ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 730 บัญชีเก่า หากไม่แก้แค้นเวลานี้จะรอถึงเมื่อใด?
จากนั้นเฉินเสียนให้หลิวอีกว้าหาฤกษ์งามยามดี เตรียมสินสมรส แล้วออกพระราชโองการถึงจวนตระกูลเฮ่อ เพื่อพระราชทานสมรสให้แด่เฮ่อโยวกับอวี้เยี่ยน
ซึ่งงานมงคลสมรสของทั้งสองจัดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์
เฉินเสียนกำชับเป็นพิเศษว่าต้องจัดหาแม่สื่อที่ดีที่สุดในเมือง
สำหรับเรื่องจะใส่ส่วนผสมอื่นในสุราที่ใช้แลกถ้วยดื่มกันระหว่างบ่าวสาวนั้น……มันทำให้เฉินเสียนนึกถึงค่ำคืนที่ทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับซูเจ๋อ แค้นเก่าพวกนั้น หากไม่แก้แค้นเวลานี้จะรอถึงเมื่อไหร่?
บรรยากาศในงานพิธีสมรสที่จวนตระกูลเฮ่อครึกครื้นยิ่งนัก
เฉินเสียนเปลี่ยนจากฉลองพระองค์ของจักรพรรดิมาเป็นชุดสบายๆ โดยเดินทางไปร่วมเฉลิมฉลองกับซูเจ๋อและอาเซี่ยน
องค์หญิงจาวหยางย่อมเข้าร่วมด้วยอยู่แล้ว เมื่อถึงเวลานั่ง ครอบครัวเฉินเสียนสามคนกับครอบครัวเหลียนชิงโจวนั่งโต๊ะเดียวกัน ซึ่งจะเหลือเพียงองค์หญิงจาวหยางกับฉินหรูเหลียงสองคนเท่านั้นที่ไม่สะดวกเข้าแทรกระหว่างพวกเขา ดังนั้นทั้งคู่จึงนั่งใกล้กัน
เพียงแต่ระหว่างนั้นต่างฝ่ายต่างไม่มีคุยกันเลยสักคำ
ช่วงนี้นางไม่ได้ตามตื้อฉินหรูเหลียงอีกต่อไป เพราะนางได้ข้อคิดจากซูเจ๋อ
นึกถึงญาติผู้พี่กับพี่สะใภ้แยกจากกันหลายปี สุดท้ายก็ได้มาอยู่ด้วยกัน หากมีวาสนาต่อกันก็จะไม่แคล้วกัน หากไม่ใช่ของนาง งั้นก็ต่างฝ่ายต่างมีชีวิตสุขสำราญก็เพียงพอ
นอกจากไม่พูดคุยกับฉินหรูเหลียงแล้ว องค์หญิงจาวหยางก็คุยกับอาเซี่ยนและเฉินเสียนอย่างร่าเริง
เห็นเฮ่อโยวกับอวี้เยี่ยนกำลังทำพิธีคารวะฟ้าดินอยู่ในห้องโถงสิริมงคล องค์หญิงจาวหยางจึงกล่าวกับเฉินเสียนด้วยแรงโหยหา “พี่สะใภ้เพคะ ช่วยข้าหาเจ้าบ่าวด้วยสิเพคะ”
เฉินเสียนกล่าว “เจ้าอยากได้แบบไหนล่ะ?”
