ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 68 ระคายตา
ผ้าสีขาวโปร่งบางที่รายล้อมอยู่รอบๆ โบกสะบัดเต้นรำไปพร้อมกับนาง ในแววตาของฉินหรูเหลียงยามนี้นางช่างเย้ายวนและมีเสน่ห์มาก
เมื่อครู่นี้ทันทีที่เขาเข้ามาในศาลาและดึงนางเข้ามาไว้ในอ้อมกอด เขามีปฏิกิริยาบางอย่าง เขาไม่ค่อยรู้สึกถึงความสดชื่นและกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้บ่อยนัก
กลิ่นกายของนางช่างหอมหวนและยังคงปลุกเร้าเขาอยู่ตลอดเวลาจนเขาแทบควบคุมตัวเองไม่ได้
ขณะที่เซียงซั่นยังคงเต้นรำอยู่นั้น ลูกกระเดือกของฉินหรูเหลียงก็ขยับขึ้นลงเล็กน้อย เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปและคว้าข้อมือของนางไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง จากนั้นจึงฉุดเข้าหาตัวอย่างแรง
สายเกินที่เซียงซั่นจะป้องกัน นางหมุนตัวกลับมาอย่างฉับพลันและล้มลงไปในอ้อมกอดของฉินหรูเหลียงอีกครั้ง
วินาทีถัดมาฉินหรูเหลียงก็โน้มศีรษะลงมาจูบนาง
เซียงซั่นรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน นางไม่เคยได้สัมผัสรสจูบอันลึกซึ้งและเร่าร้อนเช่นนี้มาก่อน ในขณะที่นางกำลังจะจมดิ่งลงไป อยู่ๆ ฉินหรูเหลียงก็ลืมตาขึ้นมาและมองเห็นใบหน้าที่แตกต่างจากหลิ่วเหมยอู่โดยสิ้นเชิง ทันใดนั้นความเร่าร้อนก็กลายเป็นความเยือกเย็น เขาผลักเซียงซั่นออกไปทันที
“เป็นเจ้ารึ”
ริมฝีปากของเซียงซั่นแดงก่ำแลดูงดงามดั่งดอกกล้วยไม้ นางมองฉินหรูเหลียงอย่างไร้เดียงสาและทำอะไรไม่ถูก
รอยแผลเป็นบนใบหน้าของนางจางลงไปมากจนเหลือเพียงแค่รอยแดงตื้นๆ เซียงซั่นคิดว่าเมื่ออยู่ภายใต้แสงจันทร์และม่านสีขาวบางที่รายรอบเช่นนี้ ฉินหรูเหลียงจะมองไม่เห็น
อีกทั้งโอกาสอย่างคืนนี้ยังหาได้ยากยิ่ง
เซียงซั่นใจหายและรีบคุกเข่าลงแทบเท้าฉินหรูเหลียงก่อนจะกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดคิดว่าบ่าวเป็นนายหญิงน้อย บ่าวสมควรตาย บ่าวไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะกลับมาในเวลานี้…”
ฉินหรูเหลียงหรี่ตาลงอย่างเย็นชา เขามองเซียงซั่นและกล่าวว่า “เจ้าไม่คิดว่าข้าจะมางั้นรึ งั้นที่เจ้าแต่งกายเช่นนี้ เต้นรำอยู่ในที่แบบนี้ เจ้าทำไปทำไม”
เซียงซั่นโน้มตัวลงจนเผยให้เห็นลำคอที่ขาวหมดจด ทั้งยังเห็นไปถึงเนื้อหนังส่วนที่อยู่ภายใต้คอเสื้อรางๆ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานพลางบีบน้ำตา “ท่าเต้นรำที่บ่าวเพิ่งเรียนรู้มาเจ้าค่ะ บ่าวจะถูกหัวเราะเยาะหากเต้นรำในยามกลางวัน ดังนั้นจึงแอบมาฝึกซ้อมอยู่ที่นี่ตอนกลางคืน บ่าวแขวนม่านไว้ คิดว่าคงไม่มีใครมาพบ…”
ฉินหรูเหลียงชำเลืองมองเซียงซั่นอย่างอดไม่ได้
สิ่งที่น่ารังเกียจก็คือ แม้จะรู้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่หลิ่วเหมยอู่ แต่แรงกระตุ้นของเขากลับไม่ลดลงเลย!
