ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 67 ปลุกเร้าอารมณ์ของเขา
เสียงไม้กระทบกระถางธูปดังมาจากปลายนิ้วของเขา เขาขยับมันอยู่ครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ข้าดูเหมือนพวกผู้เฒ่าเลวๆ งั้นหรือ”
เหลียนชิงโจวตอบอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ยังหนุ่มนัก เป็นบุรุษหนุ่มผู้มีอนาคตสดใสแห่งต้าฉู่”
เสียงหัวเราะอันน่าฟังดังมาจากหลังม่านไม้ไผ่ เขากล่าวว่า “ผู้เฒ่าเลวๆ อย่างข้าอยากจะพบพระองค์กับเด็กคนนั้นจริงๆ เจ้าว่าพระองค์จะหนีไปไหม”
เปลือกตาของเหลียนชิงโจวกระตุกเล็กน้อย
เสียงหัวเราะอันมีเสน่ห์ยังคงวนเวียนอยู่ที่นั่น เขาถามเบาๆ ว่า “พระองค์ชอบลิ้นจี่ไหม”
เหลียนชิงโจวตอบว่า “องค์หญิงทรงโปรดมากขอรับ”
หลังจากนั้นเฉินเสียนก็ไปที่จวนของเหลียนชิงโจวอีกหลายครั้งเพื่อกินลิ้นจี่ เธอเริ่มมีอาการร้อนในเล็กน้อย พอกลับมาที่เรือนก็รู้สึกปวดฟันอยู่สองวัน ในขณะที่อาการร้อนในก็ยังไม่คลายลง
ฉินหรูเหลียงรู้ว่าช่วงหลายวันมานี้เฉินเสียนเทียวไปเทียวมาที่จวนของเหลียนชิงโจวบ่อยๆ เขาไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายเสรีภาพการไปไหนมาไหนของเธอ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ
เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ฉินหรูเหลียงยุ่งมาก เขามีงานราชการรัดตัว อย่าว่าแต่เฉินเสียนเลย แม้แต่หลิ่วเหมยอู่เขาก็แทบไม่มีเวลาดูแล
บางครั้งกว่าจะกลับมาถึงจวนก็หลังพลบค่ำไปแล้ว
และวันเกิดของหลิ่วเหมยอู่ที่กำลังจะมาถึงอีกไม่กี่วันนี้ก็ตรงกับช่วงที่ฉินหรูเหลียงต้องไปจัดวางกำลังป้องกันไว้นอกเมืองพอดี เพราะเดือนหน้าจะถึงวันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนี ในวังจึงต้องจัดเตรียมงานล่วงหน้าเป็นเดือนๆ
เช้าตรู่วันนั้นฉินหรูเหลียงไปหาหลิ่วเหมยอู่ที่สวนดอกพุดตานเพราะจำได้ว่าเป็นวันเกิดของนาง หลิ่วเหมยอู่ที่เพิ่งตื่นดูเหมือนดอกพุดตานที่เพิ่งแย้มบาน เขาลูบไล้แก้มของนางเบาๆ พร้อมกับกล่าวอย่างรู้สึกผิด “เหมยอู่ วันนี้ในวังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ข้าอาจจะกลับมาถึงค่อนข้างดึก”
หลิ่วเหมยอู่กล่าวอย่างเข้าอกเข้าใจว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ งานของท่านแม่ทัพเป็นสิ่งสำคัญ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ท่านค่อยกลับมาใช้เวลาในวันเกิดร่วมกับเหมยอู่ก็ได้เจ้าค่ะ”
