ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 655 เพื่อเขา ข้าทนได้ทุกอย่าง
ซูเจ๋อควรรู้แต่แรกแล้วว่าเธอเป็นคนงมงาย ทว่าเขากลับคิดได้หลังสายฝนชุดนี้โปรยปรายลงมา เขากลัวว่าเธอต้องตากฝนกลางทาง เขากลัว เขากลัวเธอจะได้รับความลำบากจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ครั้งก่อนเธอกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยทะเลาะกัน เขาอยากออกไปปกป้องแต่ไม่ทำ ครั้งนั้นยังคงมีความคิดอยากปกป้องเธอไม่เปลี่ยน แล้วไยไม่ไปทำเล่า?
การสวมกอดก่อนหน้านี้ทำให้ซูเจ๋อได้สัมผัสความรู้สึกของตนอย่างลึกซึ้ง ยามนี้สมองของเขายังเต็มไปด้วยภาพนัยน์ตาเธอที่ทอแสงประกายสดใส หลังจากมีแสงของสายฟ้าแลบส่องมายังประตูห้อง
ความจริงแล้ว เฉินเสียนยังไม่ทันไปถึงห้องตำราหลวงของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ฝนก็ตกกะทันหันแล้ว ซึ่งเธอเปียกปอนทั้งตัวอย่างไม่ต้องสงสัย
บรรยากาศฟ้าร้องฟ้าแลบท่ามกลางสายฝนกระหน่ำในช่วงสับเปลี่ยนฤดูจากวสันตฤดูเป็นคิมหันตฤดูจะรุนแรงเพียงใด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อฝีเท้าเธอ
เธอถูกรั้งอยู่นอกห้องตำราหลวง
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ยินเธอมาก็ลั่นประโยคเดียว ไม่พบ
เฉินเสียนเอ่ยปากกล่าวกลางสายฝน “ครั้งก่อนล่วงเกินและเสียมารยาทต่อท่าน ครั้งนี้ข้ามาด้วยสถานะคนรุ่นหลังมาขอขมาท่าน”
ผ่านไปเนิ่นนาน ประตูห้องตำราหลวงก็เปิดกว้าง แสงสีเหลืองของเปลิวไฟด้านในกระจายไออุ่นออกมา
เพียงแต่ไม่เห็นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกมา มีเพียงขันทีออกมากล่าวหนึ่งคน “เชิญจักรพรรดิแห่งต้าฉู่กลับไปเถอะ คืนนี้ฝ่าบาทไม่มีอารมณ์พบหน้าจักรพรรดิต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องมู่เดินเข้าไปเพื่อช่วยพูด แต่เมื่อขันทีเห็นท่าทีของท่านอ๋องมู่จึงกระซิบบ่นว่า “ท่านอ๋องมู่อย่าได้พูดให้มากความเลยพ่ะย่ะค่ะ ฝาบาทกำลังกราดเกรี้ยวอยู่ หากขืนพระองค์พูดอีก ฝ่าบาทก็จะยิ่งพิโรธได้ บ่าวเห็นว่าพระองค์ควรรีบออกจากวังจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็โกรธท่านอ๋องมู่ด้วยเรื่องที่คิดว่าเข้าข้างคนนอกแล้ว ตอนนี้เขายังคิดจะช่วยเฉินเสียนพูด มันเป็นการราดน้ำมันบนกองเพลิงอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านอ๋องมู่กล่าวกับขันทีว่า “ท่านไปกราบทูลหน่อยเถอะ ทูลฝ่าบาทว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงานจริงๆ ไม่แน่ว่าหากฝ่าบาทรู้แล้วคงไม่โกรธเพียงนี้แล้ว”
ขันทีกล่าวด้วยความลำบากใจ “ก่อนหน้านี้บ่าวก็เคยกราบทูลหลายครั้งแล้ว แต่ฝ่าบาทก็ไม่ยอมพบอยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
ด้านในส่งเสียงพูดของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยออกมา “ให้ท่านอ๋องมู่รีบไสหัวไปซะ”
