ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 706 ข้ายังไม่ได้เตรียมตัว……
ซูเจ๋อถอนหายใจเบาๆ “มีคนเคียงหมอนนั้นดีจริงๆ เมื่อได้ลิ้มลองรสชาตินั้นแล้ว วันหลังก็ไม่อยากนอนคนเดียวอีก”
เฉินเสียนเม้มปาก กล่าวว่า “ไหนเลยจะลิ้มลองได้ทุกวัน”
โชคดีที่สีหน้าซูเจ๋อไม่ได้ย่ำแย่ การทำภารกิจเมื่อคืนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขามากนัก ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นผู้ป่วยเพิ่งหายดี ควรผ่อนเบากับเรื่องพรรค์นี้จะดีกว่า
ตอนที่เธอเตรียมจะไปเก็บอาภรณ์ของตน ซูเจ๋อก็เอื้อมมือดึงเธอกลับมา
เฉินเสียนเงยหน้าไปมองก็ก้มไปอยู่ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ทันตั้งตัว
ติ่งหูเธอรู้สึกร้อนไม่หยุด ได้ยินซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่ได้ลิ้มลองทุกวันข้าก็จะกอดท่านนอนทุกคืน”
ใบหน้าด้านข้างเฉินเสียนแอบอิงกับหน้าอกแกร่งของเขา ได้ยินเขาเอ่ยประโยคนนี้ หัวใจก็พองโตสั่นระริก ใบหน้าแดงระเรื่อไม่มีทีท่าจางหาย
เฉินเสียนรู้สึกดูแคลนตัวเอง ทั้งๆที่ไม่ใช่ข้าวใหม่ปลามัน แต่ยังจะรู้สึกเช่นนี้อีก
“ท่านตื่นเมื่อใด?” เฉินเสียนถาม
“คงตื่นเช้ากว่าท่าน”
“ท่านปล่อยข้า ข้าจะกลับไป หากชักช้าเกรงว่าทุกคนต้องรู้ว่าเมื่อคืนข้าค้างคืนที่นี่”
“ท่านกลัวเหรอ?”
เฉินเสียนใคร่ครวญ กล่าวว่า “ไม่กลัว แค่รู้สึก……เกรงใจเล็กน้อย อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นถิ่นฐานเป่ยเซี่ย”
ซูเจ๋อจับศีรษะของเธอ ก้มหน้าจูบที่หูเธออีกครั้ง กล่าวว่า “ต่อจะทั้งใต้หล้าก็ต้องรู้ว่าท่านพักห้องข้าทุกคืน”
ลมหายใจของเขารดใส่หูเธอ เฉินเสียนก็อดตัวสั่นเบาๆอีกครั้งไม่ได้ เธอดิ้นรนเพื่อลุกขึ้น กล่าว “ข้าต้องกลับแล้วจริงๆ พวกเหลียนชิงโจวยังรอข้าร่วมเดินทางพร้อมกันอยู่ ท่าน ท่านนอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
บุรุษผู้นี้มีพิษ หากเธอยังไม่ไปก็อย่าหวังจะได้ลงจากเตียงเลย
ซูเจ๋อกล่าว “พึ่งเอาข้าหมาดๆ ท่านก็รีบร้อนกลับต้าฉู่แล้วหรือ?”
