ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 707 ไม่รู้ควรตั้งชื่อบทนี้อย่างไรจริงๆ
ซูเจ๋อดึงเฉินเสียนขึ้นมา ทาบบนร่างเธอ ดวงตาเธอชุ่มชื้น จะอ้าปากพูด แต่ถูกซูเจ๋อเกี่ยวกระหวัดลิ้น
เขาจงใจใช้ปลายลิ้นปลุกเร้าเธอ เขารู้ว่าเป็นจุดอ่อนไหวของเธอ เธอต้านทานปลายลิ้นของเขาไม่ได้
เมื่อนิ้วบนเอวขยับเสื้อผ้าพลันแหวกออก ทิวทัศน์ใต้อาภรณ์ช่างงดงามหยาดเยิ้มยิ่งนัก
ซูเจ๋อกล่าวเสียงทุ้มต่ำบริเวณคอเธอ “คืนนั้นท่านถามข้าว่ามีคนเคยกอดข้า เคยจูบข้าหรือไม่ มีคนเคยจับใบหน้าของข้า จับเสื้อผ้าของข้า”
เขาดึงเสื้อเธอออกช้าๆ น้ำเสียงราวกับต้องมนตร์สะกดทำให้เธอละลายจากความอ่อนโยนที่ปกคลุมเข้าใส่ “ท่านถามข้าว่า มีคนเคยร้องไห้ในอ้อนกอดของข้าเช่นท่านหรือไม่”
เขาช่วยเธอกล่าวความในใจออกมา ทุกถ้อยคำนั้นคั้นออกมาจากใจทั้งสิ้น “ท่านยังถามข้าว่า เหตุใดไม่รอท่านต่อ ท่านบอกว่าท่านจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง ท่านอยากให้ทุกคนเกรงกลัวท่าน แล้วท่านจะพาข้ากลับไปด้วยตัวเอง”
มือของซูเจ๋อลอดเข้าใต้ชายเสื้อแล้วลูบไล้เอวบางของเฉินเสียน
เฉินเสียนตัวสั่นจากการลูบไล้ของเขา ดวงตาเริ่มเร่าร้อน เสียงที่เค้นออกมาก็เปลี่ยนไป กลายเป็นอ่อนโยนน่าหลงใหล เธอกัดริมฝีปากกล่าวว่า “แล้วท่านตอบข้าเช่นไร……”
ซูเจ๋อคลอเคลียอยู่แถวคอกับกระดูกไหปลาร้า พลางทิ้งร่องรอยจุมพิตบนผิวขาวผุดผ่องของเธอเหมือนทุกครั้ง เขามักจะประทับตราสัญลักษณ์ของตัวเองบนเรือนร่างเธอด้วยความฮึกเหิม
ซูเจ๋อกล่าว “ข้าตอบว่า นอกจากท่านแล้วก็ไม่เคยแตะต้องสตรีอื่น ท่านให้ข้ารอท่าน ข้าก็รอเสมอมา และข้าก็อยากให้ท่านรอข้าด้วย”
ซูเจ๋อดึงมือเธอไปที่เอวของตน มือของเฉินเสียนไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้เขานำมือตัวเองเพื่อถอดเสื้อของเขาตามอำเภอใจ
ซูเจ๋อกล่าวอีกว่า “คำถามนี้ตอบเรียบร้อยแล้ว งั้นก็เข้าสู่คำตอบต่อไปเลย พวกเรามาคุยเรื่องวังหลังของท่านกัน”
เฉินเสียนกะพริบตาปริบๆ กล่าวว่า “เมื่อครู่ไม่ใช่คุยเสร็จแล้วหรือ พวกเขาไม่ใช่……”
ซูเจ๋อก้มลงที่ไหล่ของเธอ อาภรณ์พลันลื่นลงมาอยู่ด้านล่างบ่า เขาดูดซึมกลิ่นหอมละมุนละไมเฉพาะตัวของเธอ กล่าวเสียงแหบพร่าว่า “แล้วเย่ซวิ่นล่ะ เขาคือสนมชายของท่านหรือ”
“ใช่ เรื่องมันเกิดขึ้นตั้งนานแล้วนี่” เฉินเสียนดึงตัวเองออกจากความอ่อนหวานและนุ่มนวลของเขา ทำให้ตัวเองรู้สึกตัวขึ้นสองส่วน เล่าให้เขาฟังอย่างจริงจัง “ข้าไม่อยากเกี่ยวดองกับเย่เหลียง ท่านนั่นแหละที่โน้มน้าวให้ข้ารับเขาเข้าวังหลัง ท่านเป็นคนผลักข้าให้ยอมรับเขาเอง ท่านแอบหารือแล้วตัดสินใจกับจักรพรรดิเย่เหลียงลับหลังข้า”
เธอเงยหน้ามองใบหน้างดงามไร้ที่ติของซูเจ๋อ เห็นเขาขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้เพราะเหตุใดผ่านไปหลายปีจึงจะรู้สึกยินดีปรีดาหลังจากที่จำใจต้องยอมรับเย่ซวิ่นด้วยความอัดอั้นตันใจ
เธอกล่าวกับซูเจ๋อว่า “ท่านลืมเรื่องพวกนั้นหมดแล้ว เวลานี้มาพูดถึงอีกครา ท่านคงรู้สึกคล้ายกับเอาก้อนหินมาทุบเท้าของตัวเองสินะ?”
