ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 686 อย่ากลัว เมาแล้วยังมีข้า
ค่ำคืนนี้เธอได้หลับลึกและสบายใจเป็นอย่างมาก เธอเฝ้าบอกและย้ำเตือนสติตัวเองอยู่เสมออย่างไม่รู้ตัว ว่าความทรงจำของเมื่อค่ำคืนนี้พิเศษเป็นอย่างมาก พรุ่งนี้เมื่อตื่นขึ้น เธอจะต้องไม่ลืมมันเป็นอันขาด
ห้ามลืมเป็นอันขาด
มันเหมือนกับฝันไม่มีผิด เวลาที่ฝันเห็นสิ่งที่มีค่ามากๆ ก็มักจะชอบย้ำเตือนสติตัวเองอย่างไม่รู้ตัวเสมอ ว่าเมื่อตื่นขึ้นจากฝันแล้วจะต้องไม่ลืมเรื่องที่ฝันเป็นอันขาด แต่เมื่อตื่นขึ้น กลับพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้หายไปอย่างไม่มีวันที่จะหาเจออีก
วันถัดมา เมื่อเฉินเสียนตื่นขึ้น เธอก็รู้สึกหน้ามืดและเวียนหัวไปหมด เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าซูเซี่ยนนั่งเฝ้าเธออยู่ข้างๆ เตียง ในมือของเขากำลังถือซุปสร่างเมาอยู่
ซูเซี่ยนยื่นถ้วยซุปสร่างเมาให้กับเธอ พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เมื่อคืนสนุกหรือเปล่า?”
เฉินเสียนยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “สนุก”
ต่อมา ในหัวของเธอก็รู้สึกตื้อไปหมดทั้งเช้า เฉินเสียนรู้ว่าเมื่อคืนนี้เธอมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่มีความสุขเรื่องอะไรนั้น เธอกลับลืมมันไปเสียหมด
เธอนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เคาะศีรษะเบาๆ เฝ้าบอกให้ตัวเองคิดให้ออกสิ
เธอนึกขึ้นได้เพียงเลือนราง ว่าเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมานี้ เธอและซูเจ๋อได้นัดพบกัน ตอนนั้น ละครที่โรงละครได้จบไปตั้งนานแล้ว ซูเจ๋อพาเธอเดินไปที่ชายหาด ปิ้งปูทานกัน
ความทรงจำหลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดไปหมด
ประเด็นสำคัญคือ เธอจำได้เลือนรางว่าเหตุการณ์ที่ทำให้เธอมีความสุขนั้นไม่ได้อยู่ในช่วงแรก แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นต่างหาก
ซูเซี่ยนเดินเข้าออกที่ลานสวนอยู่หลายรอบ ทุกครั้งที่เขาเดินเข้าออกนั้น เขามักจะเห็นเฉินเสียนนั่งเคาะหัวของตัวเองอยู่เสมอ เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เข้มขรึมว่า : “หยุดเคาะได้แล้ว เรื่องที่นึกไม่ออก ต่อให้เคาะจนหัวแตก ก็คิดไม่ออกอยู่ดี”
เฉินเสียนหรี่ตาลง เธอมองไปยังซูเซี่ยนด้วยสายตาที่โศกเศร้า พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “แต่แม่รู้สึกอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวแม่นั้นได้ลืมเรื่องที่สำคัญที่สุดไป”
ใกล้ช่วงเที่ยง ซูเจ๋อมาหาเฉินเสียนที่ลานสวน เห็นเธอนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน แสงแดดค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นมายังระเบียงทางเดิน วาดย้ำรูปร่างและลายเส้นของกระเบื้องหลังคา ส่องแสงสว่างไปยังชายกระโปรงของเธอ
เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้มองดูอยู่ครู่หนึ่ง จึงค่อยเอ่ยขึ้นว่า : “สร่างเมาแล้วหรือ?”
เฉินเสียนชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เธอลุกขึ้นอย่างรีบร้อนพร้อมกับหมุนตัวแล้วเดินตรงไปที่ห้องทันที
“กลัวข้าขนาดนี้เชียวหรือ?” ซูเจ๋อเดินเข้ามาในลานบ้านด้วยท่าทีที่สบายใจ
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนชุด”
ซูเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ จึงได้เตือนเธอว่า : “เมื่อเช้าท่านแม่เปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องเป็นกังวลไป ไม่ได้ถือว่าเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่เรียบร้อยหรอก”
ขาข้างหนึ่งของเฉินเสียนเหยียบเข้าไปในห้องแล้ว ส่วนขาอีกข้างยังอยู่ตรงนอกประตู หันกลับไปมองหน้าซูเซี่ยนด้วยสีหน้าที่ทั้งอึ้งและค้าง เด็กคนนี้นี่ เป็นพยาธิในท้องเธอรึไงกันนะ รู้สิ่งที่เธอคิดในใจได้ยังไงกัน
ที่น่าตลกก็คือ ห้วงเวลาที่เธอเห็นซูเจ๋อนั้น ในใจของเธอเป็นกังวลเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกของเธอจริงๆ เสียด้วย……
จากนั้นเธอก็ชักเท้ากลับ หันมาด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองเห็นซูเจ๋อที่ยืนอยู่ภายใต้แสงแดดนั่น สีผิวที่ถูกแสงของแดดขับจนสว่างนวลไปทั้งร่างกาย ทั้งตัวของเขานั้นราวกับว่าไร้ซึ่งที่ติก็ไม่ปาน
เขาหรี่ดวงตาที่ลุ่มลึกและดำสนิทดุจน้ำหมึกนั้นลง ราวกับว่ามุมตาที่เรียวยาวของเขาปรากฏรอยยิ้มขึ้น
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ท่านมาอีกทำไม?”
“ใกล้จะเที่ยงแล้ว ข้ามาทานมื้อเที่ยง”
ซูเซี่ยนลุกขึ้นจากขอบระเบียงทางเดินอย่างรู้เรื่อง เขาจัดระเบียบเสื้อผ้าตัวน้อยของตัวเอง พร้อมกับเดินออกไปอย่างใจเย็น พลางพูดขึ้นว่า : “ข้าจะให้คนไปจัดเตรียมอาหาร”
ครั้งนี้ซูเซี่ยนไปนานกว่าปกติ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่กลับมา
เฉินเสียนรู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก เหมือนตัวเองทำอะไรผิดมายังไงอย่างงั้น แต่เมื่อนึกๆ ดูแล้ว เธอกลับรู้สึกว่าอาการลนลานทำตัวไม่ถูกเช่นนี้ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ทั้งๆ ที่เมื่อวานนี้เธอได้พูดชัดเจนไปแล้วว่าจะเป็นการนัดพบครั้งสุดท้าย และวันนี้จะเป็นการบอกลาอย่างเป็นทางการ
เมื่อเฉินเสียนนึกถึงเรื่องที่จะต้องบอกลาซูเจ๋อ ในใจของเธอก็หนักอึ้งขึ้นมาทันที รู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาเช้าขนาดนี้ เขามาสายกว่านี้ก็ได้นี่ จะมาวันพรุ่งนี้หรือวันมะรืนนี้ก็ยังได้ แม้จะมาบอกลาในวันที่เธอจะจากไปก็ไม่เห็นเป็นไร
นัดพบอย่างผ่อนคลายเพียงหนึ่งครั้ง แต่กลับส่งผลกระทบกับเธอไม่น้อย เธอรู้และเข้าใจเป็นอย่างดี ว่าตัวเธอนั้นไม่อาจจะทำใจได้
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยว่า : “ท่านมาทานมื้อเที่ยง ต้องการจะทานมื้ออำลากับข้าหรืออย่างไรกัน?”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง จ้องมองไปยังเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เรื่องเมื่อคืนนี้ จำไม่ได้แล้วหรือ?”
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเขา จู่ๆ ก็รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมา มีเรื่องที่สำคัญเกิดขึ้นจริงๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นเขาจะใช้สายตาอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?
มีบางอย่างแล่นผ่านหัวของเธอ เธออ้าปากพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จำได้สิ ข้าจะลืมได้อย่างไรกัน!”
ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไหนลองพูดมาสิ จำอะไรได้บ้าง”
“แน่นอนว่าข้าต้องจำได้สิ เราไปทานมื้อดึกด้วยกันไง!”
“หลังจากนั้นล่ะ”
หลังจากนั้น……หลังจากนั้นเธอก็ลืมไปหมดแล้ว
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า : “ท่านจะถามอะไรมากมาย เมื่อคืนนี้ท่านเองก็อยู่ด้วยแท้ๆ รู้แล้วยังจะแสร้งถามอีก”
ซูเจ๋อจ้องตรงมายังดวงตาของเธอ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “เมื่อคืนนี้ คนเจ้าน้ำตาที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของข้า ใช่ท่านหรือเปล่า?”
เมื่อเฉินเสียนฟังแล้ว ในหัวของเธอก็รู้สึกหนักอึ้งไปหมด เธอหัวเราะพร้อมกับโบกไม้โบกมือกล่าวปฏิเสธว่า : “เป็นไปไม่ได้หรอก ข้าไม่ใช่คนเช่นนั้น” แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าและแววตาของซูเจ๋อแล้ว จู่ๆ ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที แต่เธอก็พยายามเชิดคางยืดตัวตรง พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบและเรียบเฉยว่า : “ถึงแม้ว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนั้นจริง นั่นก็เป็นเพราะฤทธิ์เมาของสุราจึงทำให้การควบคุมสติและความนึกคิดผิดปกติ ท่านอย่าได้เอามาใส่ใจ”
จู่ๆ ซูเจ๋อก็หัวเราะขึ้นมา : “ท่านจำอะไรไม่ได้จริงๆ ด้วย”
ใบหน้าของเฉินเสียนนิ่งค้างไม่ไหวติง : “ท่านกำลังทดสอบข้าอยู่หรือ?”
