ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 693 แอบจูบเขาสักหน่อยจะได้ไหม?
เย่ซวิ่นมีความคิดและมีวัตถุประสงค์ของตัวเอง และเขารู้ว่าซูเจ๋อไม่ใช่คนหลอกง่าย ดังนั้นเขาจึงใช้อุบายนี้ ถ้าคำพูดเหล่านี้มาถึงหูของซูเจ๋อจริง ๆ ละก็ นับว่าสมความปรารถนาของเขา
ชายคนนั้นถูกนำกลับไปที่เรือน โดยมีเย่ซวิ่นกำลังรอเขาอยู่
ในขณะนั้น เย่ซวิ่นคลุมไหล่ด้วยชุดจีนและเอนหลังพิงระเบียงโดยเอาแขนทั้งสองข้างพิงอยู่ตรงระเบียง เมื่อเห็นชายผู้นั้นหันกลับมาด้วยความอดสู เขาอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาและกล่าวว่า “เจ้าได้เจอท่านอ๋องรุ่ยไหม?”
ชายคนนั้นรู้สึกสำนึกผิดมาก
เย่ซวิ่นกล่าว “ไม่ต้องกลัว เจ้าเป็นคนที่ข้าฝึกฝนมา ยังไงข้าก็ทำเพื่อเจ้า หรือเจ้ากลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเจ้างั้นหรือ?”
จากนั้นชายคนนั้นก็พยักหน้าและกล่าวว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“เขาถามอะไรกับเจ้าบ้าง?”
“เรื่องสนมในวังหลังของจักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าพูดไปอย่างไร?”
“พูดไปตามความจริงพ่ะย่ะค่ะ”
เย่ซวิ่นเดินออกมาจากระเบียง และบิดมุมเสื้อของชายผู้นั้นที่เปียก เขาไม่เพียงแต่ไม่โกรธเท่านั้น แต่กลับพูดอย่างใจดี “คืนนี้เจ้าก็ใจร้อนเกินไป เมื่อก่อนข้างกายของจักรพรรดินีมีเพียงข้า นอกนั้นก็ไม่มีใครได้เข้าใกล้พระองค์ คืนนี้พระองค์ไว้ชีวิตเจ้า ก็นับว่าโชคดีมากแล้ว รีบเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ เปียกแบบนี้เดี๋ยวจะไม่สบายเอาง่าย ๆ ข้าให้คนไปตามหมอหลวงจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ยแล้ว ให้เขามาดูอาการที่แขนของเจ้า”
“ขอบพระทัยองค์ชายหกพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนกลางคืน เฉินเสียนนอนไม่หลับ และในหัวของเธอเต็มไปด้วยคำพูด การกระทำ และทุกย่างก้าวของซูเจ๋อเมื่อหลายวันมานี้
เฉินเสียนคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาไม่ชอบผู้หญิงหมายความว่าอย่างไร? พระชายารุ่ยคืออะไรกันแน่? เมื่อก่อนเขาเคยพูดว่า “ยกเว้นเธอ” แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้พูด แต่เธอก็เป็นผู้หญิง…
ในโลกนี้นอกจากผู้หญิงแล้วยังมีผู้ชายอีกด้วย ก่อนหน้านี้เธอได้ยินมาว่า ซูเจ๋อมักไปในเรือนของชายรูปงามเพื่อไปตามจับนักฆ่าทุกคืน
โอ๊ย ช่างน่ารำคาญ! ทำไมเธอต้องคิดเรื่องยุ่ง ๆ นี้ด้วย!
ในเช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อรับประทานอาหารเช้า เฉินเสียนดูไม่มีสติ ซูเซี่ยนเหลือบมองเธอแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ เมื่อคืนนอนไม่หลับหรือขอรับ?”
“อืม”
“เพราะคิดถึงท่านพ่อใช่ไหม?”