ซูเจ๋อลูบจับใบหน้าของเธอ กล่าวว่า “ท่านกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของข้าหรือ?”
พูดพลางใช้มืออีกข้างประคองเอวของเธอขึ้นมา สองเท้าของเฉินเสียนจึงห่างจากพื้นในชั่วพริบตา เวลาเดียวกันเธอยังรับรู้ได้ถึงความแข็งอันเร่าร้อนที่พร้อมจะบุกได้ทุกเมื่อ
เธออ้าปากคล้ายกับหัวใจกระดอนติดอยู่ที่คอจนพูดไม่ได้
ซูเจ๋อดึงเธอมาทับตัวเองอย่างแนบแน่นไปพลาง กล่าวไปพลาง “แต่ข้าได้ยินว่าระหว่างที่ข้าไม่อยู่ ท่านกับเขารักใคร่กลมเกลียวกันยิ่งนัก? ท่านกับเขานอนเตียงเดียวกัน เขาช่วยปัดเป่าความเหงาทิ้ง?”
เฉินเสียนกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “ใครบอกท่าน?” ยังไม่ทันสิ้นเสียง น้ำเสียงเจือความสั่นคลอน เธอกล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “วู่” หนึ่งคำ
ความเผ็ดร้อนนั้นสัมผัสที่ขาของเธอ หากเขาขยับกายเล็กน้อยก็จะสามารถรุกล้ำเข้าไปได้แล้ว
ทันใดนั้นเฉินเสียนรู้สึกตื่นตกใจยิ่งนัก ทว่าเธอไม่มีพื้นที่ให้ถอยหลังแล้ว ดวงตาแดงก่ำที่เปียกชื้นมองซูเจ๋อ สองมือดันหน้าบนไหล่ของเขาเพื่อพยุงร่างกายไม่ให้ลื่นไหลลง
“ซูเจ๋อ……อย่า……”
“ยังไม่ได้เตรียมตัวหรือ?” เขาถามเธอด้วยเสียงแหบพร่า “แต่ร่างกายท่านก็มีอารมณ์ร่วมแล้ว เปียกมากไม่ใช่หรือ”
เธอมีอารมณ์ร่วมตั้งนานแล้ว ตอนที่ซูเจ๋อกอดจูบเธออย่างเผ็ดร้อนที่กำแพงวัง เธอก็ถลำสู่ห้วงอารมณ์นี้แล้ว
หรืออาจจะเป็นก่อนหน้านั้น ตอนที่สวมกอดเขาด้วยความถวิลหาหน้าโรงละคร ไม่เพียงแต่ซูเจ๋อเกิดแรงพิสศวาทเท่านั้น ร่างกายเธอเองก็ปรารถนาอย่างแรงกล้าเช่นกัน
หลายปีมานี้ เฉินเสียนรู้ดีว่าไม่มีบุรุษใดสามารถปลุกเร้าอารมณ์เธอได้ ทว่าซูเจ๋อกลับไม่ใช่
เฉินเสียนกัดฟัน พลางหายใจอย่างยุ่งเหยิง “รอก่อน……”
ซูเจ๋อจับแผ่นหลังของเธอ กล่าวด้วยความข่มอารมณ์ใคร่ว่า “เดิมทีข้าก็อยากรอ แต่เมื่อนึกได้ว่าวังหลังท่านยังมีคนอื่น ข้าจึงรู้สึกว่าหากรอต่อไปอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งที่ทำให้ข้าปลาบปลื้มก็คือ พวกเรามีอาเซี่ยนด้วยกันแล้ว พวกเราเคยทำเรื่องอย่างว่ามาก่อนแล้ว”
