ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 675 อารมณ์ของความเป็นพ่อ
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “เขารู้สึกแปลกหน้าน่ะ องค์หญิงอย่าคิดมากเลย”
องค์หญิงจาวหยางไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยขนาดนั้น และหันมาหัวเราะอีกครั้ง แต่เมื่อนางมองไปที่เฮ่อโยวและเหลียนชิงโจว นางเห็นว่าพวกเขามีใบหน้าที่ไม่คุ้นเคย และแสงในดวงตาของเขายังคงเปล่งประกายบางเบา
องค์หญิงจาวหยางไม่ได้พบเจอคนที่นางต้องการพบเจอในคณะที่ติดตามเฉินเสียนมาจากต้าฉู่
นางจึงถามอย่างตรงไปตรงมา “จักรพรรดิต้าฉู่ ท่านแม่ทัพใหญ่คนนั้นล่ะเพคะ ทำไมเขาถึงไม่ได้มาด้วย?”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “เขามีงานราชการที่ต้องปฏิบัติ หากองค์หญิงต้องการพบเขา ครั้งหน้าสามารถไปที่เมืองหลวงของต้าฉู่ ท่านก็สามารถเจอเขาได้แล้ว”
องค์หญิงจาวหยางเกาศีรษะอย่างลำบากใจ “หม่อมฉันก็อยาก แต่ท่านพ่อของหม่อมฉันไม่อนุญาต ในหนึ่งปีมานี้หม่อมฉันหนีออกจากจวนมาหลายครั้ง ไกลสุดก็ออกจากเมืองหลวงไปเพียงหนึ่งกิโลเมตรกว่า ๆ เท่านั้นก็ถูกจับกลับมา พอเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้วเถอะเพคะ”
องค์หญิงได้ยินว่าเฉินเสียนต้องการไปเดินเล่นในเมือง ดังนั้นนางจึงขอเป็นผู้นำทางด้วยความกระตือรือร้น
คณะออกจากที่เรือนและกำลังจะเดินทางไปที่เมืองชิงไห่เพื่อชมเมือง ก่อนออกจากราชนิเวศน์ พวกเขาเห็นกงกงคนใกล้ชิดของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยรีบเดินเข้ามาที่นี่ เมื่อเห็นเฉินเสียนและซูเซี่ยน โค้งคำนับอย่างสุภาพและกล่าวว่า “จักรพรรดิต้าฉู่ ฝ่าบาทต้องการพบองค์รัชทายาทโดยลำพังพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “รบกวนกงกงตอบกลับไปว่า หากมีเรื่องระหว่างสองอาณาจักรที่ต้องพูดคุยกัน องค์รัชทายาทของข้าอายุยังน้อยเกินไป ตอนนี้ยังไม่สามารถปฏิบัติภารกิจใหญ่ได้ สามารถพูดคุยกับข้าแทนได้ไหม แต่ตอนนี้ข้าไม่ว่าง รอให้ข้ากลับมาก่อนค่อยว่ากันอีกครั้ง”
พูดจบ เธอก็จูงมือซูเซี่ยน สองคนแม่ลูกหันหลังและเดินไปตามขั้นบันไดที่ทอดยาว
กงกงกล่าวด้วยความลำบากใจ “เอ่อ…จักรพรรดิต้าฉู่ ไม่ใช่เรื่องของสองอาณาจักรที่ต้องการปรึกษาหารือพ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นเพราะฝ่าบาททรงคิดถึงหลานชายของพระองค์มาก จักรพรรดิต้าฉู่ได้โปรดพิจารณา…”
ซูเซี่ยนหยุดชะงักและหันหลังกลับไปมองกงกงด้วยสายตาที่เย็นชา และกล่าวว่า “งั้นท่านช่วยไปถามพระองค์แทนข้า ตอนนั้นที่ท่านแม่ของข้าต้องการไปพบท่านพ่อของข้า ทำไมพระองค์ถึงไม่พิจารณาอนุญาต? ทำไมพระองค์ถึงนำเรื่องที่ท่านพ่อของข้าป่วยมาเป็นข้อต่อรองให้ท่านแม่ของข้าตัดขาดและไม่มาพบเจอท่านพ่อของข้า?”
กงกงสำลัก และไม่สามารถตอบได้
ซูเซี่ยนจับมืองของเฉินเสียน และเดินลงบันไดทีละขั้น แล้วพูดเบา ๆ ว่า “ท่านกลับไปบอกพระองค์ วันนี้ข้าจะไปเดินเที่ยวในเมือง ไม่มีเวลาไปพบพระองค์”
กงกงมองดูสองคนแม่ลูกเดินจากไป และต้องถอนหายใจแล้วกลับไปกราบทูลรายงาน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคาดหวังให้กงกงพาซูเซี่ยนมาอยู่กับเขา แต่สุดท้ายก็มองดูกงกงกลับมาเพียงลำพัง และตรัสด้วยความผิดหวัง “คนที่บอกให้เจ้านำกลับมาด้วยล่ะ?”