อาจจะเป็นเพราะเสน่ห์อันเย้ายวนของเซียงซั่นในคืนนี้ได้กระตุ้นความรู้สึกของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว บางส่วนในร่างกายของเขาตื่นตัวขึ้นมาอย่างฮึกเหิมและทุกข์ทรมาน
ฉินหรูเหลียงยืดตัวตรงและสะบัดแขนเสื้อเพื่อข่มความรู้สึกไม่สบายตัว เขาหันไปอีกทางและบอกว่า “ช่างมัน คราวนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า เก็บข้าวของแล้วกลับไปซะ”
เมื่อเห็นว่าฉินหรูเหลียงกำลังจะจากไป เซียงซั่นก็รีบลุกขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “บ่าวไปส่งท่านแม่ทัพนะเจ้าคะ”
ไม่รู้ว่านางคุกเข่าอยู่นานหรือเต้นรำนานเกินไปกันแน่ เมื่อลุกขึ้นมาแข้งขาของนางจึงอ่อนแรงและโผเข้าไปหาฉินหรูเหลียงอย่างควบคุมไม่ได้
ฉินหรูเหลียงกอดนางไว้เต็มรัก
ความอดทนของเขาเกือบจะมาถึงจุดสิ้นสุด “เจ้าช่างกล้าหาญนักที่มายั่วยวนข้า ไม่ใช่ว่าเจ้ายอมเป็นสาวใช้ปรนนิบัติข้างกายของข้าหรือ แล้วตอนนี้มัวทำอะไรอยู่”
“บ่าว… ขาของบ่าว…”
ไฟของฉินหรูเหลียงถูกจุดติดและเขาต้องการการระบายอย่างเร่งด่วน เมื่อก้มลงมองและเห็นรอยแดงบนใบหน้าของเซียงซั่น เขาก็นึกถึงใบหน้าของเฉินเสียนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ถ้าผู้หญิงคนนั้นเป็นเหมือนเซียงซั่นในตอนนี้…
บ้าเอ๊ย! ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งมีปฏิกิริยารุนแรงขึ้น!
ฉินหรูเหลียงกลับมาตอบสนอง เขาอุ้มเซียงซั่นขึ้นมาอย่างง่ายดายและกดนางลงบนม้านั่งในศาลาทันที
ขณะที่เขาเริ่มจูบอีกครั้ง คนที่เขานึกถึงในห่วงความคิดกลับไม่ใช่เซียงซั่นหรือหลิ่วเหมยอู่ แต่เป็นผู้หญิงที่ชื่อเฉินเสียนคนนั้น!
เขาไม่ได้รู้สึกว่ารอยแดงบนใบหน้าของเซียงซั่นอัปลักษณ์ กลับกันมันกลับกระตุ้นให้เขาเกิดความรู้สึกที่แปลกใหม่
ถึงอย่างไรเซียงซั่นก็เคยมีค่ำคืนร่วมกับเขามาแล้ว จนถึงตอนนี้หากจะมีอีกคืนก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก ทว่านี่ถือเป็นเรื่องที่เขาทำผิดกับหลิ่วเหมยอู่…
แต่เกาทัณฑ์เมื่อขึ้นสายแล้วก็ต้องยิงเต็มเหนี่ยว แถมท้องฟ้าก็ยังมืดสนิท หลิ่วเหมยอู่อาจจะหลับไปนานแล้ว แล้วเช่นนี้เขาจะทนปลุกหลิ่วเหมยอู่ให้ลุกจากเตียงเพื่อรังแกนางอีกได้อย่างไร
กลิ่นกายหอมๆ ของเซียงซั่นซึ่งแตกต่างจากกลิ่นกายของหลิ่วเหมยอู่ทำให้เขายากที่จะยับยั้งตัวเอง…
ขณะที่ฉินหรูเหลียงกดร่างของเซียงซั่นลงไป เซียงซั่นก็รู้ทันทีว่าตนเองทำสำเร็จ นางตวัดแขนคล้องคอของฉินหรูเหลียงและตอบสนองอย่างกระตือรือร้น
ชายผู้นี้ที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ใกล้เกินเอื้อม ตอนนี้ได้กลายเป็นของนางแล้ว
คราวนี้ฉินหรูเหลียงไม่ได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปทั้งหมดและไม่หยาบคายเช่นวันนั้น เขาหยอกเย้าอย่างชำนาญและจุดไฟของเซียงซั่นให้ลุกโชนได้อย่างง่ายดาย ทำให้นางอ่อนปวกเปียกพร้อมกันนั้นก็รู้สึกผ่อนคลาย
เซียงซั่นค่อยๆ เคลิบเคลิ้มไปกับความเอาแต่ใจและความอ่อนโยนนี้
ผู้ชายอย่างเขา นอกจากเฉินเสียนแล้วจะมีใครอีกที่ไม่อยากได้? เขาเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งต้าฉู่เฝ้าฝันถึง!
ใต้ร่มไม้ที่เรียงรายอยู่หนาแน่น เฉินเสียนค่อยๆ ยกมือขึ้นแหวกใบไม้ออกและมองไปที่ศาลา
ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังเข้าที่เข้าทาง
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างเหยียดหยามว่า “ไม่คิดว่าเซียงซั่นจะยั่วยวนท่านแม่ทัพได้จริงๆ แต่ทั้งสองคนก็ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน คิดไม่ถึงว่าจะมามั่วโลกีย์กันอยู่ที่นี่”
เฉินเสียนหัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า “มันไม่ระคายตาไปหน่อยหรือไง หยุดดูได้แล้ว มันไม่เหมาะสำหรับเด็ก รีบไปตามคนมาเร็ว”
อวี้เยี่ยนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “องค์หญิงก็ทอดพระเนตรต่อไม่ได้เช่นกันเพคะ!”
