนี้ ซูเจ๋อ ท่านรอข้า
เหมือนเฉินเสียนจะเห็นความหวังครั้งใหญ่ เธอแหงนหน้ามองแสงฟ้าแลบสีขาวเงินส่องในดวงตาของเธอ เมื่อซูเจ๋อมองเห็นความสว่างสดใสนี้ก็รู้สึกสุขฤทัยยิ่ง
ราวกับว่าเธอควรเป็นเช่นนี้แต่แรกถึงจะถูก
เฉินเสียนกล่าว “จริงหรือ? ขอเพียงจักรพรรดิเป่ยเซี่ยอนุญาตให้ท่านกับข้าอยู่ด้วยกัน ท่านก็จะยอมกลับต้าฉู่กับข้าอย่างสมัครใจ? เช่นนั้นถึงข้าจะต้องหน้าด้าน ข้าก็จะขอความเห็นชอบจากเขา”
ไม่รอให้ซูเจ๋อตอบ เฉินเสียนก็ผละออกจากอ้อมกอดเขาด้วยความอาลัย ครุ่นคิดดูแล้วก็เขย่งเท้ารีบจุมพิตริมฝีปากเขาหนึ่งครั้ง
ครั้งนี้ถึงตาซูเจ๋อตกตะลึงแล้ว
“ตกลงตามนี้นะ ซูเจ๋อ ท่านรอข้าเถอะ”
ต่อมาอ้อมกอดซูเจ๋อว่างเปล่า เฉินเสียนแอบย่องมาในยามวิกาลและถือโอกาสจากไปในยามวิกาลด้วย
เสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิหยุดกะทันหัน ซูเจ๋อจุดไฟบนตะเกียงอีกครั้ง เห็นภายในห้องโล่งเปล่าวังเวง คล้ายกับว่าเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน เธอไม่เคยมาจริงๆ
ทว่าอากาศภายในห้องกลับมีกลิ่นกายเธอหลงเหลืออยู่ ซูเจ๋อพบว่า เขาสัมผัสไวต่อกลิ่นกายของเธอมาก
เฉินเสียนขอม้าหนึ่งตัวกับพ่อบ้านจวนอ๋องแล้วทะยานสู่พระราชวัง
งานเลี้ยงคืนนี้จบไว เวลานี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่พักผ่อน กำลังสะสางงานราชกิจที่ค้างคาตอนกลางวัน
หลังงานเลี้ยงเลิกรา ท่านอ๋องมู่ทูลขอเข้าเฝ้าจักรพรรดิเป่ยเซี่ย หากแต่ถูกปฏิเสธกลับไป ช่วงนี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรำคาญที่น้องชายเอนเอียงไปทางคนนอก ท่านอ๋องมู่ขอเข้าเฝ้าหลายครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธไปทุกคราว
ท่านอ๋องมู่อับจนหนทาง จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคงตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะแยกท่านอ๋องรุ่ยกับจักรพรรดิต้าฉู่จากกัน สิ่งที่เขาอยากกราบทูลก็ไม่มีโอกาสเสียเลย
เฉินเสียนบุกเข้าวังกลางดึกกลางดื่น ย่อมต้องถูกสกัดกั้นเป็นแน่แท้ ถึงแม้หัวหน้าประตูยามจะรู้ว่าเธอคือจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ ทว่าตอนนี้ต้องทำตามกฎ จึงไม่ปล่อยให้เธอเข้าไปโดยง่าย
เมื่อท่านอ๋องมู่ออกจากวังก็บังเอิญเห็นเฉินเสียนกำลังโต้เถียงกับทหารเฝ้าประตูวัง หากไม่รีบขัดขวาง เธอคงจะบุกเข้าไปแน่
ท่านอ๋องมู่รีบเข้าไปถามถึงต้นสายปลายเหตุ ทราบว่าเฉินเสียนจะขอพบจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ท่านอ๋องมู่ทอดถอนใจ กล่าวว่า “ยามนี้ฝ่าบาทกระทั่งข้าก็ไม่พบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่านเลย”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าจำเป็นต้องเขาประตูวังนี้ ส่วนเรื่องเขาจะยอมพบข้าหรือไม่ ข้าจะพยายามอีกที” เธอยิ้มคุยกับท่านอ๋องมู่ด้วยความรู้สึกผิด กล่าวต่อว่า “รบกวนท่านอ๋องเป็นประจำ เฉินเสียนเกรงใจยิ่งนัก แต่ข้ายังคงอยากให้ท่านอ๋องช่วยข้าเป็นครั้งสุดท้าย”