“อืม”
บนโต๊ะอาหารเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นนึกถึงเสียงที่พึงพอใจของซูเซี่ยนตอนทานข้าวต้ม
เฉินเสียนเหลือบมองเขาด้วยใบหน้าที่มืดมนและกล่าวว่า “แม่จะคิดถึงเขาทำไม” เธอตักข้าวต้มเข้าปากสองช้อน และกล่าวอีกว่า “วันนี้ให้คนเหล่านั้นย้ายออกจากราชนิเวศน์ แล้วไปอยู่บนเรือ”
ส่วนเย่ซวิ่น เฉินเสียนแทบทนไม่ไหวที่จะเตะเขาลงทะเล แต่สถานะของเขาค่อนข้างพิเศษ และราชนิเวศน์ก็ดูปลอดภัยกว่าบนเรือ แม้เฉินเสียนไม่ต้องการเจอเขา แต่ก็ไม่สามารถไล่เขาไปอยู่บนเรือได้
ในท้ายที่สุด มีเพียงเย่ซวิ่นเพียงคนเดียวในเรือน และทหารรักษาพระองค์ที่ติดตามเขาไปเพื่อปกป้องเขา
จากนั้นเฉินเสียนเรียกเหลียนชิงโจวเข้ามาพบ และถามอาการเกี่ยวกับสภาพร่างกายของทีมเรือ หมอหลวงกล่าวว่าร่างกายของพวกเขาทรงตัวชั่วคราว และต้องสังเกตอาการต่ออีกสองวัน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคิดถึงหลานชายจนประชวรลง นางกำนัลเข้ามาที่เรือนด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงคิดถึงองค์รัชทายาทแห่งต้าฉู่ จนตอนนี้ฝ่าบาททรงพระประชวร องค์รัชทายาทได้โปรดเสด็จไปเยี่ยมฝ่าบาท ฝ่าบาทฝันก็ยังคอยตรัสบ่นถึงเพคะ”
ตั้งแต่ที่มานี้ ซูเซี่ยนปฏิเสธไปหลายครั้ง เขาคิดว่า ยืดเยื้อมานานแล้ว ยังไงก็ต้องไปดูสักหน่อย
ซูเซี่ยนมองไปที่ท่านแม่ของเขา
เฉินเสียนกล่าว “เจ้าอยากไปก็ไปสิ”
“งั้นข้าไปประเดี๋ยวก็จะกลับมาขอรับ”
ในเวลานี้ จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกำลังเอนกายอยู่บนเตียงในห้องบรรทมของพระองค์ และนางกำนัลก็รีบเข้ามาข้างหลังพระองค์ด้วยความยินดีและกล่าวว่า “เสด็จมาแล้ว เสด็จมาแล้ว หลานชายของฝ่าบาทเสด็จมาแล้ว ฝ่าบาทรีบนอนลงไปเพคะ!”
เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ยินดังนั้น พระองค์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง พระองค์แสร้งทำเป็นว่าประชวรเป็นโรคซึมเศร้าในทันที พร้อมกับเอาผ้าพันรอบหน้าผากของพระองค์ไว้ และตรัสว่า “รีบเอายาให้ข้าที่ข้างเตียง”
ดังนั้นเมื่อซูเซี่ยนเข้ามา เขาได้ยินจักรพรรดิเป่ยเซี่ยคร่ำครวญถึงสองครั้งอย่างไม่สบายใจ ก่อนที่เขาจะดื่มยาที่หน้าเตียง
เมื่อจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นเขา พระเนตรของพระองค์เป็นประกาย และตรัสอย่างอ่อนแรง “อาเซี่ยน เจ้ายอมมาหาปู่แล้ว…”
ซูเซี่ยนเหลือบมองไปที่ยาต้ม จากนั้นจึงมองไปที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ย และพูดเบา ๆ ว่า “ฝ่าบาทต้องการเป็นปู่ หาคนอื่นมาแทนเสียจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะจากไป จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็รีบตรัสอย่างรวดเร็ว “ก็ได้ ก็ได้ ข้าไม่พูดถึงหลานหรือปู่ก็ได้ ขอเพียงแค่เจ้าหาข้าก็พอใจแล้ว!”
ซูเซี่ยนจึงเดินกลับมา
ซูเซี่ยนเงียบมากและพูดน้อย แต่เขาเต็มใจที่จะอยู่ที่นี่ และจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็อารมณ์ดีอยู่แล้ว
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถามว่าเขาอยู่ที่ต้าฉู่เป็นอย่างไรในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และซูเซี่ยนก็ตอบได้ดีมาก
พระองค์เคยได้ยินท่านอ๋องมู่กล่าวว่าอาเซี่ยนชอบฟังเรื่องราว จึงเป็นเรื่องดี ที่จะเล่าให้อาเซี่ยนฟังเกี่ยวกับเรื่องของพระองค์ที่เคยประสบในช่วงครึ่งชีวิตของพระองค์
ซูเซี่ยนอยู่ในห้องบรรทมของพระองค์จนถึงเวลาเที่ยงวัน
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตรัสว่า “วันนี้ตอนเช้าข้าให้คนไปซื้อปูที่ชายทะเลกลับมา เที่ยงนี้ก็อยู่กินปูกับข้าที่นี่นะ”
ซูเซี่ยนหันไปพูดกับนางกำนัลว่า “เจ้ากลับไปบอกจักรพรรดินีต้าฉู่หน่อย เที่ยงนี้ข้าจะไม่กลับไปร่วมเสวยอาหารเที่ยงกับพระองค์แล้ว หากพระองค์เบื่อที่จะเสวยคนเดียวก็ให้เสด็จไปที่ท่านอ๋องรุ่ย วันนี้หากข้าไม่กลับไป ก็ให้ท่านอ๋องรุ่ยดูแลจักรพรรดินีต้าฉู่ให้ดี และรับผิดชอบในการบรรเทาความกังวลและความเบื่อหน่ายของพระองค์”
นางกำนัลมองไปยังจักรพรรดิเป่ยเซี่ย เพื่อรอคำสั่งจากจักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ซูเซี่ยนมองไปที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยและกล่าวว่า “ทำไมหรือ ให้ลูกของท่านแม่มาร่วมเสวยกับฝ่าบาท ให้ลูกของฝ่าบาทร่วมเสวยกับท่านแม่ของกระหม่อมไม่ได้หรืออย่างไร?”