เฉินเสียนเนื้อตัวเปียกปอน กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ท่านอ๋องกลับไปเถอะ วันนี้ท่านอ๋องมีบุญคุณต่อเฉินเสียน วันหน้าเฉินเสียนต้องตอบแทนพระคุณ ยื่นหมูยื่นแมวแน่”
ถึงแม้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ปรากฏกาย แต่กลับได้ยินเสียงด้านนอกอย่างชัดถ้อยชัดคำ กล่าวต่อว่า “ไม่ใช่ใช้สถานะของคนรุ่นเยาว์มาขอขมาหรอกหรือ เช่นนั้นก็คุกเข่าขอโทษหน้าประตูห้องตำราหลวงเถอะ ให้ข้าเห็นความจริงใจก่อน”
ท่านอ๋องมู่กล่าวด้วยความตกตะลึง “ฝ่าบาทไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ อย่างไรเสียนางก็เป็นจักรพรรดิแห่งต้าฉู่”
“เป็นนางเองที่บอกว่าจะใช้สถานะคนรุ่งหลัง งั้นผู้เยาว์คุกเข่าให้กับผู้ใหญ่คงไม่เกินไปกระมัง? ข้ามีศักดิ์เป็นเสด็จตาบุญธรรมของนางนะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นเฉินเสียนไม่กระดุกกระดิกกลางสายฝนเลือนราง พลางอดหัวเราะเย้ยหยันไม่ได้ กล่าวต่อว่า “ปากพร่ำแต่จะขอขมา มันก็เป็นเพียงลมปาก? ข้ารู้ว่าท่านเป็นคนช่างพูดช่างจา”
เฉินเสียนหลุบตาลงเล็กน้อย ดวงตาที่โดนน้ำฝนมองพื้นผิวเกิดเป็นดอกฝนเม็ดกลมๆ กล่าวว่า “ถึงแม้ข้าไม่อยากยอมรับ แต่ท่านก็เป็นเสด็จตาบุญธรรมของข้า เป็นบิดาของซูเจ๋อ คาดว่าท่านคงรู้ว่า ข้าไม่ได้มาเพราะขอขมาอย่างเดียว ข้ายังอยากขอร้องให้ท่านอนุญาตให้ข้ากับซูเจ๋ออยู่ด้วยกัน หากต้องให้ข้าคุกเข่าหน้าประตูให้ได้ แล้วทำให้ท่านหายโมโห ขอเพียงมีความหวังอันน้อยนิดที่จะทำให้ท่านเปลี่ยนใจ ข้าที่เป็นคนรุ่นหลังคุกเข่าก็ไม่เป็นกระไร”
ท่านอ๋องมู่เพิ่งอยากเข้าไปห้าม เฉินเสียนก็กล่าวอย่างใจเย็นอีกครั้ง “เชิญท่านอ๋องกลับเถอะ”
ขันทีส่งร่มมาให้ ท่านอ๋องมู่ถือร่มด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ค่อยดีนัก แต่มาถึงขั้นนี้เขาก็อับจนหนทาง
ยามที่ท่านอ๋องมู่ก้าวเท้าเดินเหินก็หันกลับมามอง เห็นเฉินเสียนที่ยืนตัวตรง สะบัดชายเสื้อแล้วค่อยๆย่อเข่า ก่อนจะคุกเข่าลง
เด็กสาวผู้นี้ดื้อดึงแบบสะเทือนฟ้าสะเทือนดินจริงๆ เพื่อปล่อยวางทุกอย่างเพื่อซูเจ๋อ
ขันทีก็ตะลึงงัน รีบหันกายเดินเข้าไปรายงานจักรพรรดิเป่ยเซี่ย กล่าวว่า “นางคุกเข่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท ด้านนอกฝนตกหนัก หรือว่า……”
มือที่จับพู่กันของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยหยุดค้าง ความกลัดกลุ้มผุดขึ้นมาในบัดดล กล่าวว่า “นางจะคุกเข่าก็ให้นางคุกเข่า ข้าจะดูว่านางคุกเข่าได้นานแค่ไหนกันเชียว”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมีเจตนาเหยียดหยามศักดิ์ศรีเธอ อยากให้เธอถอยเมื่อเจอความลำบาก แต่ไม่เคยคิดว่าเธอถึงกลับอดกลั้นความรู้สึกแล้วคุกเข่าจริงๆ
เธอมีปณิธานสูงเพียงใดถึงกล้ามาแย่งบุตรชายกับตน
ทว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นผู้ผ่านลมมรสุมเหลือคณานับ สิ่งที่เขาตัดสินใจแล้ว ไฉนเลยจะแปรเปลี่ยนง่ายดาย เขาก็ยืนหยัดในความคิดตัวเองเช่นกัน ไม่ว่าเฉินเสียนจะคุกเข่าจนชั่วฟ้าดินสลาย เขาก็ไม่อนุญาตเด็ดขาด
