ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 734 ไม่ใช่พระองค์ถอดกางเกงเองหรือ
เป็นครั้งแรกที่นางมาพระตำหนักฉีเล่อ ไม่พูดไม่ได้เลยว่าในนี้โอ่อ่าฟุ้งเฟ้อเป็นอย่างมาก ได้ยินมาตั้งนานแล้วว่าองค์ชายหกของเย่เหลียงเป็นคนหยิ่งผยองโอหัง วันนี้ดูแล้ว เป็นเยี่ยงนั้นจริง
เมื่อมาถึงห้องบรรทมขององค์ชายหก ระดับความโอ่อ่าฟุ้งเฟ้อยิ่งไม่ต้องพูด
ตอนนี้เย่ซวิ่นนอนอยู่บนเก้าอี้ไม้ยาวนั่น สวมใส่ชุดเสื้อคลุมยาวทั้งตัว พอฝูหลิงเข้ามา เขาใช้มือค้ำแล้วเอียงแก้มมองนาง
ฝูหลิงมองเดี๋ยวเดียว รู้สึกว่าหนุ่มรูปงามอยู่บนเก้าอี้ไม้ น่าหลงใหลอย่างมาก
ฝูหลิงเดินมาด้านหน้าแล้ววางกล่องยาลง กล่าวถามว่า “องค์ชายหกรู้สึกว่าไม่สบายตรงไหนหรือเพคะ?”นางปฏิบัติต่อคนไข้อย่างมีความอดทน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนไข้รูปงามที่อยู่ตรงหน้านางนี้
ครั้งแรกที่เย่ซวิ่นได้มองฝูหลิงในระยะที่ใกล้ เป็นประเภทที่สวยงามและดูโดดเด่น ดวงตากลมใสแจ๋วมีชีวิตชีวา จมูกริมฝีปากเล็กกระจุ๋มกระจิ๋ม
เย่ซวิ่นหลับตาลง กล่าวอย่างอ่อนเพลียว่า “หากข้ารู้ว่าไม่สบายตรงไหน ข้าจะเรียกเจ้ามาทำไม”
เขายื่นมือออกไป กล่าวว่า“เจ้าดูให้ข้าก่อน ดูไม่ออก ค่อยทำการวางแผนขั้นต่อไป”
ด้วยเหตุนี้ฝูหลิงเลยลูบแขนเสื้อ ตรวจจับชีพจรให้เขาอย่างตั้งใจ ได้รับข้อวินิจฉัยออกมาเหมือนกับหมอหลวงคนก่อนหน้า กล่าวว่า “องค์ชายหกนอกจากมองดูแล้วมีร่างกายอ่อนเพลียเล็กน้อย เหี่ยวเฉาไม่ฮึกเหิมหมดอาลัยตายอยากแล้วนั้น ไม่ได้มีโรคอื่นกวนใจเพคะ นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับที่องค์ชายหกไม่ได้ออกกำลังกายเป็นเวลานาน น่าจะลองลุกขึ้นออกเดินมากๆ และวิ่ง กำลังวังชาจะดีขึ้นมากเพคะ หากต้องพูดว่านี่เป็นโรคชนิดหนึ่งนั่นคือโรคผู้สูงศักดิ์เพคะ”
เย่ซวิ่นสีหน้าดูไม่ได้มาก กล่าวขึ้นว่า “แค่นี้? เจ้าก็ดูอย่างอื่นไม่ออกหรือ?”
ฝูหลิงกล่าวถามว่า “เช่นนี้องค์ชายหกยังมีตรงไหนที่ไม่สบายหรือเพคะ?”
เย่ซวิ่นโมโห กล่าวกับคนที่อยู่ด้านนอกว่า “มาที่นี่หน่อย!”
นางกำนัลสองคนได้ปรากฏตัวที่หน้าประตู กล่าวว่า “องค์ชายหกมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือเพคะ?”
“ปิดประตูให้ข้า!พวกเจ้าออกไปให้หมด อย่าแอบดู ยิ่งกว่านั้นอย่าแอบฟัง!”
“เพคะ”
ฝูหลิงหันศีรษะไปมองนางกำนัลสองคนที่ปิดประตู ทันใดได้ส่งเสียงดังขึ้นว่า “ช่วงเวลากลางวันแสกๆ ยังดีๆอยู่เลยทำไมต้องปิดประตู?”
นางไม่ชอบปิดประตูแล้วตรวจรักษาโรคแก่คนไข้ หากนี่เป็นหญิงยังพูดง่าย แต่เย่ซวิ่นเป็นชาย ชายหญิงมีความแตกต่าง
ฝูหลิงหันศีรษะกลับมา ทันใดนั้นมีสีหน้าไม่ดีให้เย่ซวิ่นเห็น กล่าวว่า “พระองค์ปิดประตูทำ………………”
ยังไม่ทันพูดจบ คำพูดที่เหลือก็ติดอยู่ในลำคอของฝูหลิง
เห็นเพียงแค่เย่ซวิ่นลงมาจากเก้าอี้ไม้ยาว หลังจากนั้นเริ่มถอดเข็มขัดออกต่อหน้าฝูหลิง ถอดกางเกง………..