ซูเจ๋อเดินเข้ามาหาเธอช้าๆ ทีละก้าว เงาที่มืดสนิทของเขากระทบลงบนตัวของเธอ ร่มเย็นและมืดมน ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “ข้าให้ท่านจำขึ้นใจให้ดีๆ ไงเล่า”
ความกดดันบางอย่างกำลังปะทุขึ้นมา ตอนก่อนหน้านี้ คนผู้นี้ยังเป็นเหมือนแสงแดดอ่อนรำไรอยู่เลย พริบตาเดียวก็เปลี่ยนมาเป็นพายุหิมะและหยาดน้ำค้างที่กำลังพัดโหมกระหน่ำขึ้นมาทันที
เฉินเสียนเซเล็กน้อย เธอกำลังคิดจะถอยหนี แต่กลับยังปากเก่งไม่ยอมแพ้ เธอพูดขึ้นว่า : “ท่านจะโกรธขนาดนี้ทำไม ข้าก็แค่ลืมเรื่องบางเรื่องไป บางทีข้าอาจจะจำมันได้ในภายหลังก็ได้ ทีท่านยังลืมเรื่องราวหลายปีที่ผ่านมานี้ได้เลย จนถึงตอนนี้ก็ยังจำไม่ได้ หากข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับท่าน ข้าคงจะอกแตกตายเป็นร้อยๆ ครั้งแล้วกระมัง”
“ท่านยังพูดเก่งเหมือนเดิม” ซูเจ๋อยิ้มให้เธอเล็กน้อย แต่ความหมายของรอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความอันตรายไม่น้อยเลย
เฉินเสียนใจเสียไปหมด เธอตั้งใจจะลุกขึ้นจากระเบียงทางเดิน แต่เพราะเอนตัวมากเกินไปและเพราะทรงตัวไม่สมดุล จึงจะตกลงไปจากระเบียง
เธอเบิกตากว้าง มองซูเจ๋อที่กำลังโน้มตัวลงมา เอื้อมมือประคองท้ายทอยของเธอ เพื่อปกป้องไม่ให้ศีรษะของเธอกระแทกโดนพื้น
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ลมก็หยุดนิ่ง แสงแดดก็เงียบสงบไปชั่วขณะ
เฉินเสียนคิดในใจ เธอจะต้องไม่ได้สติอย่างแน่นอน ไม่งั้นเธอจะควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้ได้อย่างไรกัน จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ จ้องมองจนราวกับต้องมนต์ จ้องมองโดยที่ไม่อาจละสายตาจากเขาได้
แววตาของซูเจ๋อลุ่มลึก เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ที่ฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังโกรธหรือโศกเศร้า : “มันน่าขันที่ข้าไม่รู้สึกว่าการที่ท่านเบี้ยวข้าทำไม่รู้ไม่ชี้เช่นนี้แล้วจะเหมือนคนแปลกหน้า ต่อไปในภายภาคหน้า ท่านจะเบี้ยวข้าเช่นนี้ทุกครั้งเลยใช่ไหม?”
เฉินเสียนอ้าปากค้าง พูดอะไรไม่ออกสักคำ
ซูเจ๋อหรี่ตาลง เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธและแค้นใจว่า : “เมื่อคืนข้าจะส่งท่านกลับมาทำไมกัน ข้าควรจะพาท่านกลับไปที่ห้องของข้ายังดีเสียกว่า เมื่อท่านตื่นขึ้นมาบนเตียงของข้าแล้ว ข้าจะดูว่าท่านจะแก้ตัวอย่างไรอีก?”
เฉินเสียน : “……”
ใบหูของเธอแดงก่ำขึ้นมา ดวงตาชุ่มชื้นประกายแวววาว ในสายตาของซูเจ๋อนั้น เธอมีเสน่ห์และเย้ายวนเสียนี่กระไร
ไม่รู้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปตั้งแต่ตอนไหน ซูเจ๋อเข้าใกล้เธอเช่นนี้ หัวใจของเฉินเสียนเองก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหน ก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถปกปิดและเสแสร้งได้อีกต่อไป
เธอจ้องมองเขาด้วยความอึ้ง แล้วพูดขึ้นพึมพำว่า : “ท่านใจเย็นๆ ก่อน ข้าจะต้องนึกออกแน่”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซูเจ๋อจึงได้ตอบกลับไปว่า : “ได้ ข้าจะรอดู”