กงกงกล่าว “พระองค์เสด็จออกไปในเมืองกับจักรพรรดิต้าฉู่พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองดูท่าทางของเขาและตรัสว่า “เจ้ามีเรื่องปิดบังข้า? หลานชายของข้าได้พูดอะไรบ้าง?”
กงกงไม่ต้องการบอกกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยถึงคำพูดที่ไม่น่าพอใจเหล่านั้น แต่เนื่องจากพระองค์ถามอย่างนั้น เขาจึงต้องรายงานตามความจริง
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ถอนใจและตรัสว่า “เขากำลังโกรธเรื่องที่ข้าทำกับท่านแม่ของเขาในครั้งนั้น เจ้าเด็กน้อยคนนี้ เป็นคนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อทรมานและแก้แค้นข้า”
แต่พระองค์กลับรู้สึกรักหลานคนนี้มาก
ขนบธรรมเนียมพื้นบ้านในเมืองชิงไห่นั้นเรียบง่าย ตลาดก็ค่อนข้างมีชีวิตชีวา มีผู้คนเดินไปมาตามท้องถนน ถนนที่องค์หญิงจาวหยางพาพวกเขาไปนั้นมีของที่เป็นลักษณะเฉพาะของเป่ยเซี่ยและบางสิ่งก็ไม่ค่อยพบเห็นในต้าฉู่ เหลียนชิงโจวที่เป็นพ่อค้านักธุรกิจด้วยนั้น เขาจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงการมองหาโอกาสทางธุรกิจได้ ดังนั้น นอกเหนือจากการจัดหาสิ่งของตามความต้องการของบนเรือแล้ว เหลียนชิงโจวยังซื้อสินค้าของเป่ยเซี่ยกลับไปเป็นจำนวนมาก
ทหารองครักษ์ที่ติดตามมาข้างหลังในชุดนอกเครื่องแบบ สุดท้ายก็ถูกนำมาใช้แรงงานเป็นคนขนของ นำสินค้าที่ซื้อขนขึ้นไปไว้บนเรือ
เฉินเสียนมองไปที่เหลียนชิงโจวที่กำลังซื้อสินค้า กระเป๋าที่ใส่เงินสดมาเต็มแน่น นอกจากนี้ เขายังพาพ่อค้าสองสามคนมาด้วยและเขายังมีเงินเหลืออยู่
เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่า เจ้ามาเป่ยเซี่ยจะนำเงินสดติดตัวมาด้วยเยอะขนาดนี้”
เหลียนชิงโจวเผยธรรมชาติความเป็นพ่อค้านักธุรกิจอย่างสมบูรณ์และพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วยไม่ได้ ตั๋วเงินของต้าฉู่นำมาใช้ที่เป่ยเซี่ยไม่ได้ ข้าน้อยเลยนำติดตัวมาเยอะหน่อย เพื่อใช้ในยามจำเป็น ไม่อย่างงั้นเวลาเห็นสินค้าดี ๆ แต่กลับไม่มีเงินซื้อ แบบนั้นจะยิ่งน่าเสียดายพ่ะย่ะค่ะ”
เมืองชายทะเลแห่งนี้อากาศดี แดดดี และไม่ร้อนมาก เฉินเสียนไม่ได้คิดถึงเรื่องน่าปวดหัวในตอนนี้ จึงทำให้เธอมีความสุขดี เธอเดินไปตามถนนแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นเจ้าก็ซื้อเยอะหน่อย ใช้เงินไม่หมดก็ไม่ต้องกลับ”
ระหว่างทางได้พบกับร้านขายเสื้อผ้าและของเล่นสำหรับเด็ก เหลียนชิงโจวก็พุ่งเข้ามา และไม่ออกมาเป็นเวลานาน เขาต้องการซื้อของให้ลูกชายของเขา เสื้อผ้าเด็กที่เป่ยเซี่ยมีรูปแบบที่ไม่เหมือนกับที่ต้าฉู่ ของเล่นต่าง ๆ ก็แปลกไปจนทำให้เขาไม่อยากปล่อยไปเปล่า ๆ
น่าจะเป็นอารมณ์ของความเป็นพ่อที่ต้องการซื้อของให้หมดทั้งร้าน
เมื่อเหลียนชิงโจวเดินออกมา เฮ่อโยวก็หัวเราะเยาะเขา และเขาก็กล่าวว่า “ทำไมหรือ เป็นพ่อคนก็เป็นแบบนี้แหละ อีกหน่อยท่านเป็นพ่อคน ก็คงเป็นเหมือนกับข้า” พูดจบก็มองไปที่ซูเซี่ยน ยิ้มด้วยความอบอุ่นและกล่าวว่า “นึกถึงตอนที่อาเซี่ยนเพิ่งเกิดได้ไม่นาน อาจารย์ก็ซื้อเสื้อผ้าของเด็กสองสามขวบมาทีเดียว เพื่อให้อาเซี่ยนใส่ไม่ซ้ำในแต่ละวัน ของเล่นก็มีพอให้เล่นตั้งแต่อายุหนึ่งขวบจนถึงห้าขวบ…”
