ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 660 อาเซี่ยนคือโอรสของพระนางกับอ๋องรุ่ย
เมื่อแผ่นหลังของเฉินเสียนหายลับไปจากห้องโถง ซูเจ๋อจึงยกมือขึ้นสัมผัสหยาดน้ำตาอุ่นๆ ของเธอที่ยังหลงเหลืออยู่บนใบหน้า
เธออยากจะไป เขาห้ามเธอไว้ได้ด้วยหรือ? จักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ ถึงอย่างไรก็ต้องกลับไปยังต้าฉู่ และด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้ เขาไม่มีทางร่วมทางไปกับเธอได้
ช่างเถิด เรื่องนี้บังคับกันไม่ได้
เฉินเสียนมุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่เพิ่งกลับมาจากการเข้าเฝ้ายามเช้าทันทีที่เธอออกไปจากห้องโถง ไม่มีคำพูดอะไรมากมายเกินความจำเป็นระหว่างคนทั้งสอง
เพียงแต่ขณะที่เฉินเสียนกำลังจะเดินผ่านพระองค์ไป จู่ๆ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ตรัสขึ้นมาว่า “ปิ่นปักผม”
เธอหยุดชะงัก ในที่สุดก็ยกมือขึ้นดึงปิ่นหยกขาวบนมวยผมออกมา จากนั้นจึงวางลงบนพระหัตถ์ของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงกล่าวอย่างพึงพอใจว่า “ในภายภาคหน้า เป่ยเซี่ยและต้าฉู่จะเป็นเพียงเพื่อนบ้านกันเท่านั้น ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ นอกเหนือจากนี้”
เธอจึงกล่าวว่า “ตามพระประสงค์”
เฉินเสียนบ่ายหน้าไปทางพระอาทิตย์ที่โผล่พ้นขอบฟ้า จากนั้นแผ่นหลังที่มั่นคงและแข็งแกร่งก็ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหรี่พระเนตรมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับเข้าไปในห้องโถง เมื่อเห็นว่าซูเจ๋อฟื้นแล้ว พระองค์จึงตรัสว่า “เวลานี่รู้สึกอย่างไรบ้าง”
แววตาของซูเจ๋อเย็นเยียบ เขายื่นมือออกมาทางพระองค์และกล่าวว่า “ส่งมา”
พระหัตถ์ทั้งสองข้างของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยประสานกันอยู่ในแขนฉลองพระองค์ พระองค์ชะงักไปนิดหนึ่งเมื่อได้ยินเช่นนั้น แต่ในที่สุดก็ยื่นปิ่นหยกขาวในพระหัตถ์ส่งให้ซูเจ๋อ
ซูเจ๋อมองปิ่นหยกขาวในมือราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ไม่มีท่าทีว่าจะพูดสิ่งใดกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “นางพูดอะไรกับเจ้า เจ้าจึงเฉยเมยกับข้าเช่นนี้”
ซูเจ๋อเอ่ยเรียบๆ ว่า “พระองค์กลัวว่านางจะพูดอะไรกับข้าหรือ?”
นับตั้งแต่นี้ต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างจักรพรรดิเป่ยเซี่ยและซูเจ๋อสองพ่อลูกจะเต็มไปด้วยความเฉยชายิ่งกว่าเดิม แม้ว่าคนภายนอกจะไม่เข้าใจ แต่ทั้งสองฝ่ายต่างรู้แก่ใจดี
หลังจากอาการของซูเจ๋อดีขึ้นเมื่อวันเวลาผ่านไป จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงรับสั่งให้เขาเข้าพิธีสมรสกับพระชายารุ่ยให้เสร็จสิ้น ทว่าซูเจ๋อกลับสั่งให้พ่อบ้านส่งพระชายารุ่ยกลับไปหาครอบครัวของนาง ทั้งยังบอกว่าจะไม่แต่งงานไปชั่วชีวิต
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยค่อนข้างกริ้ว พระองค์ทรงบังคับให้ซูเจ๋อเลือกคนที่เหมาะสมที่จะมาเป็นพระชายา แต่ซูเจ๋อกลับบอกว่า “ขอบพระทัยที่ฝ่าบาททรงห่วงใย แต่ข้าไม่ชอบสตรี”
ทันทีที่มีข่าวแพร่ออกไปว่าท่านอ๋องรุ่ยชอบผู้ชาย ตอนนี้ไหนเลยจะมีผู้หญิงกล้าเสนอตัวเข้ามาแต่งงานง่ายๆ เพราะถ้าหากเป็นเหมือนพระชายารุ่ยคนก่อนที่ถูกส่งตัวกลับไปหาครอบครัวหลังจากแต่งงาน แบบนั้นคงน่าขายหน้าแย่!