“ได้สิ ข้าจะพยายามกลับมาให้เร็วที่สุด” ฉินหรูเหลียงยิ้มอย่างอ่อนโยนและคลอเคลียอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง “ถ้าข้ากลับดึกมาก เจ้าเข้านอนไปก่อนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอข้า”
หลังจากที่ทั้งคู่คลอเคลียกันอยู่พักหนึ่ง ร่างสูงใหญ่ที่อยู่ในชุดขุนนางคอกลมของฉินหรูเหลียงก็ลุกขึ้นและเดินจากไป
หลิ่วเหมยอู่กึ่งนั่งกึ่งนอนและเอนกายอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง นางมองดูแผ่นหลังของฉินหรูเหลียงที่เดินจากไป แล้วหว่างคิ้วก็ปรากฏแววแห่งความหงอยเหงาขึ้นมา
ในความคิดของนาง วันนี้ฉินหรูเหลียงควรละทิ้งงานราชการและใช้เวลาอยู่กับนางที่นี่ทั้งวัน
เพียงแต่นางพูดออกไปไม่ได้เพราะกลัวว่าตัวเองจะเรียกร้องมากเกินไปจนทำให้ฉินหรูเหลียงลำบากใจ
วันนี้ในห้องครัวเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ อีกทั้งพ่อบ้านยังปฏิบัติตามคำสั่งของฉินหรูเหลียงด้วยการเชิญคนจากร้านเครื่องประดับที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงมาที่จวน พร้อมกันนั้นก็นำเครื่องประดับอันวิจิตรงดงามมาจัดแสดงเพื่อให้หลิ่วเหมยอู่ได้เลือกด้วยตัวเอง
มีผู้หญิงคนไหนบ้างที่ไม่ชอบเครื่องประดับ เมื่อเห็นเครื่องเงินเครื่องทองและหยกที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของหลิ่วเหมยอู่จึงค่อยสดใสขึ้น หลังจากเลือกเครื่องประดับได้สองสามชุดนางก็ยิ้มออกมาได้ในที่สุด
หลิ่วเหมยอู่นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อยและสั่งให้เซียงหลิงช่วยแต่งหน้าแต่งตัวให้
วันนี้นางจะแต่งกายด้วยเครื่องประดับเหล่านี้ รอจนฉินหรูเหลียงกลับมาและทำให้เขาตกตะลึงเมื่อได้เห็น
เพียงแค่นึกถึงแววตาที่กระหายเยี่ยงเสือเยี่ยงหมาป่าของฉินหรูเหลียงยามมองมาที่ตนเอง แววตาของหลิ่วเหมยอู่ก็เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์อันน่าดึงดูด
นางเอื้อมมือเรียวยาวที่ทั้งขาวและอ่อนนุ่มไปหยิบปิ่นปักผมที่สวยงามขึ้นมาทาบบริเวณขมับและกล่าวว่า “เซียงหลิง อีกเดี๋ยวเจ้าไปเลือกเสื้อผ้าสบายๆ ที่เหมาะกับปิ่นนี่ให้ข้า ข้าจะรอท่านแม่ทัพกลับมากินอาหารเย็นด้วยกัน”
นางคิดว่าในเมื่อฉินหรูเหลียงรู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดของนาง ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องรีบกลับมาแน่ๆ