ฝนตกหนักมาก ร่างกายเฉินเสียนหนาวจนด้านชา น้ำฝนทำให้ทัศนียภาพของเธอพร่ามัว จอนผมแนบติดพวงแก้ม พลางฉายแสงประกายจากหยดน้ำฝนทั่วเรือนร่าง
เธอไม่รู้ว่าคุกเข่านานเท่าใด คล้ายกับแสงเปลิวไฟสีเหลืองที่ส่องออกมาจากด้านในคือความหวังของเธอ
เธอกะพริบตาด้วยความสั่นระริก เธอถ่อมตัวแต่ก็สีหน้ายังคงสดใส เสียงกังวานอันเบิกบานฟังชัดทุกถ้อยคำ “ข้าขอร้องท่าน โปรดยินยอมให้ข้ากับซูเจ๋ออยู่ด้วยกันเถอะ”
ไม่มีเสียงตอบจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ยผู้อยู่ด้านใน เฉินเสียนกล่าวต่อทีละถ้อยคำ “ข้าขอร้องท่าน โปรดยินยอมให้ข้ากับซูเจ๋ออยู่ด้วยกันเถอะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไร้อารมณ์สะสางงานราชกิจแล้ว ปาพู่กันลงพื้น ต่อด้วยยันกายลุกขึ้น จากนั้นก็เดินมายังประตูแล้วยืนอยู่ใต้กระเบื้องหลังคา แสงที่ส่องมาจากด้านหลัง ทำให้เงาของเขาลากยาวมาถึงกลางสายฝน แสงกระพริบวิบวับของเงามืดปกคลุมบนตัวเฉินเสียน
แม้เสื้อผ้าจะน้อยชิ้น ทว่าเธอก็ยังคงยืดตัวตรงอย่างแน่วแน่และอวดดีเหมือนตอนที่คุกเข่าแรกๆ
รู้สึกได้ถึงเงามืดเข้าปกคลุมศีรษะ เฉินเสียนแหงนหน้าขึ้นมองช้าๆพลันเห็นผู้ยืนอยู่เบื้องหน้าคือจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ฝนที่ไหลจากชายคาช่างเหมือนผ้าม่านที่แบ่งแยกทั้งสองคนเสียจริง
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเหล่ตามองเธอด้วยแววตาเย็นเยียบ ไร้สีหน้าแห่งความประทับใจ
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวว่า “หากท่านจากไปแต่โดยดี ชั่วชีวิตนี้ไม่เจอหน้าเขาอีก ข้าจะถือว่าไม่มีอันใดเกิดขึ้นระหว่างที่ท่านมาเยือนเป่ยเซี่ยครั้งนี้”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าทำไม่ได้”
“ท่านรู้ไหมว่ากำลังขออะไรกับข้าอยู่ ท่านจะให้สองพ่อลูกข้ากับเขาแยกจากกัน ท่านไม่รู้สึกว่าทำอย่างนี้จะจองหองไปหน่อยหรือ?” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าว
“เขาใช้ชีวิตอยู่ในต้าฉู่ยี่สิบกว่าปี ซึ่งเขาไม่เคยได้อยู่อย่างปลอดภัยเลย รอยแผลเขาเต็มตัวเพราะท่าน ตอนนี้ข้าตามหาเขากลับมาด้วยความยากลำบาก ให้เขาได้กลับมาอยู่ในครอบครัวตัวเอง และไม่ง่ายเลยที่จะช่วยเขาให้รอดตายได้ ข้าจะยอมให้ท่านพาเขากลับไปได้อย่างไร หากท่านหวังดีต่อเขาจริงก็ควรอยู่ห่างๆเขา ไม่ต้องเจอหน้าเขาอีก เขาก็จะไม่ทุ่มเทเพื่อท่านจนพลอยทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีก”
เฉินเสียนกะพริบตาปัดน้ำฝนบนขนตาออก ผ่านไปเนิ่นนานเธอยังคงกล่าวว่า “ข้าทำไม่ได้”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าว “ท่านถือซะว่าเขาสิ้นชีพไปแล้วเถอะ สองปีมานี้ท่านอยู่ที่ต้าฉู่ไม่ใช่ทำได้ดีหรอกหรือ?”
เฉินเสียนส่ายหัว เธอไม่ยอมปล่อยวาง กระทั่งสองปีที่ซูเจ๋อหายไป เธอก็ไม่เคยปล่อยวาง เธอกล่าวว่า “ข้ายินดีสาบานด้วยชีวิต ภายภาคหน้าข้าจะไม่ให้ซูเจ๋อถูกทำร้ายเพราะข้าอีก ข้าจะพยายามสุดแรงเพื่อปกป้องให้เขาได้ใช้ชีวิตที่ไร้กังวล”