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นในภายหลัง
ขณะนี้เฉินเสียนออกไปจากพระราชวังของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยแล้วและกำลังกลับไปยังโรงเตี๊ยมหลวง อ๋องมู่ส่งข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ฉินหรูเหลียงรับทราบแล้ว เมื่อรู้ว่าต้องออกเดินทางวันนี้ ฉินหรูเหลียงกับกองทหารองครักษ์และทูตจึงเก็บของรอไว้ พร้อมจะออกเดินทางทุกเมื่อ
เสื้อผ้าทั้งชุดของเฉินเสียนเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝน สภาพของเธอดูไม่ได้เลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์ของวังหลวงอีกครั้ง
ทว่าเธอไม่ได้มีสีหน้าที่จนแต้มหรือมีท่าทีที่ต่ำต้อยอีกต่อไป
จักรพรรดินีผู้เคยกล่าวกับคณะทูตไว้ว่า “ผู้ใดร้องขอ ผู้นั้นย่อมกลายเป็นผู้ที่ด้อยกว่า” ได้กลับมาเป็นจักรพรรดินีผู้สูงศักดิ์แห่งต้าฉู่อีกครั้ง
บางสิ่งบางอย่างไม่อาจได้มาด้วยการยอมลดตัวเข้าแลก เฉินเสียนจำได้ขึ้นใจแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากพระราชวังของจักรพรรดิเป่ยเซี่ย เธอก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่าตลอดชีวิตที่เหลือหลังจากนี้ ซูเจ๋อจะเป็นคนที่เธอได้แต่เฝ้ามองทว่าไม่มีทางเอื้อมถึง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงมองมาทางเหนือได้เสมอ
เธอยังคงรักและคิดถึงเขาได้เหมือนเดิม
ต่อให้อยู่ร่วมกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต่างคนต่างสบายดี เท่านี้ดียิ่งกว่าหยินและหยางมากแล้วไม่ใช่หรือ
เธอรีบอาบน้ำและเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นจึงพาผู้คนของเธอออกเดินทางไปจากเมืองหลวง ถึงอย่างไรพวกเขาก็คือแขกที่มาจากต้าฉู่ ดังนั้นอ๋องมู่จึงพาองค์หญิงจาวหยางไปส่งที่ประตูเมือง
องค์หญิงจาวหยางมองสตรีผู้มีบุคลิกองอาจผึ่งผายบนหลังม้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าเธอคือคนที่ก่อเรื่องในพระราชวังเมื่อคืนนี้ เธอต้องลาจากอ๋องรุ่ย แต่นางกลับไม่พบร่องรอยของความผิดหวังเลยแม้แต่น้อย นางหันไปมองกองทหารองครักษ์ในชุดสีดำซึ่งมีฉินหรูเหลียงเป็นผู้นำ แต่ละคนมีสีหน้าเรียบเฉยและดูตื่นตัวในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดเวลา
ฉินหรูเหลียงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ต่อสายตาที่จ้องมองมาขององค์หญิงจาวหยาง เขาเมินเฉยโดยสิ้นเชิง
องค์หญิงจาวหยางอดไม่ได้ที่จะท้อใจและรู้สึกอาลัยอาวรณ์เฉินเสียนเป็นอย่างมาก ถึงอย่างไรนางก็รู้สึกว่าตนเองกับจักรพรรดินีผู้นี้เข้ากันได้ดี จึงเอ่ยอย่างเศร้าใจว่า “หากมีโอกาส ข้าขอไปเยี่ยมเยียนพวกท่านที่ต้าฉู่ได้หรือไม่”
เฉินเสียนก้มมองนาง แสงอาทิตย์ที่ส่องเข้ามาทำให้ดวงตาของเธอเป็นประกายแวววาวมองแล้วเย็นตา พร้อมกันนั้นก็น่าเกรงขาม เธอบอกว่า “ข้ายินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่ง”
อ๋องมู่ก้าวออกมาข้างหน้าและกล่าวว่า “ขอองค์จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ทรงเดินทางอย่างปลอดภัย” เขาถอนหายใจและกล่าวอีกว่า “เดิมทีข้าอยากจะช่วย แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายจะลงเอยเช่นนี้”
“ท่านอ๋องมู่อย่าได้โทษตัวเองเลย ข้ามาที่นี่และพยายามทำอย่างเต็มที่แล้ว ไม่ได้คิดว่านี่เป็นการเดินทางที่เปล่าประโยชน์แต่อย่างใด” เฉินเสียนประสานมือคารวะ “ท่านอ๋อง หวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันอีก”