เพียงแต่ว่าสิ่งที่ต้องเตรียมการคราวนี้คืองานเฉลิมพระชนมพรรษาครบหกสิบพรรษาของสมเด็จพระราชชนนี จักรพรรดิจึงดำริด้วยพระองค์เองว่าให้จัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ฉินหรูเหลียงไม่กล้าทำงานหละหลวมเนื่องด้วยเกรงว่าจะมีคนร้ายแฝงตัวเข้ามากระทำการลอบสังหารในพระราชวัง
ดังนั้นเมื่อถึงตอนเย็น หลิ่วเหมยอู่รอจนอาหารทั้งหมดเย็นชืด ฉินหรูเหลียงก็ยังไม่กลับมา
รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักอันหวานซึ้งของหลิ่วเหมยอู่ค่อยๆ จางหายไป
เซียงหลิงที่อยู่ข้างๆ ปลอบว่า “นายหญิงกินก่อนดีกว่านะเจ้าคะ อย่ารอท่านแม่ทัพเลย หากท่านแม่ทัพกลับมาแล้วเห็นว่านายหญิงทนหิวอยู่เช่นนี้ ท่านจะลำบากใจนะเจ้าคะ”
หลิ่วเหมยอู่ตอบว่า “ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็จะต้องรอจนเขากลับมา”
คืนนี้พระจันทร์งามเด่นจนแทบไม่เห็นดาว
เฉินเสียนนั่งอยู่ในห้องโดยมีอวี้เยี่ยนช่วยดึงปิ่นปักผมที่ประดับอยู่บนศีรษะออกให้ เมื่อเส้นผมสีดำสลวยตกลงมาปรกบ่า นางจึงมัดรวบเส้นผมเหล่านั้นไว้ด้านหลังด้วยผ้าผูกผม
อวี้เยี่ยนไปเลือกชุดกระโปรงบานยาวแขนทรงกระบอกจากตู้เสื้อผ้ามาให้ จากนั้นเฉินเสียนจึงลุกไปแต่งตัวออกมาอย่างเรียบร้อยและว่องไว
อวี้เยี่ยนรู้ว่าคืนนี้เฉินเสียนจะออกไปข้างนอก จึงได้แต่บอกว่า “องค์หญิง อีกเดี๋ยวงานใดที่ต้องใช้แรงทรงปล่อยให้บ่าวทำนะเพคะ พระองค์แค่คอยชมอยู่ข้างๆ ก็พอ”
เฉินเสียนไม่แสดงความเห็นใดๆ เธอไปยืนที่ข้างผนังและเปิดหน้าต่าง จากนั้นจึงกล่าวว่า “คืนนี้แสงจันทร์ช่างงดงามจริงๆ”
เมื่อฉินหรูเหลียงกลับมาถึง พระจันทร์ก็ลอยเด่นอยู่กลางฟากฟ้าแล้ว
ทันทีที่เข้ามาเขาก็เดินตรงไปที่สวนดอกพุดตานด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ทว่าฉินหรูเหลียงหยุดฝีเท้าลงเมื่อเดินอ้อมมาถึงสวนแอพริคอตและผ่านศาลาริมทะเลสาบที่เขากับหลิ่วเหมยอู่ชอบมานั่งเล่น
ในศาลาริมทะเลสาบนั้นไม่รู้ว่ามีผ้าขาวโปร่งบางรายล้อมอยู่รอบๆ ตั้งแต่เมื่อใด
ภายใต้ผ้าขาวที่มองเห็นได้อย่างเลือนรางมีเรือนร่างที่อ่อนช้อยงดงามของหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่ในนั้น นางสวมชุดกระโปรงรัดรูปสีแดงดั่งเปลวเพลิงซึ่งเปิดเผยให้เห็นช่วงเอวและเรียวแขน ขาเรียวยาวที่ขยับเต้นรำอยู่ใต้กระโปรงรัดรูปคู่นั้นเห็นแล้วชวนให้เขาเคลิบเคลิ้ม
แววตาของฉินหรูเหลียงเป็นประกายเพราะสีแดงดั่งไฟที่ลุกโชนซึ่งอยู่ตรงหน้า
ผู้หญิงคนนั้นหันหลังให้เขา เส้นผมสีดำปล่อยสยายลงมาดั่งน้ำตก ภาพที่เห็นด้านหลังช่างมีเสน่ห์เหลือเกิน เอวและสะโพกก็ช่างเย้ายวนและน่าหลงใหลยิ่งนัก
