ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 66 สิ่งที่ต้องการคือทัศนคติของเขา
เกี้ยวนุ่มๆ ที่เหลียนชิงโจวส่งมารับ ทั้งนุ่มทั้งกว้างขวาง อากาศก็ถ่ายเทสะดวก ภายนอกดูเหมือนเกี้ยวธรรมดาๆ แต่ภายในตกแต่งไว้ดีกว่าเกี้ยวของจวนแม่ทัพแถมยังสบายกว่าด้วย
เฉินเสียนที่นั่งอยู่ในเกี้ยวไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงเลยแม้แต่น้อย เบาะด้านในบุด้วยผ้าแพรนุ่มๆ ที่ทำให้เธอหลับสบายไปตลอดทาง
เมื่อถึงที่และลงจากเกี้ยวเธอจึงเห็นว่าเหลียนชิงโจวยืนอมยิ้มรอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตู
เฉินเสียนกล่าวว่า “จิ้งจอกเหลียน เจ้ามีอะไรดีๆ แบบนี้ไว้ใช้ด้วย ชุดที่นั่งในเกี้ยวนี่คงราคาไม่เบาเลยใช่ไหม”
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นที่นั่งที่เตรียมไว้สำหรับองค์หญิงโดยเฉพาะ ผ้าแพรนั่นทอมาจากไหมหิมะจากภูเขาเทียนซาน ซึ่งจะทำให้รู้สึกเย็นสบายในฤดูร้อน”
เฉินเสียนตามเขาเข้าไป เธอยิ้มและกล่าวว่า “เดือนหนึ่งข้าถึงจะมาสักครั้ง เจ้าถึงกับเตรียมเกี้ยวราคาแพงไว้ให้ข้าเลยรึ ไม่เอาน่า”
เหลียนชิงโจวยิ้มและกล่าวว่า “จะทำอย่างไรได้ล่ะพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมปล่อยให้องค์หญิงอึดอัดไม่ได้”
ขณะนั้นคนรับใช้ยกจานลิ้นจี่สีแดงสดมาวางไว้ที่โต๊ะของเฉินเสียน และลมเย็นๆ ที่พัดผ่านใบหน้าก็กลายเป็นความร้อนในฉับพลัน
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “กระหม่อมไม่อยากให้องค์หญิงต้องเทียวไปเทียวมาอย่างลำบาก ส่วนนี่เป็นลิ้นจี่ที่เพิ่งส่งมาจากหลิ่งหนานวันนี้ ว่ากันว่าเพิ่งเด็ดมาเมื่อตอนย่ำรุ่ง องค์หญิงทรงชิมดูก่อนสิพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้เยี่ยนปอกเปลือกลิ้นจี่เตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้วและกล่าวว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ในวังหาชิมลิ้นจี่สดๆ เช่นนี้ยากนัก องค์หญิงทรงชิมสักลูกสิเพคะ”
เฉินเสียนชิมแล้วก็สัมผัสได้ถึงรสชาติอันหอมหวานภายในปาก เธอหยีตาอย่างมีความสุขและกล่าวว่า “อวี้เยี่ยน เจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก ปอกให้ตัวเองชิมสักลูกสิ”
“สุภาพอะไรกันเพคะ คุณชายเหลียนบอกว่าท่านนำมาให้องค์หญิงได้ชิมลิ้นจี่รสชาติสดใหม่” อวี้เยี่ยนกลืนน้ำลายและเอ่ยต่อว่า “ลิ้นจี่ขององค์หญิง บ่าวจะกินได้อย่างไรเพคะ”
เหลียนชิงโจวใช้นิ้วอุ่นๆ หยิบลิ้นจี่ขึ้นมาหนึ่งลูก เขาปอกเปลือกแล้วชิม จากนั้นจึงพูดว่า “ที่นี่ไม่มีคนนอก ในเมื่อองค์หญิงตรัสดังนั้น อวี้เยี่ยนก็ย่อมกินได้อยู่แล้ว”
ดวงตาของอวี้เยี่ยนเป็นประกาย ทำปากขมุบขมิบและกำมือแน่น “จริงหรือเพคะ บ่าวกินได้จริงๆ หรือเพคะ”
เฉินเสียนฉวยโอกาสนี้หยิบลิ้นจี่ที่ปอกเปลือกไว้แล้วยัดใส่ปากของอวี้เยี่ยน
เหลียนชิงโจวไม่ได้กินมากเท่าเฉินเสียนกับอวี้เยี่ยน หลังจากกินไปได้สองลูกเขาก็เช็ดมือ เอ่ยเตือนว่า “เสวยมากเกินไประวังจะร้อนในนะพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
“ไม่กลัว ไม่กินก็เสียเปล่านะสิ”
เหลียนชิงโจวเอ่ยลอยๆ ว่า “ดูเหมือนองค์หญิงจะชอบเสวยลิ้นจี่มากจริงๆ”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ข้าเห็นเจ้ากินแค่นิดเดียวก็หยุดเสียแล้ว ไม่ใช่ว่าไปหามาให้ข้ากินโดยเฉพาะหรอกนะ เจ้ารู้ด้วยหรือว่าข้าชอบกินลิ้นจี่”
