ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 672 คนเหล่านี้ ได้ยินว่าเป็นสนมวังหลังของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่
- Home
- ข้าคือหงส์พันปี
- บทที่ 672 คนเหล่านี้ ได้ยินว่าเป็นสนมวังหลังของจักรพรรดิแห่งต้าฉู่
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตกใจ มือของเขาแข็งค้างอยู่กลางอากาศ
ท่านอ๋องมู่รีบออกมาขัดจังหวะในทันที และกล่าวว่า “จักรพรรดิแห่งต้าฉู่พาองค์รัชทายาทเดินทางมาไกล คงจะเมื่อยล้าจากการเดินทาง ควรที่จะพักผ่อนก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซวิ่นที่อยู่ด้านหลังของเฉินเสียนยืนขึ้น และยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเซี่ยน จูงมือของซูเซี่ยน ยิ้มและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ไปหาที่พักผ่อนกันก่อนเถอะ”
ซูเซี่ยนเดินตามเขาอย่างเชื่อฟัง ดูเหมือนครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูก
พื้นที่ในราชนิเวศน์ส่วนใหญ่แล้วว่างเปล่า จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้สั่งให้คนจัดเตรียมสถานที่ในราชนิเวศน์ให้เฉินเสียนและซูเซี่ยนได้ประทับเป็นการชั่วคราว และเพื่อให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้เห็นหลานชายของพระองค์ได้สะดวกขึ้น
ตอนนี้เขาไม่สนใจที่จะเป็นศัตรูต่อเฉินเสียนอีกต่อไป เมื่อเห็นหลานชายของเขาเย็นชาต่อเขาเช่นนี้ หัวใจของเขาก็วุ่นวายยุ่งเหยิง ยิ่งได้เห็นเย่ซวิ่นออกมาแทรกขัดขวางก็ยิ่งโมโหมาก เรื่องอะไรจะต้องให้ผู้ชายคนนั้นมาจูงมือหลานชายของตัวเอง?
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรอให้เฉินเสียน ซูเซี่ยนและเย่ซวิ่นเดินนำข้างหน้า และถามท่านอ๋องมู่ “คนนั้นคือใครกันหรือ?”
ท่านอ๋องมู่ “คือองค์ชายหกแห่งเย่เหลียงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโกรธมาก และชี้ไปที่ชายรูปงามที่อยู่ด้านหลังของเฉินเสียน และกล่าวว่า “แล้วคนเหล่านี้คือใครกัน!”
ท่านอ๋องมู่ “ได้ยินว่า…เป็นสนมในวังหลังของจักรพรรดินีต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสูดหายใจเข้าลึก ๆ สองครั้งก่อนกดลงที่หน้าอกของเขาและกล่าวว่า “แล้วท่านอ๋องรุ่ยล่ะ?”
ท่านอ๋องมู่มองไปรอบ ๆ และกล่าวว่า “เมื่อสักครู่ขึ้นมาบนฝั่งแล้วนี่ กระหม่อมก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขาอยู่ที่ไหน” ดูเหมือนว่าหลังจากขึ้นมาบนฝั่ง ก็ไม่เห็นซูเจ๋ออีกเลย
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินจากไป ตรัสอย่างโกรธเคือง “ลูกชายถูกคนอื่นจูงไปแล้ว แต่เขากลับหลบไปที่ถามไถ่สักคำ!”
อันที่จริงไม่ได้มีเพียงแค่ท่านอ๋องมู่เท่านั้นที่ไม่เห็น ตั้งแต่ที่เฉินเสียนขึ้นฝั่งมา เธอก็ไม่เห็นซูเจ๋อ ก่อนหน้านี้ก็ยังนึกอยู่ว่าจะอธิบายให้เขาฟังดีไหม ตอนนี้มาคิดตัวเองช่างน่าตลกเสียจริง
ต่อให้เธออยากจะอธิบาย เขาก็อาจไม่สนใจจะฟัง
เขาไม่ใช่ซูเจ๋อคนเดิมในอดีต เขาลืมเรื่องของพวกเขาทั้งหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าคนเหล่านั้นทั้งหมดเป็นสนมในวังหลังของเธอ คิดว่าเขาก็คงจะเชื่อ
บอกว่าจะเชิญเธอขึ้นฝั่งมาจิบน้ำชา แต่สุดท้ายแม้แต่เงาก็มองไม่เห็น
เธอนึกถึงเรื่องเมื่อปีที่แล้ว ตอนที่เธอออกจากพระราชวังเป่ยเซี่ย และคำเหล่านั้นที่ได้พูดกับซูเจ๋อ บัดนี้ถือว่าสำเร็จแล้ว
