ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 657 นี่แหละคือแบบที่ข้าชอบ
ขันทีที่อยู่ด้านนอกเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องตำราหลวงด้วยความตกใจ กราบทูลจักรพรรดิเป่ยเซี่ยว่า “ทูลฝ่าบาท ท่านอ๋องรุ่ยกำลังคุกเข่าอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทไม่ทรงใส่พระทัยจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ แต่ต้องทรงใส่พระทัยร่างกายของท่านอ๋องรุ่ย ขอพระองค์โปรดทรงเมตตาด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทั้งกังวลและทรงพิโรธอย่างหนัก “ตัวของตัวเองยังไม่ใส่ใจ เหตุใดข้าจะต้องไปใส่ใจด้วย! ถ้าอยากคุกเข่าก็ปล่อยให้เขาคุกเข่าไป!”
แววตาของซูเจ๋อเต็มไปด้วยความอบอุ่น และเขามักจะหันไปมองเฉินเสียนด้วยแววตาที่ลุ่มลึก ปลายนิ้วสัมผัสลงไปบนปิ่นหยกขาวที่อยู่ในมวยผมของเฉินเสียน จากนั้นจึงค่อยๆ ลากนิ้วลงมาที่ขมับ วาดลงมาอย่างแผ่วเบาตามโครงหน้าของเธอ ริมฝีปากแย้มยิ้มมากกว่าเดิม เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ความจริงแล้ว นี่แหละคือแบบที่ข้าชอบ”
ความทรงจำของเขายังคงขาดหาย แต่เขากลับจำได้รางๆ ว่ามารดาของเขาเป็นคนทิ้งปิ่นปักผมนี้ไว้ให้ การที่เขายอมมอบของต่างหน้าชิ้นสำคัญของมารดาให้กับสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ทำให้ซูเจ๋อรับรู้ได้ว่าก่อนหน้านี้ตนเองรักเธอมากจริงๆ
“อาเสียน” ซูเจ๋อเรียกเธอ
เฉินเสียนสั่นไหวขึ้นมาทันที ได้ยินซูเจ๋อเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “เมื่อก่อน ข้าเรียกท่านแบบนี้ใช่หรือไม่”
เฉินเสียนเอนศีรษะซบไหล่ของเขาเบาๆ และตอบว่า “ใช่ ท่านมักจะเรียกข้าแบบนี้เสมอ”
“มิน่า เรียกแล้วจึงรู้สึกว่าคุ้นปากเช่นนี้” ซูเจ๋อกล่าว “บางทีเรื่องการแต่งงานควรจะพิถีพิถันสักเล็กน้อย การจะแต่งงานกับใครสักคนไม่ควรจะเลือกใครก็ได้แบบลวกๆ… ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องสำคัญเสียแล้ว”
เฉินเสียนสะอื้นนิดหนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าต้องน่าเกลียดมากแน่ๆ” เธอยกมือขึ้นปิดตาซูเจ๋อและเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “ท่านห้ามมองนะ”
เฉินเสียนปิดริมฝีปากที่กำลังแย้มยิ้มของซูเจ๋อไม่ได้ เขากระซิบเบาๆ ว่า “ไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน ข้าไม่มองก็ได้ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าเห็น”
สีพระพักตร์ของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเฉยเมย ทว่าภายในใจทรงกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของซูเจ๋อเป็นอย่างมาก เขาเพิ่งฟื้นจากอาการป่วย แค่จะออกมาในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ก็ยังไม่สมควร แต่นี่เขากำลังคุกเข่าอยู่ท่ามกลางสายฝน ซึ่งเขาไม่มีทางทนไหวอย่างแน่นอน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงกริ้วอย่างหนัก เฉินเสียนผู้นั้นจะไม่รู้จักแยกแยะดีชั่วก็เรื่องของนาง แต่ตอนนี้ทุกคนต่างเห็นขี้ดีกว่าไส้ ทีแรกก็อ๋องมู่ คราวนี้โอรสของพระองค์ก็เป็นไปกับเขาด้วย!
เหตุใดสองคนที่อยู่ด้านนอกจึงดื้อดึงเช่นนี้!