เฉินเสียนกำลังเพลิดเพลิน “ข้าโตแล้ว ทำไมจะดูไม่ได้”
“ยังมีผู้เยาว์ในพระครรภ์ขององค์หญิงนะเพคะ!”
“ก็ได้ๆๆ งั้นข้าจะพยายามดูให้น้อยลง รีบไปเลย อย่ามัวแต่เสียเวลา”
อวี้เยี่ยนกำชับอีกครั้ง “องค์หญิงห้ามทอดพระเนตรนะเพคะ!” พูดจบก็ยกชายกระโปรงขึ้นและรีบวิ่งเหยาะๆ ไปที่สวนดอกพุดตาน
คืนนี้หลิ่วเหมยอู่แต่งกายอย่างสวยงาม จนถึงตอนนี้นางไม่ได้รอให้ฉินหรูเหลียงกลับมาแล้วและอดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้
หลิ่วเหมยอู่ไม่ได้กินอาหารเย็นและเซียงหลิงเองก็ไม่ได้กินเช่นกัน นางหิวจนหมดแรงแต่ไม่กล้าพูดออกมา ดังนั้นจึงทำได้แค่พยายามปลอบใจหลิ่วเหมยอู่ที่อยู่ข้างๆ
คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆ อวี้เยี่ยนจะมาที่สวนดอกพุดตานในเวลานี้
อวี้เยี่ยนยืนอยู่ที่หน้าประตูลาน นางยิ้มและบอกว่า “ผู้คนทั้งจวนต่างรู้ว่านายหญิงน้อยจัดงานฉลองวันเกิด แต่ไม่คิดว่าจะเป็นการฉลองวันเกิดที่เงียบเหงาเช่นนี้”
หลิ่วเหมยอู่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพลางคิดว่าเหตุใดแม่สาวใช้ตัวน้อยถึงได้กล้ามาเยาะหยันนางถึงที่นี่ นางกำลังรู้สึกอัดอั้นและไม่มีที่ให้ระบาย ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวเล็กน้อยขณะที่กรีดร้องเสียงแหลม “นางบ่าวต่ำช้า ที่นี่คือที่ไหนเจ้าจึงกล้าเป็นฝ่ายมาเยาะเย้ย ท่านแม่ทัพจะมาที่สวนดอกพุดตานของข้าทันทีที่เขากลับมา ไม่เหมือนองค์หญิงของเจ้า ถึงจะร้องไห้อ้อนวอนอย่างไรท่านแม่ทัพก็ไม่มีทางไปหา! แทนที่จะเอาเวลามาพูดจาไร้สาระอยู่แถวนี้ เจ้ากลับไปกอดคอร้องไห้กับองค์หญิงไม่ดีกว่าหรือ! เซียงหลิง ไล่นังบ่าวต่ำช้าผู้นี้ออกไป!”
ก่อนที่เซียงหลิงจะทำอะไรอวี้เยี่ยนก็ถอยหลังหลบเสียก่อน จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นเอ่ยอย่างประหลาดใจ “ท่านแม่ทัพกลับมาแล้วนี่นา แต่ไม่เห็นจะตรงมาที่สวนดอกพุดตานทันทีเลยนี่”
สีหน้าของหลิ่วเหมยอู่เปลี่ยนไป นางจ้องมองอวี้เยี่ยนและถามว่า “เจ้าพูดเรื่องอะไร ท่านแม่ทัพไม่มาหาข้าที่นี่ เป็นไปได้หรือที่เขาจะไปที่สวนสระวสันตฤดู?”
อวี้เยี่ยนตอบว่า “แม้ว่าท่านแม่ทัพจะอยากไปที่สวนสระวสันตฤดู แต่องค์หญิงก็จะทรงปิดประตูกันไว้อย่างแน่นหนา ตอนนี้ท่านแม่ทัพกำลังเล่นบทรักอย่างสบายใจกับหญิงอื่นอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบต่างหากละเจ้าคะ”
“เป็นไปไม่ได้!”
“จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของท่าน สิ่งที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว บ่าวไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของนายหญิงน้อยแล้วดีกว่าเจ้าค่ะ” อวี้เยี่ยนเอ่ยทิ้งท้ายและหายตัวออกไปจากลานบ้าน
หลิ่วเหมยอู่รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
คำพูดของอวี้เยี่ยนเป็นเหมือนพายุฝนฟ้าคะนองที่ถาโถมอยู่ในหัวใจของนาง
“เป็นไปไม่ได้…” นางจะทนกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างไร!