ท่านอ๋องมู่กล่าว “หากลงไม้ลงมือเหมือนคราวที่แล้ว ที่นี่เป็นราชวัง ไม่ได้พูดง่ายๆเลย”
“ไม่หรอก ข้าไม่ทะเลาะหรือสู้กับเขาหรอก ขอเพียงเขาเห็นชอบเรื่องข้ากับซูเจ๋อ ข้ายินดีก้มหน้ารับผิด ข้ายินดีกลับตัวกลับใจ”
สุดท้ายท่านอ๋องมู่ใช้อำนาจของเขาพาเฉินเสียนเข้าไป
ในห้องของซูเจ๋อจุดไฟใหม่แล้ว เมื่อเห็นเฉินเสียนจากไป เขาก็ไม่รู้สึกง่วงเลย
ต่อมาได้ยินเสียงต้นไม้พริ้วไหว เขาสาวเท้าไปยังหน้าต่าง เห็นหยดฝนเท่าเมล็ดถั่วตกใส่ตาข่ายหน้าต่างทีละหยด ชั่วอึดใจตาข่ายหน้าต่างก็เปียกแฉะไปหมด
สายฝนโปรยปรายลงมา
ซูเจ๋อจึงราวกับพึ่งตื่นจากฝัน หันกายไปเอาอาภรณ์ที่ตู้เสื้อผ้า เขาเห็นอาภรณ์สีดำสะดุดตาจึงนำมาสวมใส่ ก่อนจะเปิดประตูห้อง
สาวใช้หลานเอ๋อร์พักอยู่ในห้องด้านข้าง ได้ยินเสียงฝนตกจึงออกมาแล้วบังเอิญเห็นซูเจ๋อจะออกไป จึงรีบถามว่า “ท่านอ๋องจะเสด็จไปไหนเพคะ?”
ซูเจ๋อเงยหน้ามองกระเบื้องหลังคามีน้ำฝนไหลริน กล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “หลานเอ๋อร์ ไปบอกให้พ่อบ้านเตรียมรถม้า”
หลานเอ๋อร์กล่าวทัดทาน “แต่ฝนตกหนักเพียงนี้ ท่านอ๋องมีกิจอันใดค่อยไปสะสางพรุ่งนี้เถอะเพคะ”
ซูเจ๋อเอียงกายไปมองด้วยแววตาเฉยเมย กล่าวว่า “ข้ามีธุระเร่งด่วนกะทันหัน”
หลานเอ๋อร์จึงถือร่มไปแจ้งให้พ่อบ้านเตรียมรถม้าด้วยความเร่งรีบ ใจหนึ่งของนางรู้สึกว่าท่านอ๋องไม่ควรออกเดินทางในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อีกใจหนึ่งก็คิดว่าคงเป็นเรื่องเร่งด่วนที่รอไม่ได้ ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกขัดแย้งกับความคิดตัวเองมาก
สักพักรถม้าก็เตรียมเสร็จสรรพ หลานเอ๋อร์จึงกลับมาเรียกซูเจ๋อ
ซูเจ๋อทิ้งหลานเอ๋อร์ไว้ตรงนั้น จากนั้นก็คือร่มเดินออกจากเรือน
สายฝนในฤดูใบไม้ผลินั้นโหมกระหน่ำ ชั่วอึดใจปลายเสื้อของเขาก็เปียกปอน แต่เขาไม่ทันเดินออกจากลานบ้าน ทันใดนั้นนอกกำแพงมีเงาดำแวบผ่าน แล้วขัดทางเดินของเขา
ฉินหรูเหลียงฝ่าสายฝนมา เม็ดฝนเปล่งประกายระยิบระยับ
ซูเจ๋อจำได้ว่าเขาคือคนของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ โดยตัวติดกับจักรพรรดิต้าฉู่ไม่ห่าง
ฉินหรูเหลียงเอ่ยปากถาม “เฉินเสียนล่ะ?”
ฉินหรูเหลียงใช้แววตาเย็นเยียบ หากแต่สีหน้าซูเจ๋อไม่เกิดคลื่นใดๆ กล่าวว่า “นางไม่อยู่” พูดพลางเดินผ่านเข้าเบาๆ
ฉินหรูเหลียงไม่อยากปล่อยเขาไปเช่นนี้ ขยับกายขัดทางซูเจ๋ออีกครั้ง เม็ดฝนไหลพรากจากคาง กล่าวว่า “นางไม่ได้อยู่ที่พัก นอกจากมาหาท่านแล้ว นางยังไปไหนได้อีก? นางอยู่ไหนกันแน่?”