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกขุ่นเคืองเฉินเสียนขึ้นมาอีกครั้ง ขนาดซูเจ๋อสูญเสียความทรงจำเธอยังดึงดูดเขาได้ขนาดนี้ ถ้าตัวการที่ก่อให้เกิดความหายนะไม่มาที่เป่ยเซี่ย เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันนั้น ภายในพระทัยของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็รู้สึกสั่นคลอน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้ว่าซูเจ๋อกำลังใช้สภาพร่างกายของตนเองบีบบังคับให้พระองค์ยอมจำนน ซูเจ๋อรู้ว่าพระองค์ไม่มีทางยอมใจอ่อนต่อเฉินเสียน แต่พระองค์ไม่มีทางใจแข็งต่อโอรสของตนเองเป็นแน่
ทว่าน่าเสียดาย หากในตอนนั้นซูเจ๋ออดทนได้นานกว่านี้อีกเพียงสักนิด… ในอนาคต ซูเจ๋อมักจะนึกเสียดายเสมอเมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ำคืนนี้… หากเขาทนได้นานกว่านี้อีกสักนิด จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะต้องยอมประนีประนอมอย่างแน่นอน
แต่ในท้ายที่สุดก่อนที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะเอ่ยปากประนีประนอม ซูเจ๋อก็ทนไม่ไหว
เขาหลับตาลงและนอนซบลงบนไหล่ของเฉินเสียน
ฝนหยุดแล้ว เสียงสายฝนที่หยดลงมาบนร่มกระดาษไขก็หยุดลงด้วย บริเวณโดยรอบเงียบสงัด เมื่อเฉินเสียนเรียกชื่อของซูเจ๋อในยามค่ำคืน เสียงกรีดร้องอันแหบแห้งของเธอทำให้ผู้คนตื่นตระหนก
ร่มตกลงมาบนพื้นข้างๆ ซึ่งเต็มไปด้วยน้ำฝนเจิ่งนอง
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรับสั่งให้คนมาแยกเธอออกจากซูเจ๋อ เธอเฝ้ามองซูเจ๋อถูกส่งตัวไป ตอนนี้ไม่มีเวลาพาเขากลับไปที่จวนอ๋องรุ่ยแล้ว จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงรับสั่งให้คนพาซูเจ๋อไปที่ห้องบรรทมของพระองค์ หยุดพักอยู่ที่โถงด้านข้างเพื่อจัดเตรียมพื้นที่ให้เรียบร้อย ในเวลาเดียวกันนั้น หมอหลวงซึ่งประจำการอยู่ที่สำนักหมอหลวงในคืนนี้รวมทั้งหมอผีที่เคยรักษาอาการป่วยให้ซูเจ๋อก่อนหน้านี้ก็ถูกจักรพรรดิเรียกมาที่โถงด้านข้างห้องบรรทมทันที
เฉินเสียนฝืนยืนขึ้นมาทั้งที่ขายังชาจนไร้ความรู้สึกเพราะอยากจะเดินตามเข้าไป จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินออกมาจากใต้ชายคา ฝีเท้าของพระองค์ทำให้น้ำในแอ่งน้ำเล็กๆ กระเซ็นขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเฉินเสียนกำลังจะเดินมาพระองค์จึงหยุด หันกลับไปมองเธอด้วยความโกรธเกรี้ยวจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ “ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งสาบานต่อหน้าข้าว่าจะไม่ทำร้ายเขาอีก แต่ตอนนี้เขาล้มลงอีกครั้งเพราะเจ้า เจ้าพอใจแล้วใช่ไหม หากเขาเป็นอันตรายถึงชีวิต เจ้าจะได้ไปอยู่กับเขาอย่างแน่นอน!”
“จะต้องฆ่าเขาให้ตายก่อนหรืออย่างไรเจ้าจึงจะยอมรามือ!” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกระชากเฉินเสียนขึ้นมา พระองค์ยังคงเอ่ยอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจใช่ไหม หากซูเจ๋ออยู่กับเจ้า เขาจะไม่มีวันดีขึ้น ผู้หญิงอย่างเจ้ามีแต่จะทำลายเขา ควบคุมเขา เจ้าคือตัวกาลกิณีในชีวิตของเขา!”
