ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 679 วันนี้เพิ่มขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกขึ้นมาว่าเธอถูกเขาจูงจมูกมาตลอดทั้งวัน และเธอก็รู้สึกโง่เง่าพอแล้ว
เมื่อได้ยินซูเจ๋อพูดเช่นนั้น ความคับแค้นก็ไม่รู้ว่าปะทุขึ้นมาจากไหน เฉินเสียนกัดฟันกรอดและกล่าวว่า “ท่านชอบให้คนมายุ่มย่ามกับท่านเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าท่านรักใคร่กลมเกลียวกับพระชายาคู่ชู้ตุนาหงันของท่านดีหรอกหรือ ท่านไปหานางเสียสิ… ตอนที่ข้าจากไปข้าเคยบอกว่าหากท่านมีใครสักคนอยู่เคียงข้างก็คงดี” เธอพูดไปแล้วก็หัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนขอบตาเริ่มแดงก่ำ ฉับพลันนั้นก็เริ่มหมดแรง “ดีแล้ว ที่ในที่สุดท่านก็เข้าพิธีอภิเษกกับนางจนเสร็จสิ้น”
‘คู่ชู้ตุนาหงัน’ คำนี้ทำให้เฉินเสียนนึกถึงคำพูดที่ซูเจ๋อพูดออกมาเมื่อคืน มันแหลมคมและทิ่มแทงเข้าไปในหัวใจของเธอราวกับมีด และวันนี้เธอยังคงรู้สึกเจ็บไม่สร่างเมื่อพูดขึ้นมาอีกครั้ง
ในที่สุดเขาก็กลายเป็นสามีภรรยากับผู้อื่น
เฉินเสียนขมวดคิ้วแน่น อันที่จริงเธอรู้ว่าตัวเองไม่พอใจเรื่องอะไร และเธอก็รู้ว่าเธอกำลังทุกข์ทรมานเพราะอะไร
เธออยากให้เขามีชีวิตที่ดีอยู่บนโลกใบนี้ แต่สุดท้ายเธอก็ยังพ่ายแพ้ ไม่เช่นนั้นจิตใจของเธอคงไม่เต็มไปด้วยความหมดอาลัยตายอยากและความไม่เต็มใจเช่นนี้
มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับการยกสมบัติอันล้ำค่าที่สุดของตนเองให้ผู้อื่น จนมือของเธอว่างเปล่าไม่มีอะไรเหลืออีกต่อไป
เฉินเสียนที่ตัวติดชิดกำแพงค่อยๆ เงยหน้ามองซูเจ๋อ เธอยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ในเมื่อท่านมีผู้หญิงอื่นเป็นภรรยาแล้ว ต่อไปก็อย่ามายุ่มย่ามกับข้าอีก เอาอย่างนี้ดีไหม ท่านเป็นท่านอ๋องแห่งเป่ยเซี่ยต่อไป ส่วนข้าก็เป็นจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ ต่างคนต่างอยู่ เดิมทีข้าก็ไม่ได้คิดจะบีบบังคับ แต่ข้าแค่อยากให้ท่านมีชีวิตที่ดี”
ซูเจ๋อมองลึกลงไปในรอยยิ้มที่ฝืนทำและคำพูดที่ไม่ตรงกับใจของเธอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ตอนที่ท่านจากไปเมื่อปีที่แล้ว ท่านบอกว่าท่านเพียงแค่ทำเล่นๆ กับข้า… บอกว่าวังหลังของท่านมีชายหนุ่มรูปงามมากมาย ไม่ได้มีแค่ข้าเพียงคนเดียว เช่นนั้นใช่หรือไม่”
“ใช่” เฉินเสียนตอบ “เมื่อกลับมาครั้งนี้ ท่านก็น่าจะรู้แล้วว่าข้าไม่ใช่แค่พูดไปเรื่อย”
สีหน้าของซูเจ๋ออึมครึม เขาเอ่ยอย่างโกรธเคืองมิใช่น้อย “ข้าคิดว่าตอนนั้นท่านเพียงแค่หาเหตุผลแย่ๆ เพื่อโกหกข้า แต่ตอนนี้ข้าเห็นกับตาแล้วว่าท่านทำได้จริง”
ทว่าเขาไม่ได้ล่าถอยเพียงเพราะเหตุผลแค่นี้ หนำซ้ำยังประชิดเข้ามาใกล้ยิ่งขึ้น “ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามท่านสักคำ ที่ท่านคิดจะเล่นๆ กับข้านั้น ตอนนี้ความรู้สึกนั้นยังมีอยู่หรือไม่”