เฉินเสียนหันหน้าจ้องเขม็งเขาด้วยดวงตางดงามแบบไม่ค่อยมั่นใจเท่าใดนัก “ท่านเป็นคนเอาข้าแท้ๆ” เห็นเขาแอบยิ้มก็หยุด แล้วกล่าวต่อ “ข้ารีบกลับต้าฉู่เพื่อจะได้พาตัวท่านกลับไปโดยเร็ววัน ยามนี้ข้าต้องกลับไปชำระกายที่พักก่อน ก่อนเดินทางข้าย่อมมาอำลากับท่านอยู่แล้ว”
ซูเจ๋อไม่ได้รั้งเธอ กล่าวเสียงเบาบาง “ใส่เสื้อเถอะ ท่านไม่ต้องมาลาข้าหรอก ประเดี๋ยวข้าจะไปร่วมทานข้าวเช้ากับท่านด้วย”
เฉินเสียนเอ่ยเสียง “อืม” แบบชื่นฉ่ำหนึ่งคำ
ซูเจ๋อลุกขึ้นช่วยเธอใส่เสื้อชั้นนอก เธอสวมใส่ด้วยความเร่งรีบเสร็จสรรพ ขณะที่ลุกจากเตียงระหว่างสองขาก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อย ของเหลวอุ่นๆค่อยๆไหลลงมาจากขาหนีบ ชั่วพริบตานั้นติ่งหูเธอแดงซ่าน สองขาเริ่มอ่อนแรง
ความรู้สึกเช่นนี้แรงกว่าตอนระดูเธอมาเสียอีก เฉินฉุกคิดได้ว่าของเหลวที่เขาฝากไว้ในร่างกายเธอ เหตุใดจึงมากมายเพียงนี้ หรือมอบทั้งหมดที่สั่งสมมาหลายปีให้เธอ……
เฉินเสียนจับขอบเตียงลุกขึ้น ที่ไหนได้ ไม่เพียงแต่สองขาอ่อนยวบเท่านั้น บริเวณเอวบางก็ปวดเหนื่อยไปหมด ชั่วขณะนี้เธอไร้ซึ่งเรี่ยวแรง ยังไม่ทันลุกขึ้นก็ล้มลงไปอย่างไม่มีพละกำลัง
ซูเจ๋อเอื้อมมือประคองเธอ เธอจับเอวของตน พลางมองใบหน้าที่ไร้เดียงสาของเขา กล่าวว่า “ไม่ต้องมาเสแสร้งเลย”
ซูเจ๋อยิ้ม กล่าวว่า “ทำไมเป็นเสแสร้งไปได้ ข้าจริงใจมากนะ”
“หากจริงใจเหตุใดเมื่อคืนไม่เบามือเสียหน่อย……”
“หิวโหยมานานก็จะกินอย่างตะกละตะกลามเฉกเช่นหมาป่ากับราชสีห์ หวังว่าท่านคงเข้าใจ”
หลังเรือนคล้ายจะได้ยินเสียงฝีเท้า เฉินเสียนไม่อาจคำนึกถึงขาที่อ่อนแรงกับเอวที่ปวดเมื่อย เธอผลักซูเจ๋อออก หันกายเดินออกไปด้านนอก
ซูเจ๋อใส่เสื้อด้านในเสร็จสรรพพลันคลุมเสื้อด้านนอกอย่างขอไปที มีความขี้คร้านสองส่วน เขาพิงอยู่ที่หัวเตียง มองเงาเธอที่มีความหลวมตัวเล็กน้อย กล่าวเสียงอ่อนนุ่มว่า “ไม่ต้องกลัว อย่างไรเสียข้าเป็นคนยั่วยวนท่านเอง”
“ตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอก”
“อืม ก็ใช่อยู่”
เมื่อคืนซูเจ๋อจูบเฉินเสียนกลางงานเลี้ยงในวังอย่างดุเดือด ไม่เพียงทำให้ขุนนางเป่ยเซี่ยตะลึงพรึงเพริดเท่านั้น ยังทำให้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยนอนไม่หลับทั้งคืนด้วย
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้ดีว่าซูเจ๋อคงอยากให้เหล่าขุนนางทราบความสัมพันธ์ของเขากับจักรพรรดิแห่งต้าฉู่
เมื่อครุ่นคิดดูแล้ว จักรพรรดิเป่ยเซี่ยตัดสินใจมาถามไถ่เขาให้แน่ชัดด้วยตัวเอง
เมื่อมาถึงจวนเห็นนางกำนัลเฝ้าอยู่ด้านนอก จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพลันถามหนึ่งประโยค “ท่านอ๋องรุ่ยตื่นหรือยัง?”
นางกำนัลตอบเสียงเบาด้วยสีหน้าผิดปกติ “ท่านอ๋องยังไม่ตื่นบรรทมเพคะ”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเดินเข้าไปอย่างโอ่อ่า ไม่สังเกตสีหน้านางกำนัลเลยสักนิด เดินไปกล่าวไปด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เพลาไหนแล้ว เหตุใดเขายังไม่ตื่นอีก?”