“ตอนนี้เป็นช่วงที่ลิ้นจี่ของหลิ่งหนานมีรสชาติอร่อยถูกปาก กระหม่อมจึงคิดจะชวนองค์หญิงมาลองชิม ไม่คิดมาก่อนว่าจะถูกปากองค์หญิงมากขนาดนี้”
“ขนาดไม่รู้เจ้ายังกล้าเตรียมไว้มากมายขนาดนี้เลยหรือ ถ้าข้าไม่ชอบกินขึ้นมาเจ้าไม่แย่หรือไง ส่งตรงจากหลิ่งหนานมาถึงภายในคืนเดียว ค่าขนส่งคงไม่ใช่ถูกๆ”
เหลียนชิงโจวยิ้มและพูดว่า “แต่ตอนนี้องค์หญิงก็ชอบเสวยมากไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนรับผ้าเช็ดหน้าเปียกที่อวี้เยี่ยนส่งมาให้มาเช็ดปาก จากนั้นจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “จิ้งจอกเหลียน มีคนเก่งๆ คอยชี้แนะอยู่เบื้องหลังเจ้าใช่ไหม”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลียนชิงโจวหายวับไปทันที
เฉินเสียนพูดอีกว่า “ข้ามาคิดดูแล้ว แม้ว่าเจ้ากับข้าจะเป็นคนเคยรู้จักกัน แต่ก็แยกจากกันมานานหลายปี เจ้าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องทุ่มสุดตัวขนาดนี้เพื่อช่วยข้า
เจ้าบอกว่าข้าเป็นองค์หญิง ในอนาคตข้าอาจนำผลประโยชน์มาให้เจ้า แต่ข้าก็เป็นแค่อดีตองค์หญิง พูดอีกอย่างก็คือ ข้าทำประโยชน์ให้เจ้าไม่ได้ ทั้งยังอาจจะนำหายนะมาสู่เจ้าด้วย
นอกจากนี้เจ้ายังห่วงใยลูกในท้องของข้ามาก เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเจ้า ทำไมเจ้าถึงต้องทำอะไรให้ตั้งมากมาย เจ้าพาข้ากลับไปที่จวนแม่ทัพ ทำให้ข้าดูแลเด็กในท้องอย่างอุ่นใจ เป็นไปได้หรือที่จะมีคนตกหลุมรักเด็กคนนี้? ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ในฐานะพิเศษ ถ้าหากมีใครต้องการใช้เด็กคนนี้เพื่อรื้อฟื้นราชวงศ์ก่อนหน้า มันยังจะเข้าใจได้ง่ายกว่าไม่ใช่หรือ”
เหลียนชิงโจวมีท่าทีตกใจ “องค์หญิงทรงคิดอะไรอย่างนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “ก่อนนี้เจ้าบอกว่าพ่อของเจ้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ตอนที่พ่อของเจ้าเป็นขุนนางก็น่าจะเป็นตอนที่พระบิดาของข้ายังเป็นจักรพรรดิไม่ใช่หรือ หลังจากที่กลายเป็นอดีตข้ารับใช้แห่งราชวงศ์เดิม เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไร นอกจากนี้เจ้ายังเคยบอกไม่ใช่หรือว่ามีหลายสิ่งที่ข้าจะเข้าใจในภายหลัง”
เหลียนชิงโจวไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ปฏิเสธ เขาเพียงแต่พูดว่า “งั้นรอให้ถึงวันที่องค์หญิงเข้าใจอย่างถ่องแท้ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกทีดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนตอบว่า “ข้าลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตไปแล้ว ตอนนี้ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะปกป้องเด็กคนนี้ให้อยู่ดี
เหล่าอดีตข้ารับใช้ในราชวงศ์ก่อนที่ยังมีชีวิตรอดอาจจะเป็นพวกผู้เฒ่าเลวๆ ก็ได้ ตัวฝังดินไปแล้วครึ่งหนึ่ง เหลืออีกเพียงครึ่งชีวิต ทำไมจึงยังไม่หยุดอีก หากทิ้งเรื่องยุ่งเหยิงไว้ในอนาคต ยังจะหวังให้ข้าไปจัดการอยู่ไหม
ถ้าผู้เฒ่าเลวๆ คอยบงการอยู่เบื้องหลังเจ้าจริงๆ เจ้าจงไปบอกพวกเขาว่า ข้ากับลูกของข้าปฏิเสธที่จะเป็นหุ่นเชิด ให้เขาล้มเลิกความคิดนี้โดยเร็วที่สุด”