เฉินเสียนสำลักในลำคอ เธอจ้องมองซูเจ๋อที่ค่อยๆ เอียงศีรษะและขยับเข้ามาใกล้ริมฝีปากของเธอทีละน้อย เธอเอ่ยเสียงสั่นว่า “หายไปนานแล้ว…”
ซูเจ๋อหยุดอยู่แค่นั้น
เฉินเสียนตัวสั่นเล็กน้อยขณะที่พูดอีกว่า “ข้าเลิกคิดจะเล่นสนุกกับท่านตั้งนานแล้ว”
ซูเจ๋อมองใบหน้าของเธออย่างเพ่งพินิจ มองเห็นความอ่อนแอและความเศร้าภายในแววตาของเธอ เนิ่นนานกว่าเขาจะเอ่ยว่า “แต่การแสดงออกของท่านไม่เห็นเหมือนอย่างที่ท่านพูด”
น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตาของเฉินเสียนอย่างรวดเร็ว ซูเจ๋อยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เธอด้วยสีหน้าที่หดหู่ เขาทนเห็นเจอเจ็บปวดไม่ได้ ในที่สุดจึงยอมปล่อยเธอและเอ่ยอย่างแผ่วเบาว่า “วันใดที่ท่านนึกอยากจะเล่นสนุกกับข้าอีก ข้าจะมายุ่มย่ามกับท่านจนกว่าท่านจะเบื่อเลยทีเดียว”
เขาจับมือของเฉินเสียนไว้อย่างอ่อนโยนและแผ่วเบา เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยเฉินเสียนก็จะหลุดจากการเกาะกุมได้โดยง่าย แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ทำ
ซูเจ๋อพาเธอเดินกลับไป พร้อมกันนั้นก็เอ่ยด้วยอารมณ์ที่ขมขื่นว่า “ท่านคือองค์จักรพรรดิ วังหลังของท่านไม่มีทางมีคนเพียงแค่คนเดียว เรื่องนั้นข้ารู้ดี ข้าเพียงแค่ถูกท่านปั่นหัวจนหลงทางนิดหน่อย ทว่าต่อให้ข้างกายของท่านมีชายอื่น แต่เพราะเหตุใดท่านจึงต้องพาพวกเขามาที่นี่ด้วยเล่า ท่านก็แค่หลอกข้าอีกครั้งเพื่อให้ข้าเห็นว่าท่านไม่ได้โกหก ถูกต้องหรือไม่”
เฉินเสียนยิ้มออกมาอย่างยากเย็นและกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นแปลว่าท่านเองก็ไม่คิดจะหลอกข้า ไม่คิดจะบอกข้าว่าท่านมีพระชายา ไม่คิดจะพูดต่อหน้าข้าเกี่ยวกับพวกท่านสองสามีภรรยางั้นรึ”
ซูเจ๋อมองเธอ จากนั้นจึงหันกลับไปและเงยหน้าเล็กน้อย ดวงอาทิตย์ยามอัสดงทอแสงสาดส่องกระทบใบหน้าของเขา ทว่าส่องไปไม่ถึงนัยน์ตาสีดำขลับราวกับแสงยามค่ำคู่นั้น แต่ถึงอย่างนั้นภาพที่เห็นก็ยังสวยเกินคำบรรยาย
ในที่สุดเฉินเสียนก็ได้ยินเขาพูดเบาๆ ว่า “ท่านกำลังจะทำให้ข้าโกรธจริงๆ”
กว่าจะกลับมาถึงห้องบรรทมท้องฟ้าก็มืดแล้ว ซูเซี่ยนรอเฉินเสียนอยู่ในห้องบรรทม แต่ดูเหมือนเขาจะไม่กังวลอะไรหากคืนนี้เฉินเสียนจะไม่กลับมาทั้งคืน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเปลี่ยนชุดเป็นชุดนอนและปีนขึ้นไปบนเตียงเตรียมเข้านอน
เมื่อเฉินเสียนเข้ามาในห้องและเห็นเขาเธอจึงชะงักไป จากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าจะไม่กังวลเลยสักนิดหรืออย่างไรหากแม่ไม่กลับมาทั้งคืน”
ซูเซี่ยนตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องระหว่างผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรก้าวก่ายและไม่ควรถามให้มากความไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“…..” เฉินเสียนพูดไม่ออก
ซูเซี่ยนนั่งลงบนเตียงและถามว่า “วันนี้ไปเที่ยวกับท่านพ่อ ท่านแม่สนุกไหม”