เมื่อเดินเข้าถึงจักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็เคาะประตูห้องซูเจ๋อทันที
จากนั้น พระองค์คาดไม่ถึงว่า เมื่อคิดจะเคาะประตู มือยังไม่ทันสัมผัสบานประตู ด้านในก็คล้ายกับได้รับกระแสจิต เกิดเสียงเปิดประตูดังแกร๊กขึ้นมา
เฉินเสียนก็คาดไม่ถึงว่าจะต้องประชันหน้ากับบุคคลตรงหน้าหลังจากเปิดประตู
และบุคคลนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นจักรพรรดิเป่ยเซี่ย ด้านหลังยังมีนางกำนัลติดตามอีกหลายชีวิต
ทั้งเฉินเสียนกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยต่างตกอยู่ในความเงียบ บรรยากาศอึดอัดอย่างแปลกประหลาดทันที
หากพบเจอจักรพรรดิเป่ยเซี่ยในยามปกติ เฉินเสียนต้องมีอากัปกิริยาที่หนักแน่นเป็นแน่ แต่ยามนี้จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเห็นเธอออกจากห้องนอนซูเจ๋ออย่างจัง ใช้นิ้วเท้าคิดก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นกับทั้งสองคน ไม่พูดถึงสถานะจักรพรรดิแห่งเป่ยเซี่ย แต่พระองค์ก็เป็นบิดาบังเกิดเกล้าของซูเจ๋อนะ
ฉะนั้นเฉินเสียนจึงขาดความมั่นใจที่มีในยามปกติ
สีหน้าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างน่าสนใจ หากก่อนหน้านี้ตอนที่อาเซี่ยนอยู่เป็นเพื่อนพระองค์ สองคนนี้แอบมีอะไรกันลับๆ พระองค์ยังหลับตาข้างหนึ่งได้
ทว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องตื่นตาตื่นใจในท้องพระโรง ถึงกระนั้นเนื่องจากท่านอ๋องรุ่ยเป็นฝ่ายเข้าจูบแล้วพาจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ออกจากงานเลี้ยง หากกระพือข่าวเรื่องทั้งสองพักร่วมกันหนึ่งคืนออกไป ผู้คนก็จะวิจารณ์ว่าท่านอ๋องรุ่ยล่วงเกินจักรพรรดิแห่งต้าฉู่ เช่นนี้จะให้พระองค์เอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน?
พระองค์คิดว่าอย่างไรเสียทั้งสองจะคำนึกถึงผลกระทบบ้าง ทว่าพระองค์กับผิดพลาดอย่างมหันต์
ความหงุดหงิดไม่ได้ดั่งใจของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยพุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง เขาไม่ควรรอให้ผ่านพ้นเมื่อคืน ไม่ควรรอให้รุ่งสางแล้วค่อยกรีธาทัพมาถามโทษ เสียแรงที่พระองค์ใจอ่อน หวังให้พวกเขาอยู่กันตามลำพังสักครู่
ทว่าวันนี้เฉินเสียนพึ่งออกจากห้องของซูเจ๋อด้วยความมาดมั่นอลังการในเวลานี้ จะรับไหวได้อย่างไรกันเชียว?
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองเฉินเสียนแล้วมองซูเจ๋อที่พิงอยู่ที่หัวเตียงโดยไม่คิดจะรีบลุกขึ้น กลางอกก็กระพือขึ้นสองที ถามวาจาไร้สาระกับเฉินเสียนโดยไม่ไตร่ตรอง “ท่านทำอะไรที่นี่?”
แล้วจะให้เฉินเสียนตอบเช่นไร?เธอควรตอบว่านอนที่นี่หนึ่งคืนหรือ?
เพียงแต่เธอยังไม่ทันตอบ ซูเจ๋อที่อยู่ด้านในก็ตอบแทนเธออย่างเกียจคร้าน “นอกจากข้า นางอยู่ที่นี่ยังทำอะไรได้อีก”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ย “……”
เฉินเสียนกระตุกมุมปาก เหงื่อซึมด้วยความขวยเขิน เวลาซูเจ๋อเล่นคารมขึ้นมา……ช่างได้อารมณ์ขันโดยแท้……
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยด่าทออย่างดุดัน “เจ้ายังเป็นบุรุษหรือไม่ พูดจาไว้หน้าตัวเองบ้าง”
ซูเจ๋อกล่าว “ล้วนเป็นบุรุษด้วยกัน หรือเสด็จพ่อไม่เคยนอนกับผู้อื่นมาก่อน? ไม่เคยมีความต้องการมาก่อน?”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยหงุดหงิดยิ่ง “หากเจ้าต้องการคนเคียงหมอน สตรีเป่ยเซี่ยมีนับหมื่นนับพันให้เจ้าเลือกตามสบาย เจ้ากลับพานางต่อหน้าผู้คน นางเป็นจักรพรรดิ แห่งต้าฉู่ เจ้าจะให้ผู้อื่นมองเจ้าอย่างไร”
นิ้วมือเรียวขาวนวลของซูเจ๋อวางไว้ที่ข้างเตียงขยับเล็กน้อย เฉินเสียนเห็นเขาใช้นิ้วทำท่าคล้ายมีคล้ายไม่มีกับตน
เฉินเสียนกะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็รับรู้ได้ว่า เขาต้องการให้ตนแอบออกไปตอนที่จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกำลังทะเลาะกับเขาอยู่หรือ?