มุมปากของเหลียนชิงโจวกระตุกเล็กน้อย ครู่ใหญ่ๆ จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “องค์หญิงคงจะกังวลมากเกินไป แม้ว่ายังมีคนจากราชวงศ์เก่าหลงเหลืออยู่และต้องการรักษาผู้สืบสายเลือดขององค์หญิงเอาไว้ แต่ไม่มีใครอยากใช้องค์หญิงและเด็กเป็นเครื่องมือหรอกพ่ะย่ะค่ะ ส่วนกระหม่อมนั้นองค์หญิงอย่าได้ทรงกังวลพระทัย กระหม่อมเป็นเพียงพ่อค้า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับกิจของราชวงศ์”
เฉินเสียนพูดอย่างจริงจังว่า “เราคุยกันแบบนี้ก็ดีแล้ว ต่อไปเราจะยังคงเป็นสหายกันเช่นเดิม แต่ฉินหรูเหลียงจำเจ้าได้ ถ้าเขาเปิดโปงว่าเจ้าเป็นอดีตข้ารับใช้ของราชวงศ์ก่อน แล้วเจ้ายังคบหากับข้าอีก เจ้าจะตกอยู่ในอันตราย”
“เขาจะไม่ทำเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเขาติดหนี้ชีวิตกระหม่อม”
“แล้วถ้ามีคนอื่นรู้เข้าล่ะ”
“กระหม่อมเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปแล้ว คนที่รู้ว่าเมื่อก่อนรูปร่างหน้าตาของกระหม่อมเป็นอย่างไรก็ตายไปหมดแล้ว เช่นนี้ใครจะรู้เรื่องของกระหม่อมได้”
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเธอเดาถูกมากน้อยแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอมั่นใจได้ก็คือ เหลียนชิงโจวผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาๆ
ก่อนจะจากไป เหลียนชิงโจวไปส่งเธอที่ประตูตามปกติ เขายืนพิงกรอบประตูแล้วตะโกนเรียก “องค์หญิง”
เฉินเสียนหันกลับไปมอง เขาดูอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับหยก
เขาเอ่ยว่า “กระหม่อมรู้สึกเป็นเกียรติมากพ่ะย่ะค่ะที่องค์หญิงมองว่ากระหม่อมเป็นสหาย กระหม่อมจะไม่เป็นภัยต่อองค์หญิง และจะเป็นเช่นนี้ต่อไป… หากองค์หญิงไม่เชื่อ ต่อไปจะมาหรือไม่มาที่นี่ กระหม่อมก็จะไม่บังคับพระองค์เลย”
เฉินเสียนฉีกยิ้มอย่างมั่นใจและบอกว่า “เมื่อถึงวันที่ข้าจะไม่รับเจ้าเป็นสหายเมื่อไหร่ ถึงวันนั้นข้าจะบอกเจ้าด้วยตัวของข้าเอง”
เหลียนชิงโจวยิ้มอย่างแจ่มใสและน้อมคำนับเฉินเสียน “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะองค์หญิง”
จากนั้นเฉินเสียนจึงหันกลับมาและขึ้นเกี้ยวเพื่อกลับไปยังจวนแม่ทัพ
เฉินเสียนนิ่งเงียบมาตลอดทาง อวี้เยี่ยนกังวลจนอดถามไม่ได้ว่า “องค์หญิงทรงคิดอะไรอยู่หรือเพคะ”
“ข้ากำลังคิดว่า…” เฉินเสียนพูดพลางพาดข้อศอกไว้ที่บานหน้าต่างและเกยคางมองไปข้างนอก “ลิ้นจี่ของจิ้งจอกเหลียนอร่อยมากจริงๆ”
อวี้เยี่ยนกะพริบตาปริบๆ “บ่าวคิดว่าองค์หญิงทรงคิดถึงเรื่องที่ไม่มีความสุขอยู่เสียอีกเพคะ”
“ไหนเจ้าลองบอกมาสิ มีเรื่องอะไรที่ทำให้ข้าไม่มีความสุข”
เฉินเสียนไม่คิดมาก เรื่องบางเรื่องได้ถามต่อหน้าไปแล้วและเธอจะไม่ยุ่งกับมันอีก สิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่คำตอบจากเหลียนชิงโจว แต่เป็นทัศนคติของเขา
ส่วนเรื่องการต่อสู้ระหว่างราชวงศ์มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย ถึงแม้ในท้ายที่สุดพวกเขาจะใช้เธอเป็นหุ่นเชิด แต่พวกเขาก็ต้องถามเธอด้วยว่าเธอเห็นด้วยหรือเปล่า
อวี้เยี่ยนเงยหน้าเล็กๆ ขึ้นมองแล้วตอบว่า “บ่าวก็ไม่รู้เช่นกันเพคะ บ่าวแค่อยากให้องค์หญิงมีความสุขในทุกๆ วันก็เท่านั้น เพียงแค่นี้บ่าวก็พอใจแล้ว”
เฉินเสียนบีบแก้มกลมๆ ของนางและหัวเราะเบาๆ
ในเรือนอันเงียบสงบ เหลียนชิงโจวนั่งคุกเข่านั่งอยู่บนเสื่อและเล่าให้ชายหนุ่มที่อยู่หลังม่านไม้ไผ่ฟังว่าเฉินเสียนพูดอะไรบ้าง
ชายผู้นั้นหยิบไม้กฤษณาขึ้นมาและใส่ลงไปในกระถางธูปสัตว์มงคล จากนั้นกลิ่นหอมอ่อนๆ ก็ค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่ว