พอกางเกงหล่นลงไป ก็ได้ปรากฏให้เห็นขาทั้งสองข้างของเย่ซวิ่น มุมชุดราวกับจะปิดโคนขาไม่มิด
ทันใดนั้นฝูหลิงหน้าแดงราวกับหยดเลือด ร้องเสียงดังว่า “อ๋า!พระองค์เลวทรามต่ำช้า!ชอบเปิดเผย!”
สีหน้าดีๆของเย่ซวิ่นไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว เส้นโลหิตดำบนใบหน้ากระตุก และยังแดงเป็นเลือดฝาดจนน่าสงสัย เปิดเผยจุดด้อยของตนเองต่อหน้าหญิงที่ไม่เคยรู้จัก ก็จำเป็นต้องมีความกล้าหาญ
เขาทำได้เพียงไม่หยุดที่จะปลอบใจตนเอง ฝูหลิงเป็นหมอคนหนึ่ง ไม่เกี่ยวกับว่านางเป็นชายหรือหญิง!
เย่ซวิ่นกล่าวว่า “เจ้าร้องเรียกผีอะไร!เจ้าไม่ใช่ถามว่าข้าไม่สบายตรงไหนหรือ? ที่แท้ก็เป็นหมอกำมะลอไม่มีฝีมือ!แม้แต่อย่างนี้ก็ดูไม่ออก!ไม่ใช่ข้าไม่มีชีวิตชีวา แต่เป็นมันไม่มีชีวิตชีวา!”
ประมาณว่าเย่ซวิ่นก็คิดไม่ถึง ความสามารถในการรับได้ของฝูหลิงกล้าหาญองอาจเช่นนี้ อย่างไรเสียนางก็เอาตนเองวางไว้บนตำแหน่งของหมอคนหนึ่ง การปฏิบัติต่อโรคภัยไข้เจ็บล้วนตั้งใจและจริงจังอย่างมาก
พอได้ยินเย่ซวิ่นพูดว่าไม่ได้ใช้กลอุบายเป็นอันธพาล เพียงแต่จุดที่เขาไม่สบายนั้นอยู่บริเวณที่ปิดเป็นความลับใต้ร่มผ้าเท่านั้นเอง ทันใดนั้นฝูหลิงก็สงบลง คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝ่ายรุกเอง คว้ามุมชุดของเย่ซวิ่นขึ้น ปรากฏให้เห็นโคนขาของเขา
เย่ซวิ่นหลับตา หายใจเข้าลึกๆ ระงับความวู่วามที่อยากจะตบหมอหญิงผู้นี้อย่างหนักหน่วง
ชาตินี้เขาไม่เคยขายหน้าที่สุดอย่างนี้เลย
ฝูหลิงหน้ายังแดงก่ำเล็กน้อย กล่าวว่า “เมื่อครู่หม่อมฉันถามพระองค์ว่าไม่สบายตรงไหนพระองค์ก็ไม่พูด พระองค์สวมใส่กางเกงหม่อมฉันจะมองเห็นได้อย่างไรเพคะ?”
เย่ซวิ่นกัดฟันกรอด กล่าวว่า “เช่นนั้นตอนนี้เจ้าเห็นหรือยัง?”
ฝูหลิงกล่าวว่า “เอาอย่างนี้นะ พระองค์เป็นคนไข้ของหม่อมฉัน คิดว่าหม่อมฉันเป็นหมอก็พอแล้ว ไม่ต้องมีความกดดัน หม่อมฉันจะดูให้พระองค์ก่อนนะเพคะ”
ฝูหลิงหันไปทางเย่ซวิ่นแล้วเอื้อมมือไป
เย่ซวิ่นสีหน้าเปลี่ยน กล่าวว่า “เจ้าทำอะไร!”
“หม่อมฉันตรวจให้มัน ไม่ใช่ว่ามันไม่สบายหรือเพคะ?เมื่อครู่พระองค์บอกว่ามันไม่มีชีวิตชีวาไม่ใช่หรือ?”
เย่ซวิ่น“………………”เขาอยากรู้จริง ในสมองของหญิงผู้นี้มีอะไรอยู่? ถูกตำราการแพทย์ยัดใส่เต็มแล้วหรือ?