จักรพรรดิเป่ยเซียถอนหายใจและโบกมือให้นางกำนัลปฏิบัติตาม ดูเหมือนว่าพระองค์ไม่เต็มใจที่จะปล่อยลูกชายของเขา ดูเหมือนพระองค์ต้อมยอมใช้ลูกชายตัวเองเป็นเหยื่อ เพื่อให้ได้ใจหลานชายของพระองค์
ก่อนหน้านี้ที่เฉินเสียนและซูเจ๋อมีความสัมพันธ์ต่อกัน นั่นเป็นความคิดของซูเจ๋อ ตอนนี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกล่าวอย่างชัดเจนให้ท่านอ๋องรุ่ยไปอยู่กับจักรพรรดินีต้าฉู่ ความหมายก็แตกต่างกันออกไป
ปู่และหลานชายประทับเสวยปูกันอยู่ในห้องบรรทม จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเปลี่ยนมาเป็นมีชีวิตชีวาขึ้น และเสวยได้มากขึ้น
ซูเซี่ยนแทะขาปู และกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ประชวรหรอกหรือ ทำไมถึงเสวยอันนี้?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเลียปากของพระองค์และตรัสว่า “อาการป่วยของข้าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตอนนี้กลับดีขึ้นมา ไม่เป็นไร”
ในเรือนแห่งนี้ ซูเซี่ยนที่บอกว่าไปไม่นานก็จะกลับ แต่สุดท้ายทำให้เฉินเสียนรอจนเที่ยงก็ยังไม่เห็นเขาจะกลับมา สุดท้ายไม่ได้รอซูเซี่ยนกลับมา แต่ดันรอซูเจ๋อเข้ามา
“กำลังรออาเซี่ยนหรือ?”
“…” เฉินเสียนเม้มริมฝีปากไม่พูดอะไร
ซูเจ๋อเดินตรงไปข้างเธอ เดินเข้าไปในห้องอาหารที่โอ่อ่า และกล่าวว่า “เที่ยงนี้เขาไม่กลับมาแล้ว หากไม่มีใครร่วมเสวยกับท่าน ข้าร่วมเสวยกับท่านเอง”
เฉินเสียนกล่าว “ข้าไม่ได้เป็นเด็ก ทำไมต้องมีคนร่วมด้วย?”
ซูเจ๋อกล่าว “มีคนพูดด้วยก็ไม่เลวนะ”
แต่เฉินเสียนนอนหลับไม่สนิท เธอรู้สึกว่าใบหน้าของเธอซีดเผือด เธอไม่ต้องการมองไปที่ซูเจ๋อโดยตรง หากเธอปล่อยให้เขาเห็นรอยคล้ำของเธอ มันคงน่าเกลียด
น่าแปลกที่เธอสนใจเรื่องแบบนี้จริง
ดังนั้นในระหว่างมื้ออาหาร เฉินเสียนจึงก้มหน้าลง ซูเจ๋อคีบผักใส่ในชามของเธอ และเธอก็กินต่อไปอย่างเงียบ ๆ
หลังอาหาร เฉินเสียนต้องการกลับไปที่ห้องเพื่อนอนพักผ่อน แล้วหันกลับมาพูดว่า “ข้าอิ่มแล้ว ส่วนท่านตามสบาย”
ทันใดนั้นเธอก้าวเข้าไป และก็มีคนเดินตามเธอเข้าไป เปลือกตาของเฉินเสียนกระตุก เธอรีบหันมาผลักซูเจ๋อออกไปนอกประตู
เธอรู้สึกหายใจติดขัดและกล่าวว่า “ท่านต้องการทำอะไร?”
ซูเจ๋อหัวเราะและกล่าวว่า “ก็ท่านบอกให้ข้าตามสบายไม่ใช่หรือ”
“แต่ตอนนี้ข้าต้องการนอนกลางวัน”
“ข้าก็รู้สึกง่วงนิดหน่อย”
ในที่สุดเฉินเสียนก็ลืมตาขึ้นและจ้องไปที่เขา “ท่านง่วงท่านก็กลับไปนอนที่ห้องของท่าน”
ซูเจ๋อกล่าว “เสวยเสร็จ ข้าขี้เกียจ ขี้เกียจเดินกลับไปนอน”