เธอไม่อยู่ในที่พัก ซูเจ๋อก็พอจะรู้แล้วว่าเธออยู่ไหน ซูเจ๋อกล่าว “ข้าบอกแล้วว่านางไม่อยู่ หลีกไป”
ฉินหรูเหลียงกล่าว “ซูเจ๋อ ท่านลืมอดีตของท่านกับนางแล้ว ไม่คิดจะสานสายใยรักกับนางต่อ เช่นนั้นก็ขอให้ท่านออกไปจากชีวิตของนางแบบไม่ต้องมีเยื่อใยใดๆ แบบไม่มารบกวนนางอีก”
ซูเจ๋อรู้สึกไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินฉินหรูเหลียงพูดแบบนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
ซูเจ๋อกล่าว “มันเป็นเรื่องของข้ากับนาง ท่านเป็นขุนนางของนาง ยุ่งเกินไปหรือเปล่า?ยังมีอีก เฉินเสียน” เขาพินิจพิจารณาชื่อนี้ มันคล้ายกับใยไหมเส้นบางพันรอบหัวใจของเขา ช่างเป็นอาลัยรักที่อ่อนโยนยิ่ง เขาจ้องมองดวงตาฉินหรูเหลียงอย่างจดจ่อ ก้นบึ้งแววตาฉายความเผด็จการและความหนักแน่นขึ้น “อันนี้น่าจะเป็นชื่อของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ ท่านไม่ควรเรียกชื่อนางเต็มปากเยี่ยงนี้”
ฉินหรูเหลียงอึ้ง จากนั้นก็บังเกิดเสียงหัวเราะเย็น กล่าวว่า “ซูเจ๋อ ไม่ว่าจะเวลาไหน เมื่อไหน ไม่ว่าจะยังมีความทรงจำหลงเหลืออยู่หรือไม่ เห็นทีท่านจะดัดสันดานเห็นแก่ตัว ชอบครอบครองผู้เดียวไม่ได้ ถึงท่านจะทำให้นางเจ็บปวด ท่านก็ไม่อยากให้ใครเข้าใกล้นางใช่ไหม?”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับท่านเล่า?”
ฉินหรูเหลียงขัดทางเดินของเขา ซูเจ๋อกล่าวหนึ่งประโยคในลานบ้าน “ทหาร มีมือสังหาร”
จากนั้นองครักษ์ที่เฝ้าเวรได้ยินเสียงก็พุ่งทะยานเข้ามากลางสายฝน แล้วโอบล้อมฉินหรูเหลียงไว้ ก่อนจะชักดาบออกมาประชันหน้า
ซูเจ๋อยังคงสวมชุดสีดำขลับยืนถือร่มเช่นเดิม เห็นเขาไม่อาจทำอะไรผลีผลามได้แล้ว จึงเดินผ่านหน้าเขาพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ว่านางอยู่ไหน ข้าจะพานางกลับมาเอง”
เมื่อใกล้จะเดินออกจากลานบ้าน เสียงทุ้มต่ำที่ปะปนความเคร่งขรึมของฉินหรูเหลียงส่งมาจากด้านหลัง “ซูเจ๋อ หากท่านลืมเรื่องในอดีตแล้ว ท่านก็จะสบายใจ แต่ท่านไม่มีวันรู้เลยว่า สองปีที่ไม่มีท่าน นางผ่านพ้นมาได้อย่างไร นางเคยรู้สึกตายเสียดีกว่าอยู่เพราะท่าน กระทั่งไม่อยากมีชีวิตต่อ ยามนี้ไม่ง่ายเลยที่นางจะเดินออกจากความเจ็บปวดนั้นได้บ้างแล้ว หากท่านทำให้นางรู้สึกเสียใจ เศร้าโศกอีก ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยมือ ข้าจะแย่งนางกลับมาปกป้องเอง”
ซูเจ๋อไม่ได้ตอบ ชั่วพริบตาเงาก็เลือนหายไปจากลานบ้าน เขาก้าวออกจากธรณีประตูแล้วขึ้นรถม้า ต่อด้วยให้สารถีรีบมุ่งหน้าไปยังพระราชวังโดยด่วน
เฉินเสียนไม่ได้กลับที่พัก งั้นก็ต้องไปพระราชวัง