ช่างเถอะ
ในขณะนี้ เฉินเสียนไม่มีความรู้สึกและความคิดที่ต้องการจะอธิบายอะไร ถ้าเขาจะไม่กลับมาต้าฉู่อีกเลย ก็ไม่เป็นไรที่จะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไป บางที เขาไม่จำเป็นต้องคิดถึงเธออีกต่อไปแล้ว และเขาก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายใจขึ้นอีกหน่อย
กลุ่มคนเหล่านั้นเข้าไปพักผ่อนที่ราชนิเวศน์เพียงไม่นาน และก็ออกไปที่งานเลี้ยงที่ท้องพระโรง
เฉินเสียนแสดงออกด้วยท่าทีไม่สนใจใด ๆ เพียงแค่รู้สึกแปลก ๆ เมื่อก่อนจักรพรรดิเป่ยเซี่ยต้องการไล่เธอตลอดเวลา แต่วันนี้กลับเป็นฝ่ายจัดงานเลี้ยงรับรองขึ้น
งานเลี้ยงตอนเย็นก็ยังคงไม่เห็นแม้แต่เงาของซูเจ๋อ เฉินเสียนเตรียมใจเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และก็ไม่มีอะไรให้ผิดหวังนอกเหนือจากนี้แล้ว
บรรยากาศดูอึมครึม
เฉินเสียนและซูเซี่ยนนั่งอยู่ข้างหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง ข้าง ๆ คือเย่ซวิ่น และเย่ซวิ่นกำลังตักอาหารให้กับซูเซี่ยน ซูเซี่ยนกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย
เฉินเสียนก้มลงมองซูเซี่ยนแล้วกระซิบเบา ๆ “กินเข้าไปเยอะ ไม่กลัวว่าจะไม่ย่อยหรือ?”
แสดงก็ไม่ต้องแสดงให้เกินจริงไป
ซูเซี่ยนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับเย่ซวิ่นตั้งแต่เมื่อไหร่? อย่าพูดถึงการตักอาหารการป้อนอาหารเลย เมื่อก่อนซูเซี่ยนไม่เคยกินข้าวร่วมโต๊ะเดียวกับเย่ซวิ่นด้วยซ้ำ
แต่ตอนนี้ ทั้งสองคนเข้าสู่บทการแสดงได้อย่างรวดเร็วและสมจริง ใบหน้าที่ดูมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน ทำให้เฉินเสียนเกือบเผลอนึกไปว่าซูเซี่ยนและเย่ซวิ่นเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่ว่าไม่ใช่พ่อลูก อย่างมากสุดก็แค่พี่น้อง
ซูเซี่ยนกล่าว “ไม่กลัว เดี๋ยวข้ายังจะให้เย่ซวิ่นพาออกไปเดินย่อย”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้สึกว่าสถานการณ์ช่างน่าดึงดูดใจมาก และเขาตรัสอย่างเย็นชา “ให้องค์ชายหกแห่งเย่เหลียงเป็นคนตักอาหารให้องค์รัชทายาทแห่งต้าฉู่ เกรงว่าจะไม่เหมาะสม?”
เย่ซวิ่นเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างไร้เดียงสา “มีอะไรไม่เหมาะสมหรือฝ่าบาท? ฝ่าบาทไม่รู้หรือว่า กระหม่อมเข้ามาอยู่ที่วังหลังของต้าฉู่หลายปีแล้ว และได้เป็นผู้ชายของจักรพรรดินีแล้ว? ฉะนั้น กระหม่อมก็คือพ่อบุญธรรมของอาอิ้นสิ?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหลับตาลง ช่างไร้ยางอายจริง ๆ ที่กล้าพูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จักรพรรดิเป่ยเซี่่ยจะตรัสขึ้นได้ จู่ ๆ ร่างหนึ่งที่อยู่นอกท้องพระโรงก็ปรากฏตัวขึ้น
ร่างเพรียวบางเดินเข้าไปในท้องพระโรง เดินช้า ๆ เนิบนาบเข้ามา ภายใต้แสงไฟในห้องโถง ค่อย ๆ เดินราวกับภาพม้วนที่น่าสนใจ
ข้างหลังซูเจ๋อเป็นคืนที่มืดมิด และแสงไฟก็สาดส่องมาที่ร่างของเขา คิ้วของเขาเรียบสะอาดและผมสีดำราวกับหมึก เขาก้าวไปข้างหน้าและพูดอย่างเกียจคร้าน “ขอโทษด้วยนะ ข้ามาช้าไปหน่อย”
ทันทีที่พูดจบ เขาก็นั่งลงที่โต๊ะตรงข้ามกับเฉินเสียน
ทั้งสองถูกคั่นด้วยพรมแดงกว้างประมาณยี่สิบสี่นิ้วตรงกลางท้องพระโรง และโต๊ะของทั้งสองก็หันหน้าเข้าหากัน