ใบหน้าของเฉินเสียนขาวซีด จักรพรรดิเป่ยเซี่ยผลักเธออย่างแรงจนเธอล้มลงไปกับพื้น มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นในหัวของเธอ และใบหน้าอันขาวซีดนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
เธอคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น
ซูเจ๋อจะไม่มีวันหายดีตราบใดที่เขายังอยู่กับเธอ เขาจะต้องบาดเจ็บเพราะเธออย่างไม่หยุดหย่อนและจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ
คำพูดของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นเหมือนกริชแหลมที่แทงทะลุเข้ามาในขั้วหัวใจของเธอ โดนเข้าที่จุดสำคัญ และมันเจ็บปวดเหลือเกิน
ก่อนหน้านี้เฉินเสียนมักจะกลัวอยู่เสมอว่าซูเจ๋อจะไม่อยู่เคียงข้างเธอ จะไม่ปกป้องเธออย่างเช่นในอดีต ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะกลับไปเป็นเขาในอดีตแล้ว แต่ทำไมหัวใจของเธอจึงยังเจ็บปวดขนาดนี้
ทำไมซูเจ๋อจะต้องมา ทำไมเขาต้องปกป้องเธอ ทำไมถึงต้องกางร่มให้ ทำไมต้องกลัวว่าเธอจะเปียกฝน ทำไมต้องคุกเข่าอยู่กับเธอจนทำให้ตัวเองเหน็บหนาว ทำไมเธอถึงไม่ยืนกรานที่จะหยุดเขา
นั่นเป็นเพราะว่าเธอยึดติดอยู่กับความหวานชื่นและความอบอุ่นในช่วงเวลานั้น เธอทนอยู่กับความโดดเดี่ยวเงียบเหงามานานเกินไป เธอยังหวังว่าเธอจะโชคดี คิดว่าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจะต้องเห็นใจในความรักที่มั่นคงระหว่างเธอกับซูเจ๋อ!
“ใครก็ได้ มาหยุดนางแทนข้า อย่าให้นางเข้าไปในโถงด้านข้างเด็ดขาด!”
ขันทีหลายคนที่อยู่นอกห้องตำราหลวงคอยเฝ้าเฉินเสียนไว้ จากนั้นจักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงก้าวยาวๆ จากไปอย่างไร้ความเมตตา
ก่อนหน้านี้ซูเจ๋อหยุดฝ่ามือของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่กำลังจะตบลงมาบนใบหน้าของเฉินเสียนไว้ได้ ทว่าตอนนี้เฉินเสียนกลับกลายเป็นเฉินเสียนที่ตบหน้าตัวเองอย่างแรง
เธอเพิ่งจะรู้สึกได้ว่าตัวเองไม่มีสติเลย เธอจำเป็นต้องตบให้ตัวเองมีสติ เธอเพิ่งจะคิดได้ว่าสิ่งที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพูดมาถูกต้องทุกอย่าง เธอเห็นแก่ตัวเกินไป เธอมันไร้ยางอาย
เวลานี้แสงไฟภายในโถงด้านข้างสว่างไสว คืนนี้ที่สำนักหมอหลวงมีหมอหลวงคอยเฝ้ารักษาการอยู่เพียงคนเดียว อาการป่วยของซูเจ๋อไม่ได้อยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของหมอหลวง หมอหลวงผู้นี้จึงไม่กล้าตรวจรักษาอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ท่านอ๋องรุ่ยป่วยหนักและไม่อาจละเลยได้ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงให้ความสำคัญเป็นที่สุด หากขาดความระมัดระวังเพียงเล็กน้อยหมอหลวงผู้นี้อาจชะตาขาดได้ ดังนั้นก่อนที่หมอผีจะมา หมอหลวงจึงทำได้เพียงประคับประคองอาการของเขาให้คงที่
ซูเจ๋อเริ่มมีไข้ ใบหน้าเริ่มซีดขาวจนน่ากลัว คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดเข้าหากันราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้าย ริมฝีปากขยับพึมพำเรียกชื่อใครบางคน
อาเสียน…
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกด้วยพระทัยที่ร้อนรุ่ม ในที่สุดหมอผีก็มาถึง หมอผีสะพายกล่องยาเข้ามาและไม่มีเวลาแม้แต่จะแสดงความเคารพ รีบรุดเข้าไปในห้อง ถอนหายใจอย่างปลงอนิจจัง “ในที่สุดก็ดีขึ้นแล้วแท้ๆ เหตุใดเพียงแค่พริบตาเดียวจึงกลายเป็นเช่นนี้อีก!”