รูปร่างของหญิงสาวผู้นั้นแทบจะเหมือนกับหลิ่วเหมยอู่ ดังนั้นฉินหรูเหลียงจึงเข้าใจว่าผู้หญิงที่เต้นรำอยู่ในศาลาคนนั้นคือนาง
ดวงตาของเขาหรี่แสงลง เขาก้าวขึ้นไปที่ศาลาทีละขั้นๆ
สายลมยามค่ำพัดผ้าโปร่งบางสีขาวปลิวไสว และพัดพากลิ่นหอมจางๆ ให้ลอยเข้ามาเตะจมูก
หญิงสาวเอวเรียวผู้นั้นยังคงเต้นรำอย่างอ่อนช้อยราวกับงูน้ำ เมื่อฉินหรูเหลียงยืนอยู่ข้างหลังนาง กลิ่นหอมก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นจนเขาเริ่มรู้สึกมัวเมา
ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงก็โน้มตัวลงไปและใช้แขนโอบเอวของนาง จากนั้นจึงดึงเข้ามาแนบชิดไว้ในอ้อมอก
หญิงสาวอุทานออกมาอย่างนุ่มนวล
หลังของนางแนบชิดอยู่กับแผงอกกว้างอันอบอุ่นของฉินหรูเหลียง เขาโน้มศีรษะลงมาสูดดมกลิ่นหอมที่ซอกคอของนาง มือใหญ่เอื้อมมาลูบไล้สะดือเม็ดเล็กๆ ที่หน้าท้อง ลูกกระเดือกของเขาขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “เหมยอู่ เจ้ากำลังทำให้ข้าประหลาดใจรึ ไปเรียนเต้นรำมาจากไหนกัน ช่างปลุกเร้าหัวใจของข้าเหลือเกิน”
ทว่าคนที่ฉินหรูเหลียงกอดอยู่ตอนนี้ไม่ใช่หลิ่วเหมยอู่ แต่เป็นเซียงซั่นที่เตรียมการล่วงหน้ามาอย่างดี
ฉินหรูเหลียงไม่เคยพูดกับนางด้วยท่าทีที่อ่อนโยนและมีเสน่ห์เช่นนี้มาก่อน ลมหายใจอุ่นๆ ระอยู่บริเวณต้นคอและใบหู จนนางแทบจะอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมแขนของฉินหรูเหลียง
เซียงซั่นถามว่า “ท่านแม่ทัพชอบหรือไม่เจ้าคะ”
ฉินหรูเหลียงขบติ่งหูของนางและพูดว่า “ข้าชอบเหลือเกิน”
เซียงซั่นเอื้อมมือไปด้านหลังและดันหน้าอกของฉินหรูเหลียงให้ออกห่าง นางยังคงหันหลังให้เขาและยิ้มอย่างมีความสุข “งั้นข้าจะเต้นรำให้ท่านแม่ทัพชมอีกครั้ง”
นางไม่เคยมองย้อนกลับไป
ยิ่งทำเช่นนี้มากขึ้นเท่าไหร่นางก็ยิ่งดึงความสนใจของฉินหรูเหลียงได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อใดที่ความรู้สึกจมลึก เมื่อนั้นเขาก็จะกลายเป็นปลาในอวนของนาง
นี่เป็นโอกาสเดียวของเซียงซั่นและนางจะล้มเหลวไม่ได้ ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ไม่อย่างนั้นคราวหน้าฉินหรูเหลียงจะระวังตัวยิ่งขึ้น และเป็นเรื่องยากที่นางจะได้ใกล้ชิดกับเขาอีกครั้ง
เฉินเสียนบอกว่านางต้องยอมเสี่ยง ต้องปล่อยวางและชื่นชมตัวเองให้ได้เสียก่อน
นางต้องแสดงด้านที่สวยงามที่สุดของร่างกายต่อหน้าฉินหรูเหลียงเพื่อทำให้เขาถอนตัวไม่ขึ้น
ดังนั้นการเต้นรำคราวนี้นางจึงหลงลืมตัวตนไปโดยสิ้นเชิง ประหนึ่งว่านางคือพระจันทร์กลางสายน้ำ คือสายลมใต้แสงจันทร์