เขามีลมหายใจที่ชัดเจน ชื้นเล็กน้อย และดูเหมือนว่าเขาจะอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว แขนเสื้อของเขาเคลื่อนไหวตามสายลม เฉินเสียนได้กลิ่นหอมจาง ๆ บนร่างกายของเขาอย่างน่าหลงใหล
เธอหลับตาลงและดื่มชาในคราวเดียว เสียงถ้วยที่วางอยู่บนโต๊ะค่อนข้างคมชัด
บรรยากาศที่น่าเบื่อหน่ายก่อนหน้านี้ ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ดูเหมือนจะหยุดนิ่งเมื่อซูเจ๋อมาถึง
เขานั่งเงียบ ๆ ตรงข้ามกับเฉินเสียน มองดูเธออย่างลึกซึ้งและไร้ขอบเขตในดวงตาของเขา
ในสายตาของซูเจ๋อ คงไม่อาจมีใครเข้ามาแทนได้ แต่เมื่อซูเซี่ยนเข้ามาในสายตาของเขา ก็ทำให้เขาตกตะลึงเล็กน้อย
เพราะทั้งเด็กเล็ก ทั้งผู้ใหญ่ หน้าตาช่างคล้ายกันมาก
ดวงตาของซูเซี่ยนเป็นสีแดง และเขายังคงมองไปที่ซูเจ๋อ เฉินเสียนรู้ดีว่าหัวใจดวงน้อยของเขานั้นอ่อนโยนและละเอียดอ่อนอยู่เสมอ ไม่แข็งกร้าวเหมือนที่เขาพูดออกมา
ความแข็งกร้าวของเขาก่อนหน้านี้ ราวกับกรงเล็บแหลมคมที่เขาใช้เป็นอาวุธ แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นซูเจ๋อ และเห็นพ่อของเขาที่เขาเอาแต่คิดถึงตลอดเวลา เขาก็เก็บกรงเล็บแหลมคมนั้นเข้าไป
แต่ซูเซี่ยนมีความดื้อรั้นเช่นเดียวกับท่านแม่ของเขา ไม่ว่าจะโศกเศร้าและคิดถึงแค่ไหน เขาก็ไม่ร้องไห้ออกมาให้เห็น เขาจึงกะพริบตาและกินอาหารที่เย่ซวิ่นป้อนให้เขาอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเหลือบมองไปที่ชายรูปงามที่นั่งเรียงกันเป็นแถวและตรัสว่า “คนเหล่านี้ ได้ยินมาว่าเป็นสนมในวังหลังของจักรพรรดินีต้าฉู่?”
ดูเหมือนคำพูดนี้จะตั้งใจพูดให้ซูเจ๋อได้ยิน
เฉินเสียนเลิกคิ้วขึ้นและมองไปที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ดวงตาของเธอเย็นชาและกล่าวว่า “ใช่แล้วจะทำไมหรือ?”
เย่ซวิ่นพูดด้วยรอยยิ้มขี้เกียจ “พวกเขาต่างก็มีความสามารถ สามารถทำให้จักรพรรดินีมีความสุขได้”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถอนหายใจอย่างเย็นชาและตรัสว่า “ข้ากลับไม่รู้สึกสนใจว่าพวกเขาจะปรนนิบัติต่อจักรพรรดินีอย่างไร แต่ต้าฉู่มีความกล้าหาญมาก ในฐานะผู้หญิง ยังพาผู้ชายกลุ่มหนึ่งออกมาอย่างเปิดเผยและไม่กลัวว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร? นี่ยังไม่เท่าไหร่ แต่ต้าฉู่ไม่เคารพกฎระเบียบเลยหรือ ทำไถึงปล่อยให้คนในวังหลังบอกว่าตัวเองเป็นพ่อบุญธรรมขององค์รัชทายาท ไม่เข้าท่าเอาเสียจริง?”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “แต่นี่ยังไงก็เป็นเรื่องภายในอาณาจักรต้าฉู่ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นกังวลใจแทนงั้นหรือ? ไม่งั้นกังวลเรื่องภายในอาณาจักรเป่ยเซี่ยเองดีกว่าไหม”
ซูเซี่ยนจิบชา วางถ้วยชาลงโดยไม่ลังเล แล้วกล่าวว่า “สนมในวังหลังของเสด็จแม่สามสิบคน คงไม่ไปเทียบกับสนมในวังหลังของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่มีถึงสามพันคน องค์หญิงองค์ชาย ท่านอ๋องรวมกันก็เป็นกลุ่มก้อนใหญ่แล้ว แต่เสด็จแม่ของกระหม่อมมีกระหม่อมแค่เพียงคนเดียว เป็นจักรพรรดิของอาณาจักรเหมือนกัน ทำไมฝ่าบาทไม่กลัวว่าจะถูกคนอื่นพูดถึงล่ะ? เกรงว่าสามพันคนในวังหลัง ก็คงจะเป็นเรื่องธรรมดา”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสำลักและตรัสว่า “แต่ท่านแม่ของเจ้าเป็นผู้หญิง!”