ดังคาด สองพ่อลูกคู่นี้ทะเลาะกันขึ้นมา เธอก็ไม่มีส่วนร่วมใดๆ เธอเข้าใจแล้วว่าซูเจ๋อกำลังช่วยเธอเบี่ยงเบนความสนใจของจักรพรรดิเป่ยเซี่ยอยู่
เฉินเสียนคิดจะล่าถอยอย่างเงียบๆ ระหว่างที่จะเดินออกจากประตูก็ได้ยินซูเจ๋อกล่าวกับจักรพรรดิเป่ยเซี่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้าชอบนอนกับนาง จะทำไม?”
อดีตซูเจ๋อไม่เคยยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเธอต่อหน้าผู้คน หรืออาจเป็นเพราะยอมรับไม่ได้ หรือไม่จำเป็นต้องยอมรับ ทว่ายามนี้เปล่งออกมาจากปากของเขา จึงรับรู้ด้วยความตื่นตกใจว่ามีพลังสังหารมากเพียงใด
เฉินเสียนรู้สึกขาอ่อนยวบกะทันหัน คล้ายกับร่างกายจะล่องลอยเสียอย่างนั้น
ผลสุดท้ายคือยังไม่ทันเดินสองก้าว จักรพรรดิเป่ยเซี่ยพลันตวาดเสียงกล่าวว่า “หยุดนะ” จักรพรรดิเป่ยเซี่ยรู้ตั้งนานแล้วว่าเธอเตรียมจะเผ่นหนี มองเธออย่างเย็นเยียบ “ยังคุยกันไม่จบ ท่านจะไปไหน?”
เฉินเสียนหันหน้ากลับมา ไม่อาจทานทนใบหน้าเหี่ยวย่นที่ดุดันของคนชราผู้นี้ได้ บวกกับมีซูเจ๋อหนุนหลัง เธอจึงปั้นหน้าอันธพาลขึ้นมา ตอบด้วยความพลั้งปากว่า “มีอะไรยังคุยกันไม่จบ? ท่านคิดจะทำยังไง? ท่านอ๋องมู่ของพวกท่านลวนลามข้าก่อน ข้าเป็นฝ่ายเสียหาย ข้ากลับไปแล้วจะเปิดโปงพฤติกรรมของเขาว่าเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด ให้ใต้หล้ารู้ว่าท่านมีลูกชายเลวทรามขนาดไหน”
ซูเจ๋อแอบยิ้มอยู่ในห้อง กล่าวต่อว่า “ใช่ กลับไปเปิดโปงข้า คนเรากินอิ่มแปล้แล้วไม่รับผิดชอบไม่ได้”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยโกรธเกรี้ยวจนปวดเศียรเวียนเกล้า พระองค์กำลังทั้งโกรธขึ้งทั้งกล่าวด้วยความจริงใจแท้ๆ ไฉนสองคนนี้กลับให้ความรู้สึกว่ากำลังพลอดรักกันอยู่เล่า?
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจ้องเขม็งเฉินเสียน สตรีตรงหน้าคือมารดาของอาเซี่ยน จึงปฏิบัติเช่นครั้งก่อนไม่ได้เด็ดขาด นอกเสียจากพระองค์ไม่อยากได้หลานแล้ว
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่รู้ว่าควรไกล่เกลี่ยเช่นไร ซูเจ๋อก็เดินออกมาอย่างเชื่องช้าแล้วกล่าวว่า “ให้นางกลับไปเถอะ ไม่แน่ว่าท้องของนางอาจมีทายาทของข้าอยู่ หากเสด็จพ่อยังทำให้นางลำบากอีก วันหน้าเมื่อหลานคนที่สองมาเยือนยังโลกก็ยังไม่นับญาติเสด็จพ่ออยู่ดี”
เฉินเสียนเงยหน้ามองด้านในห้องนอนปราดหนึ่ง แสงพระอาทิตย์ด้านนอกสว่างเจิดจ้ามาก ตัดกับด้านในที่มีแสงไม่เสมอกัน เธอเห็นซูเจ๋อลงจากเตียงเลือนราง โดยหันหลังให้เธอ อาภรณ์ยาวคลุมกายแล้วชวนให้ความรู้สึกเรียบเฉย ทว่าสง่าอย่างยิ่งยวด
เธอหรี่ตาอย่างพร่ามัว ทว่าหัวใจทั้งดวงกลับถูกเขาเติมเต็มหมดสิ้น รู้สึกชื่นมื่นโดยแท้ เธอสัมผัสความทะนุถนอมปกป้องจากเขาได้