เมื่อถึงจุดนี้ เหลียนชิงโจวรู้สึกไม่เข้าท่าเล็กน้อย ดังนั้นเขาจึงหยุดทันเวลา
โชคดีที่การแสดงออกบนใบหน้าของเฉินเสียนไม่ได้ดูแตกต่างกันมากนัก เพียงแต่ไกลออกไปเล็กน้อย
องค์หญิงจาวหยางยังถามโดยไม่รู้ตัว “ท่านพ่อของอาเซี่ยนเคยเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ! พี่ชายของข้าเขาก็ไม่ได้ดูแก่ ทำไมถึงมีลูกศิษย์อายุเยอะอย่างเจ้าได้”
เฉินเสียนดึงกลองหนังแกะจากสิ่งของที่เหลียนชิงโจวซื้อและเล่นกับมัน ลูกปัดหยกสองเม็ดกระทบกลองหนังแกะด้วยเสียงที่คมชัด
เธอเดินไปตลอดทาง ฟังเสียงกลองตลอดทาง ราวกับว่าเธอกลับมาเมื่อหลายปีก่อน เมื่ออาเซี่ยนยังเป็นเด็กทารก และเล่นกับกลองป๋องแป๋งที่ท่านพ่อของเขาซื้อให้
เฉินเสียนยิ้มอย่างไม่แยแสและกล่าวว่า “ตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้แหละ ข้าก็เพิ่งจะมาเข้าใจในภายหลัง เขาเพิ่งจะเป็นพ่อคนในครั้งแรก ก็อยากจะหาสิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้มาให้ลูกชายของเขา”
เฉินเสียนเดินไม่ไกลและหยุดอย่างรวดเร็ว เมื่อเธอแหงนหน้าขึ้น เธอเห็นร่างในชุดดำกำลังเดินอยู่บนถนน ราวกับว่าเขาเดินทางข้ามเวลามาและเดินเข้ามาหาเธอ
แสงแดดส่องประกายให้แสบตา เฉินเสียนหรี่ตาและมองที่เขา
จนกระทั่งเขายืนอยู่ตรงหน้า เฉินเสียนก็สามารถมองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดเจน
ซูเจ๋อ ปรากฏว่าเขาอยู่ใกล้มากจนสามารถสัมผัสเขาได้ทันทีที่เอื้อมมือออกไป อย่างไรก็ตามเฉินเสียนกลับรู้สึกงุนงงว่าเขาอยู่ไกลจากตัวเองมากขึ้น
ในที่สุดก็สงบอารมณ์ลงเล็กน้อย เนื่องจากการมาถึงของเขา เนื่องจากกลิ่นกายของเขา ทุกอย่างรวมกันจนสับสนไปหมด
เฉินเสียนถาม “ท่านมาทำอะไร”
ซูเจ๋อปานหลับตาลง มองดูเธออย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า “มาเดินเล่น”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “งั้นท่านอ๋องรุ่ยก็เดินเล่นต่อไปเถอะ ถนนเส้นนี้พวกเราเดินมาแล้ว พวกเราจะไปที่อื่น”
แต่คนที่เดินมากับเธอก่อนหน้านี้ กลับไม่มีใครตอบรับคำพูดของเธอแม้แต่คนเดียว
เฉินเสียนเม้มริมฝีปากของเธอแล้วหันกลับมาและเตรียมที่จะเดินกลับ สักพักข้อมือของเธอก็กระชับ เธอมองย้อนกลับไปและเห็นซูเจ๋อจับข้อมือของเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย
นิ้วมือนั้นกำแน่นเล็กน้อยบนข้อมือของเธอ ผิวของเขาชัดเจนราวกับหยก ทำให้เฉินเสียนตื่นตระหนก เธอใช้ความพยายามขัดขืนอยู่ใต้แขนเสื้อ เขาจับแน่นขึ้น
ซูเจ๋อมองขึ้นไปที่คนเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “จาวหยาง เจ้าพาพวกเขาไปเดินเล่นในเมืองต่ออีก หากเหนื่อยก็กลับกันไปก่อน”
องค์หญิงจาวหยางพยักหน้า
ซูเจ๋อมองไปด้านข้างของเขา สายตาของเขาจ้องเข้ากับเฉินเสียน และไม่สามารถต้านทานได้ “ข้าจะพาเขาไปเดินเล่นบริเวณโดยรอบ”