เฉินเสียนตอบว่า “ไม่สนุกเลยสักนิด”
“เขาทำให้ท่านแม่โกรธเหรอ”
เฉินเสียนเงียบไปนิดหนึ่งก่อนจะเอ่ยอย่างขมขื่นว่า “เจ้าเพิ่งบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเรื่องของผู้ใหญ่ เด็กไม่ควรถามให้มากความ”
เมื่อเห็นว่าเธอไม่อยากพูด ซูเซี่ยนก็ไม่บังคับ
เวลาต่อมาเฉินเสียนเตรียมจะล้างหน้าบ้วนปาก เธอเอื้อมมือไปดึงปิ่นปักผมที่มวยผมเอาไว้ สัมผัสที่เย็นเยียบนั้นทำให้เฉินเสียนนึกขึ้นได้ว่าปิ่นไม้ถูกดึงออกไปแล้วและมีปิ่นหยกอันใหม่เข้ามาแทนที่
เธอดึงปิ่นหยกนั้นออกมา ทันทีที่เห็นปิ่นนั้นชัดๆ เธอก็ชะงักทันที
เฉินเสียนจำได้แม่นว่าปิ่นที่ซูเจ๋อกลัดลงบนผมของเธอตอนนั้นคือปิ่นหยกสีเขียว แต่ตอนนี้ที่อยู่ในมือของเธอกลับเป็นปิ่นหยกขาว
เธอไม่คุ้นชินกับปิ่นหยกขาวอันนี้อีกแล้ว มันคือของขวัญแทนใจที่ซูเจ๋อเคยมอบให้เธอ เป็นปิ่นที่เมื่อก่อนเธอมักประดับติดตัวเสมอ เมื่อปีที่แล้วเธอคืนปิ่นนี้ให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ย และตอนนี้มันกลับวนกลับมาอยู่ในมือของเธออีกครั้ง
ความรู้สึกในตอนนั้นหมุนวนสับสนจนยากจะบรรยาย
เฉินเสียนถือปิ่นหยกขาวเอาไว้แนบอก นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ก่อนจะพูดโพล่งขึ้นมาว่า “อาเซี่ยน พรุ่งนี้ตอนออกไป ช่วยเอาปิ่นนี้ไปคืนให้พ่อของเจ้าแทนแม่ทีได้ไหม”
ซูเซี่ยนพลิกตัวนอนอยู่ข้างๆ เขาหันหลังให้เฉินเสียนและลืมตาขึ้น ใบหน้าเล็กๆ เอ่ยขึ้นมาอย่างสุขุม “ถ้ายืนกรานว่าจะคืน ไม่ใช่ว่าท่านควรไปคืนเองเพื่อแสดงความจริงใจหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อซูเจ๋อกลับไปในคืนนั้น องค์หญิงจาวหยางก็แอบไปหาเขา ร้องเรียกเขาอยู่ที่ประตูเรือน “ท่านพี่ ออกมาสักเดี๋ยวสิ ข้ามีข่าวสำคัญจะบอก!”
ซูเจ๋อเลิกคิ้ว เขาเปิดประตูและยืนอยู่ที่กรอบประตูนั้น “มีอะไรก็ว่ามาสิ”
ดูเหมือนการวางองค์หญิงจาวหยางไว้ฝ่ายเดียวกับเฉินเสียนจะไม่ไร้ประโยชน์ไปเสียทีเดียว
องค์หญิงจาวหยางบอกว่า “วันนี้ตอนที่พวกเขาซื้อของไปไว้ที่เรือ ข้าได้ยินมาว่าพวกเขาจะออกเรือกลับไปต้าฉู่พรุ่งนี้”
ซูเจ๋อหลุบตาลงแต่ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ
ในขณะนั้นมีการเคลื่อนไหวที่ด้านนอก เฉินเสียนเดินเข้ามายังที่พำนักของซูเจ๋อตามคำบอกทางของนางกำนัล
ทันทีที่เข้าไปในเรือนเธอจึงเห็นองค์หญิงจาวหยางยืนอยู่ที่หน้าประตู เฉินเสียนเอ่ยอย่างไม่ไยดีว่า “ข้ามารบกวนพวกท่านสองพี่น้องหรือเปล่า”
องค์หญิงจาวหยางรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่เพคะ ไม่เลย ข้ากำลังจะกลับพอดี”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ข้าเพียงแค่นำของมาคืนแล้วก็จะกลับ”
องค์หญิงจาวหยางมองสถานการณ์ออก ก่อนที่เฉินเสียนจะก้าวไปข้างหน้า นางก็วิ่งแจ้นไปแล้ว ก่อนไปยังพูดทิ้งท้ายว่า “จักรพรรดินีแห่งต้าฉู่ไม่ต้องกังวลไปเพคะ ของสิ่งนั้นค่อยคืนช้าๆ ก็ได้ วันนี้ยังมีเวลาอีกทั้งคืน”
เฉินเสียน “…..”