“ใครบอกท่านกันแน่……”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ข้าก็ควรฟังท่านพูดด้วยตัวเอง”
สุดท้ายเฉินเสียนไม่อาจต้านทาน ซูเจ๋อจับเอวของเธอแล้วค่อยๆเปิดสรีระร่างกายที่ปิดกั้นมานานแรมปี
“บอกว่าแค่คุยกันนี่……คนหลอกลวง……”
“หากข้าไม่รีบแล้วท่านถูกคนอื่นครอบครองก็คงจะแย่”
“แต่ร่างกายท่าน……ไม่สะดวกทำอะไรเช่นนี้……”
“ท่านน่าจะรับรู้ว่าเขาต้องการท่านมาก ท่านอยากให้ข้าแข็งถึงรุ่งเช้าหรือ? เช่นนั้นต่างหากที่ไม่สะดวกที่สุด”
หากแข็งทั้งคืนก็ทำให้เสียสุขภาพ คำนี้ฟังดูเหมือนถูกเขาสะกดจิต เฉินเสียนรับรู้ได้ถึงความหื่นกระหายของเขา นับจากวินาทีที่รุกล้ำเข้ามาก็สัมผัสของแข็งร้อนระอุที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เธอเริ่มรับไม่หวาดไม่ไหว ร่างกายลื่นลงไปอย่างควบคุมไม่ได้……
กระทั่งหายใจเฉินเสียนยังขาดๆหายๆ เสียงที่คล้ายครางคล้ายร่ำไห้กำลังเค้นออกมาจากคอ เนื่องจากปิดกั้นอุโมงค์ลับมายาวนาน ความรู้สึกที่พุ่งจู่โจมทุกสัดส่วนของร่างกายเธอจึงเด่นชัดมาก
เธอซุกอยู่บนไหล่ซูเจ๋อ สองมือรัดเอวของเขาไว้แน่น ในที่สุดก็เกิดเสียงร้องไห้เบาๆข้างหูเขา “ไม่มี……ไม่มีผู้อื่น……นอกจากท่านแล้ว ไม่เคยมีผู้ใดแตะต้องข้ามาก่อน……”
ความจริงซูเจ๋อสัมผัสได้แล้ว เพราะความคับแน่นหุ้มล้อมน้องชายของเขาจนเขาโยกย้ายสะโพกด้วยความยากเย็น
เธอไม่มีความถนัดในเรื่องใต้สะดือของหนุ่มสาว ร่างกายเธอเหมือนจะรกร้างมาเนิ่นนาน ไม่มีกลิ่นอายบุรุษเลยสักนิด
ซูเจ๋ออยากได้เธอ ทว่าตั้งแต่ต้นยันจบเธอมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น
ความรู้สึกชมชอบเบ่งบานในหางตาซูเจ๋อ เขาเผยความใคร่และความคลั่งไคล้ในตัวเธอให้เฉินเสียนเห็น เขายิ้มให้เธอ พลางกล่าวเสียงแหบและต่ำ “ช่างดีเหลือเกิน ข้าได้คำตอบที่ข้าต้องการแล้ว”
สิ้นเสียงซูเจ๋อก็ทาบร่างเธอบนกำแพง ก่อนจะจูบเธออย่างบ้าระห่ำ
เฉินเสียนไม่อาจทานทน ทุบไหล่ซูเจ๋อเบาๆ กล่าวด้วยเสียงสั่นระริก “แรงไป ข้าบอกแล้วว่าข้ายังไม่พร้อม ท่านเบาหน่อย……”