อ๋องมู่กล่าวว่า “หากหลังจากนี้เกิดอะไรขึ้นกับอ๋องรุ่ย ข้าจะส่งสาสน์ไปแจ้งข่าวให้พระองค์ทราบ”
เฉินเสียนยิ้ม “ท่านอ๋องช่างมีน้ำใจยิ่งนัก”
ขณะที่เฉินเสียนกำลังจะควบม้าออกไป อยู่ๆ อ๋องมู่ก็พูดขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินว่าต้าฉู่แต่งตั้งองค์รัชทายาท… คืออาเซี่ยนน้อยใช่หรือไม่”
เฉินเสียนเลิกคิ้วและเอ่ยว่า “ท่านอ๋องทราบข่าวเร็วยิ่งนัก ข้ามีลูกชายเพียงคนเดียว ด้วยเหตุนี้เขาจึงควรเป็นมกุฎราชกุมาร”
อ๋องมู่ถามคำถามที่ตนเองรู้สึกสนใจและอ่อนไหวเป็นพิเศษ “ขออภัยฝ่าบาทหากข้าพูดมากเกินไป ข้าปรารถนาจะถามฝ่าบาทอีกครั้งว่า เขาแซ่ซูหรือแซ่เฉิน”
เฉินเสียนหรี่ตามองออกไปไกลและเอ่ยเรียบๆ ว่า “เรื่องที่ว่าเป็นแซ่อะไรนั้น เหล่าขุนนางของข้าคงไม่ยอมหยุด เมื่อข้ากลับไปที่ราชสำนัก พวกเขาคงขอให้อาเซี่ยนเปลี่ยนแซ่ตามข้า ด้วยเหตุนี้เราจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเป่ยเซี่ยอย่างสิ้นเชิง”
อ๋องมู่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หมายความว่า… อาเซี่ยนน้อยคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา…”
เฉินเสียนฉีกยิ้ม มองอ๋องมู่และกล่าวว่า “ที่ท่านอ๋องพูดก็ยังไม่ถูกนัก อาเซี่ยนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า แซ่เฉินคือแซ่ประจำอาณาจักรต้าฉู่ของข้า การที่เข้าต้องสืบทอดแซ่ประจำอาณาจักรต้าฉู่ย่อมเป็นสิ่งที่ถูกควร ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นเด็กที่ไม่มีพ่อ ต่อไปข้าจะเป็นทั้งแม่และพ่อของเขา”
พูดจบเฉินเสียนก็ลงแส้และควบม้ามุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เอ่ยอะไรกับอ๋องมู่อีก
อ๋องมู่มองแผ่นหลังของกลุ่มคนเหล่านั้นค่อยๆ หายลับไปจากถนนหลวง จากนั้นจึงถอดถอนใจครั้งแล้วครั้งเล่า องค์หญิงจาวหยางเพิ่งจะได้สติกลับมาและถามไปว่า “ท่านพ่อ พวกท่านพูดถึงอะไรกัน ใครคืออาเซี่ยน”
อ๋องมู่ตอบว่า “อาเซี่ยนคือโอรสของพระนางกับอ๋องรุ่ย!”
องค์หญิงจาวหยางเบิกตากว้างและถามว่า “องค์จักรพรรดิรู้เรื่องนี้หรือไม่เพคะ”
ท่านอ๋องมู่พาองค์หญิงจาวหยางกลับเมือง ส่ายหน้าและบอกว่า “องค์จักรพรรดิยังไม่รู้ ข้าเข้าไปในวังเพื่อจะกราบทูลเรื่องนี้กับพระองค์หลายครั้งหลายครา แต่พระองค์ทรงปฏิเสธไม่ยอมให้ข้าเข้าเฝ้า ตอนนี้พ่อแม่ลูกต้องแยกจากกัน ทำให้ลูกหลานตระกูลซูของข้าต้องเปลี่ยนแซ่เปลี่ยนพ่อ ไม่รู้ว่านี่คือพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิหรือเปล่า”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวว่า “ท่านต้องรีบไปบอกพระองค์นะเพคะ! ตอนนี้ยังพอมีเวลาไล่ตาม!”
ท่านอ๋องมู่มองนางและกล่าวว่า “พระนางคือจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเสด็จกลับต้าฉู่อยู่ดี เจ้าอย่าคิดให้มากไปเลย”
องค์หญิงจาวหยางลูบจมูกและพึมพำอย่างเศร้าพระทัย “เฮ้อ…”
ซูเจ๋อพักฟื้นอยู่ที่ห้องโถงข้างห้องบรรทมเป็นเวลาสองสามวัน หลังจากอาการดีขึ้นจึงย้ายกลับไปที่จวนอ๋องรุ่ย เขาแขวนภาพเหมือนของเฉินเสียนไว้ในห้องนอน มักจะมองภาพนั้นและคิดว่าตอนนี้เธอคงจากไปไกลแล้ว
ทว่าเขายังมักจะนึกถึงช่วงเวลาที่เธอยังอยู่ที่นี่ มักจะนึกถึงช่วงเวลาที่เขาได้กอดและจูบเธอ…
หมอผียังมารักษาซูเจ๋อทุกวัน เมื่อเห็นภาพเหมือนภาพนั้นจึงพูดกับซูเจ๋ออย่างอดไม่ได้ว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่ผู้นี้มิใช่สตรีที่ธรรมดาเลยจริงๆ ดีกว่าพระชายารุ่ยอะไรนั่นเป็นไหนๆ… เฮ้อ ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเสด็จไปไกลแค่ไหนแล้ว”