องค์หญิงจาวหยางไตร่ตรองชั่วครู่พลันกล่าวว่า “ไม่เรียกร้องสูง แค่รูปงามเป็นพอ” พูดพลางมองฉินหรูเหลียงแวบหนึ่ง “เพราะบุรุษต้าฉู่ที่ต้องตาข้าในแวบแรกก็เห็นว่ารูปงามเท่านั้นเอง”
เฉินเสียนหรี่ตามองฉินหรูเหลียงแวบหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าจะคอยช่วยดูให้นะ”
เดิมที่คิดว่าฉินหรูเหลียงจะเงียบตลอดงาน คาดไม่ถึงว่าเขากลับเม้มปาก กล่าวขมวดคิ้วว่า “ท่านควรดูด้านคุณธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ให้ความสำคัญที่หน้าตา”
องค์หญิงจาวหยางตอบไปตามสถานการณ์ “เกี่ยวอะไรกับท่าน ข้าจะหาสามี ไม่ใช่ท่านหาเสียหน่อย จุ้นจ้านเกินควรแล้ว”
ฉินหรูเหลียงกล่าวเสียงเย็นเยียบ “พูดเพราะหวังดี ท่านไม่ฟังก็ช่างกระไร ผู้ที่เสียหายก็เป็นตัวท่านเอง”
องค์หญิงจาวหยางกล่าว “ข้ายินดี”
เฉินเสียนมององค์หญิงจาวหยางกับฉินหรูเหลียงสลับกันไปมา พลางยิ้มแต่ไม่พูดกระไร
พอเจ้าสาวถูกส่งตัวไปยังเรือนหอ ด้านหน้าเรือนก็เริ่มเฉลิมฉลอง ซึ่งเฮ่อโยวกับผู้เฒ่าเฮ่อเริ่มดื่มคารวะขอบคุณแขกเหรื่อก่อน
เหลียนชิงโจวไหนเลยจะปล่อยเฮ่อโยวไปง่ายๆ เขาถือโอกาสมอมเหล้าเฮ่อโยวไปหลายถ้วย
แขกที่มาร่วมยินดีย่อมหนีไม่พ้นเพื่อนร่วมงานในราชสำนักอยู่แล้ว บุตรีของพวกเขาถึงวัยออกเรือน เมื่อเห็นเฮ่อโยวเป็นฝั่งเป็นฝาก็รู้สึกเสียดายในใจ
บุรุษโสดน้อยไปอีกหนึ่งคนแล้ว
หลังเริ่มงาน ซูเจ๋อคีบอาหารให้เฉินเสียน เฉินเสียนดูแลอาเซี่ยน ส่วนอีกมุมหนึ่ง เหลียนชิงโจวคีบอาหารให้หว่านเอ๋อร์ หว่านเอ๋อร์ก็ดูแล้วบุตรชายของตน เหลืองเพียงองค์หญิงจาวหยางกับฉินหรูเหลียงที่ส่งสายตาเย็นเยียบต่อกัน ต่างคนต่างยุ่งกับการกินของตัวเอง
เลือกมานั่งโต๊ะเดียวกับครอบครัวสุขสันต์เช่นนี้ สำหรับทั้งคู่แล้วช่างเป็นทำร้ายตัวเองโดยแท้
เฮ่อโยวดื่มขอบคุณแขกตรงลานบ้านเสร็จสรรพ เมื่อถึงเพลาเข้าเรือนหอก็รู้สึกว่าเขากับอวี้เยี่ยนรู้จักกันมาสองปีกว่า ต่างฝ่ายต่างคุ้นชินจนเป็นกันเองแล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นสามีภรรยากัน เขาก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา
อวี้เยี่ยนนั่งคลุมผ้าเจ้าสาวสีแดงที่ขอบเตียง ประสานมือด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
ที่แท้ความรู้สึกสมรสกับคนรักเป็นอย่างนี้นี่เอง
เฮ่วโยวถือไม้สิริมงคลแน่น แล้วใช้เปิดผ้าคลุมหัวของอวี้เยี่ยนอย่างคอแห้ง ทั้งสองประสานตากันชั่วครู่ อวี้เยี่ยนเบือนหน้าไปอีกทางด้วยความเก้อเขิน เฮ่อโยวกระแอมเสียงเบาๆ
ทั้งคู่แลกจอกดื่มสุรากัน แล้วนั่งเปิดอกคุยสิ่งที่คลางแคลงใจต่ออีกฝ่ายให้หมดเปลือก
หลังจากที่ดับตะเกียงไฟและปิดมุ้งเรียบร้อย ทั้งสองก็เกิดอาการประหม่าด้วยความไม่คุ้นชิน
ชุดแต่งงานถูกโยนออกนอกมุ้งทีละตัว เกิดเสียงเคลื่อนไหวสักพักก็ได้ยินอวี้เยี่ยนสูดลมหายใจ กล่าวเสียงสั่นเทาว่า “เจ็บ……”
เฮ่วโยวกล่าวด้วยความอดกลั้นว่า “ทนหน่อยนะ ข้าก็เหมือนกัน……”
ทั้งสองค่อยๆฝึกฝนเรียนรู้ไปด้วยกัน เรื่องใต้สะดือของหนุ่มสาวไม่ได้เพลิดเพลินอย่างที่คิด
ทว่าไม่นานความเร่าร้อนในกายก็ผุดขึ้นโดยเฮ่วโยวไม่ทันตั้งตัว
เขาที่คิดจะจบสิ้นภารกิจ จู่ๆส่วนล่างของร่างกายก็เต็มเปี่ยมไปด้วยแรงปรารถนา ทั้งยังเข้มข้นเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆด้วย
สุดท้ายเขาบดขยี้อวี้เยี่ยนอย่างดุเดือดราวกับราชสีห์และหมาป่าอีกครั้ง