ตอนที่ลังเลสองจิตสองใจ ฝูหลิงได้เอื้อมมือมาทางน้องชายน้อยของเขาแล้วดีด
ทันใดนั้นเย่ซวิ่นสูดลมหายใจเข้า
ตามด้วยฝูหลิงกอบกุมมัน เย่ซวิ่นหน้าเขียว
ราวกับว่านางกอบกุมแล้วรู้สึกสบาย อ่อนนุ่มนิ่ม อดไม่ได้ที่อยากจะให้สัมผัสมากขึ้น กล่าวว่า “คล้ายกับว่าไม่มีชีวิตชีวาอะไรเลยนะ ก้มต่ำลงที่โคน”
นางบอกให้เย่ซวิ่นนอนลงบนเก้าอี้ไม้ หลังจากนั้นนางตรวจสอบขึ้นๆลงๆ สัมผัสคลำทุกแห่งทุกหนแล้ว
เย่ซวิ่นรู้สึกจากใจจริงว่า เรียกอันธพาลน้อยนี่มา เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่มาก
ฝูหลิงถามว่า “ปกติพระองค์มีอาการอะไรเพคะ?”
เย่ซวิ่นกล่าวอย่างหมดอาลัยว่า “ไม่ตั้ง”
ต่อมาฝูหลิงลูบสัมผัสที่ขนและผมตามร่างกายของเขา กล่าวถามว่า “ไม่ตั้งอย่างไรเพคะ?”
“ก็คือไม่มีความรู้สึกกับหญิง ไม่มีความสนใจ!”เขาโมโหจนหน้าแดงจ้องเขม็งใส่ฝูหลิง “เจ้าลูบพอหรือยัง !ข้าดูอายุเจ้ายังน้อย ทำตามสบายอะไรก็ได้เช่นนี้ ชอบลูบสัมผัสของสำคัญของชายขนาดนั้น?”
ฝูหลิงมีท่าทางสีหน้าจริงจังราวกับศึกษาตำราทางการแพทย์อยู่ กล่าวว่า “หม่อมฉันตามสบายอะไรก็ได้ที่ไหนเพคะ ไม่ใช่พระองค์ถอดกางเกงเองหรือ หม่อมฉันไม่ได้บังคับพระองค์ถอด เมื่อก่อนจะมีคนไข้ผู้ชายที่เปิดเผยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อย่างพระองค์ที่ไหนกัน พระองค์เป็นคนแรกที่ให้ข้าตรวจดูโรคนี้ กล้าเผชิญหน้ากับโรคของตนเอง มีความกล้าหาญน่าสรรเสริญอย่างมากเพคะ พระองค์วางใจ หม่อมฉันต้องช่วยพระองค์ชนะโรคภัยต่างๆได้แน่”
เย่ซวิ่น“.…….”
ต่อมาฝูหลิงเก็บมือแล้วกล่าวว่า“โรคของพระองค์นี้หม่อมฉันเข้าใจภาพรวมชัดเจนแล้ว รอหม่อมฉันกลับไปศึกษาค้นคว้าเปรียบเทียบตำราการแพทย์แล้ว ค่อยทำจัดวิธีการรักษาให้พระองค์อีกครั้งนะเพคะ ดูว่าใช้การจ่ายยาหรือว่าใช้เข็ม อิงตามดูตามสภาพการณ์เพคะ”
นางยังกล่าวเตือนสติว่า “ยังมีอีก โรคนี้พระองค์ไม่ต้องมีความกดดันในใจมากเกินไปนะเพคะ ต้องผ่อนคลาย ปล่อยตามธรรมชาติ”
พูดแล้วก็จัดการเก็บกล่องยาของตนเอง เหลือไว้เพียงขาทั้งสองข้างของเย่ซวิ่นที่ว่างเปล่าไร้อาภรณ์ สถานการณ์นั้น ราวกับเย่ซวิ่นถูกนางดูถูกหยามเหยียดเลย
ในที่สุดเย่ซวิ่นได้สติกลับมา กล่าวอย่างเคร่งขรึมกับแผ่นหลังของนางว่า“ช้าก่อน”
ฝูหลิงหันกลับมามองเขา
เขาจ้องมองนาง กล่าวว่า “เรื่องที่ข้าตั้งไม่ขึ้น หากเจ้ากล้าเอาไปพูดต่อให้บุคคลที่สามฟัง ข้าก็จะทำให้คนทั้งเมืองหลวงรู้ เจ้ามองและยังลูบคลำอันนี้ของผู้ชาย เช่นนั้นต่อไปเจ้าก็แต่งงานออกไปไม่ได้แล้ว”
เดิมทีฝูหลิงยังกระฉับกระเฉงคึกคัก ถูกคำพูดนั้นของเย่ซวิ่นราวกับน้ำเย็นสาดลงมา ทันใดนั้นก็หมดความกระฉับกระเฉงคึกคัก ได้กล่าวขึ้นว่า “ใครจะชอบที่พระองค์พูด ตนเองตั้งไม่ขึ้น ยังไม่ให้คนพูดเลย”
หากว่าท่านปู่นางรู้ว่านางตรวจรักษาโรคให้ผู้ชาย คาดว่าน่าจะโมโหจนสลบไสลลงไป