เริ่มแรกอวี้เยี่ยนโอดครวญด้วยความเจ็บปวด ต่อมาก็ครางด้วยเสียงไพเราะเสนาะหู จนถึงเขาลดความเร็วและเบาแรงลง
เฮ่อโยวควบคุมตัวเองไม่อยู่ ฉุกคิดในใจว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล คงเป็น
ฤทธิ์จากสุราแลกจอดื่มแน่……เขาสามารถนึกภาพเฉินเสียนยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้กลั่นแกล้งคนอื่นทันที
เวรกรรมจริงๆ เมื่อเคยก่อวีรกรรมไว้ย่อมต้องชดใช้คืนไม่วันใดก็วันหนึ่ง ประเด็นสำคัญคือเขาก่อเรื่องกับสองคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นด้วยสิ
อากาศอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ช่วงสับเปลี่ยนฤดู จากวสันตฤดูเป็นคิมหันตฤดู ท่านอ๋องมู่นำทูตของเป่ยเซี่ยมายังต้าฉู่อีกครั้ง เพื่อเจรจารายละเอียดชายแดนของทั้งสองแคว้น
แน่นอนเป้าหมายหลักที่เขามาเยือนครั้งนี้ก็เพื่อดูองค์หญิงจาวหยางที่มาต้าฉู่หลายเดือนแล้ว แต่ไม่เคยคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอนเลยสักนิด
ณ ตอนนี้ เขาเห็นองค์หญิงจาวหยางก็ทั้งเคืองทั้งหงุดหงิด อยากลากมาสั่งสอนนางสักตั้งจริงๆ
ทว่าฝ่ามือยังไม่ทันลง องค์หญิงจาวหยางก็ส่งเสียงร้องราวกับเจอความการทารุณจากครอบครัว ทำให้ท่านอ๋องมู่ตีไม่ลง
ท่านอ๋องมู่กล่าว “ข้ายังไม่ได้ตีเลย เจ้าร้องอันใด”
องค์หญิงจาวหยางกล่าวอย่างสงสาร “หากท่านตีแล้วข้าค่อยร้อง มันจะไม่สายไปหน่อยหรือ”
“เจ้ายังรู้ว่าข้าจะตีเจ้า เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าสมควรตีหรือไม่” ท่านอ๋องมู่กล่าวด้วยความเกรี้ยวกราด “แอบหนีมาต้าฉู่โดยไม่บอกไม่กล่าวสักคำ เจ้าปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม จากถิ่นฐานมาก็ได้หลายเดือนแล้ว กระทั่งจดหมายหนึ่งฉบับก็ไม่มี เจ้ารู้ไหมว่าท่านแม่เจ้าเป็นห่วงจนไม่เป็นอันกินอันนอนเลย?”
องค์หญิงจาวหยางกล่าว “ข้ามาส่งเจ้าบ่าวอย่างท่านพี่ไง ข้ากินดีอยู่ดี มีอะไรน่าห่วงกัน ข้าคงเก็บตัวหมกอยู่แต่เรือนไม่ได้หรอกกระมัง ต้องออกมาเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง หาไม่แล้ว วันหน้าข้าถูกบุรุษหลอกลวงท่านพ่อต้องรับผิดชอบนะ?”
ท่านอ๋องมู่โกรธจนหน้าอกระพือขึ้นลง ไม่กล่าวอันใดเนิ่นนาน
ผู้ที่รู้จักท่านอ๋องมู่จะรู้ว่าปกติพระองค์เป็นคนสง่างามและเป็นมิตรมาก คาดว่ามีแต่บุตรสาวเท่านั้นที่ทำให้พระองค์โกรธขึ้งขนาดนี้ได้
องค์หญิงจาวหยางยังกล่าวว่า “พวกท่านไม่ต้องแปลกใจหรอก ตาเฒ่าบ้านข้าก็เป็นเสียอย่างนี้แหละ เข้ามาประตูเรือนก็ระเบิดอารมณ์ทันที ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย”
ท่านอ๋องมู่กล่าวด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “เจ้ายังกล้าพูดอีก หุบปากซะ”
เฉินเสียนเข้าใจจุดนี้ดี อย่างเช่นซูเจ๋อก็มีสองแง่สองมุม เขาในกลางวันกับกลางคืน บนเตียงกับนอกเตียงนั้นแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
เฉินเสียนกะพริบตาปริบๆ รู้สึกดูแคลนตัวเองในใจ เหตุใดจู่ๆถึงนึกเรื่องนี้ได้?
ทันใดนั้นซูเจ๋อที่อยู่ข้างเธอถามว่า “คิดอันใดอยู่?”
เฉินเสียนหน้าชา “ไม่มี”
ซูเจ๋อหัวเราะอย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “กำลังคิดว่าบางครั้งข้าก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนใช่ไหม?”
เฉินเสียนหูตารุ่มร้อน “……”