ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 739 อันที่จริงเจ้าก็ชอบข้า ใช่ไหม?
เย่ซวิ่นคิดเพียงว่าจะพาฝูหลิงกลับไปด้วยได้อย่างไร ที่สำคัญเราต้องปูทางให้ฝูหลิงตั้งหลักในเย่เหลียงในอนาคต และป้องกันไม่ให้นางถูกรังแกในเย่หลียง
เย่ซวิ่นถาม “แล้วฝ่าบาทจะยอมตกลงไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว “ทำไมข้าถึงจะไม่เห็นด้วยกับวิธีการที่ดีแบบนี้?”
เย่ซวิ่นกล่าว “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ในวันถัดมา เฉินเสียนก็ได้มีพระราชโองการแต่งตั้งฝูหลิงเป็นองค์หญิงอันหนาน และเป็นพระกนิษฐาโดยชอบธรรมของจักรพรรดิต้าฉู่
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เฉินเสียนส่งองค์ชายกลับไปเย่เหลียงนั้นเฉินเสียนส่งให้เย่ซวิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ โดยออกประกาศออกไปว่าองค์ชายหกได้ตกหลุมรักองค์หญิง และยืนกรานกับจักรพรรดิต้าฉู่ว่าจะแต่งงานกับองค์หญิง
จักรพรรดิต้าฉู่มีความใจกว้างและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่เพียงแต่ตอบรับการแต่งงานในครั้งนี้ และยังส่งคนไปคุ้มกันและตามเสด็จองค์ชายหกและองค์หญิงอันหนานกลับไปยังเย่เหลียงอย่างปลอดภัย
ด้วยเหตุนี้ จักรพรรดิต้าฉู่ถือว่าให้เกียรติแก่องค์ชายหกมากเพียงพอแล้ว เพราะองค์ชายหกไม่ซื่อสัตย์ต่อจักรพรรดิต้าฉู่ จักรพรรดิต้าฉู่ไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้าน เพื่อรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองอาณาจักร จึงเลือกที่จะทำตามความปรารถนาขององค์ชายหก นี่จึงเป็นกุศลอันประเสริฐที่สุด
เมื่อข่าวคราวแพร่สะพัดไปถึงเย่เหลียง จักรพรรดิเย่เหลียงโกรธจัดจนแทบหัวใจวาย เดิมทีพระองค์มีความคิดที่ต้องการให้สายเลือดของเย่เหลียงได้เข้าไปรวมอาณาจักรกับต้าฉู่ แต่ในที่สุดพระองค์ก็เหมือนตักน้ำด้วยตะกร้าสานไม้ไผ่ ที่ไม่ได้น้ำเลยแม้แต่น้อย แต่กลับให้ท่านอ๋องเป่ยเซี่ยได้เป็นพระสวามีของจักรพรรดิต้าฉู่ เพราะเป็นเช่นนี้ทำไมพระองค์ถึงจะไม่โกรธ
อย่างไรก็ตาม การมาต้าฉู่ขององค์ชายหกนั้นล้มเหลวลง และยังนำตัวองค์หญิงอันหนานกลับไปเย่เหลียง ก็ถือว่าเป็นการรักษาสัมพันธ์ของสองอาณาจักร เมื่อคิดกลับกัน นี่เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการล่าถอยไปยังระดับถัดไป และแน่นอนว่าจักรพรรดิเย่เหลียงก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ต่อมา ก่อนที่เย่ซวิ่นจะเดินทางถึงเย่เหลียง จักรพรรดิเย่เหลียงก็ได้รับจดหมายจากเขา บอกว่าองค์หญิงกำลังตั้งพระครรภ์
ในที่สุดสิ่งนี้ก็ทำให้จักรพรรดิเย่เหลียงที่หดหู่ใจมีความสุขเล็กน้อย
ตอนนี้เย่ซวิ่นกำลังนำฝูหลิงออกเดินทางบนเส้นทางกลับอาณาจักร
ฝูหลิงยังคงสับสน ทำไมจู่ ๆ นางถึงกลายเป็นองค์หญิงโดยชอบธรรม แล้วทำไมถึงไปเย่เหลียงกับเย่ซวิ่น?
เมื่อนางดึงสติได้ นางก็ปฏิเสธและต้องออกจากรถม้าและกลับไปที่เมืองหลวง
ในเวลานี้พวกเขาอยู่ห่างจากเมืองหลวงของต้าฉู่ไปหลายร้อยลี้แล้ว
เย่ซวิ่นกอดฝูหลิงไว้ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่ปล่อยให้นางออกจากรถม้า ฝูหลิงกัดฟันและกางกรงเล็บเหมือนแมวป่า
ฝูหลิงรู้สึกโกรธและกล่าวว่า “พระองค์ปล่อยข้ากลับไปเถอะ! หม่อมฉันไม่กลับไปกับพระองค์ หม่อมฉันจะกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องการอยู่กับท่านปู่เพคะ!”
น้ำเสียงของเย่ซวิ่นมีการพูดเกลี้ยกล่อม “ท่านพ่อท่านแม่ของเจ้ายกเจ้าให้กับข้าแล้ว เจ้าจะยังกลับไปอีกทำไม? หากเจ้าคิดถึงพวกเขา กลับไปถึงข้าจะส่งคนมารับพวกเขาไปอยู่ที่เย่เหลียงดีไหม?”
ฝูหลิงกล่าวด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ไม่ดีเพคะ! หม่อมฉันไม่อยากไปแย่งกับผู้หญิงเหล่านั้น และหม่อมฉันก็ไม่อยากกลับไปเป็นหนึ่งในพระสนมของพระองค์!”
เย่ซวิ่นถาม “เจ้าสนใจกับการที่ข้าจะมีสนมเพิ่มงั้นหรือ?”
แค่คำเดียวก็หยุฝูหลิงเอาไว้ได้ และนางก็ไม่สามารถตอบได้ในตอนนั้น
อารมณ์ของเขาดีขึ้นมาก และเขาถามว่า “อันที่จริงเจ้าก็ชอบข้า ใช่ไหม?”
เย่ซวิ่นบังคับแขนของเขาให้โอบกอดนางเข้ามานั่งบนตักของเขาและกล่าวว่า “อย่าลืมว่าตอนนี้เจ้าเป็นองค์หญิงแล้ว และต้องกลับเย่เหลียงไปแต่งงานกับข้า นี่เป็นพระราชโองการที่ออกมาแล้ว หากเจ้าหนีกลับเมืองหลวงไปตอนนี้ งั้นก็เท่ากับกับว่าครอบครัวของเจ้าขัดขืนต่อพระราชโองการ และต้องได้รับโทษ”
ฝูหลิงเงียบไม่พูดอะไร
เย่ซวิ่นกล่าว “เมื่อเจ้าไปถึงเย่เหลียง เจ้าก็คือพระชายาของข้า เป็นภรรยาเอกของข้า เจ้าจะกลัวอะไร?”
หลังจากผ่านไปนาน ฝูหลิงก็กล่าวว่า “แต่หม่อมฉันตั้งครรภ์อยู่นะเพคะ”
เย่ซวิ่นหรี่ตาและกล่าวว่า “นั่นก็ยิ่งดีเลย รอให้ลูกของเราเกิดออกมา ก็ไม่ยิ่งมีใครมายแย่งตำแหน่งของเจ้าได้”
ฝูหลิงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ตั้งครรภ์ถึงสิบเดือน ผู้ชายอดทนกับความเหงาไม่ได้หรอกเพคะ ต้องมีอนุภรรยา ต่อไปพระองค์ก็ต้องแต่งตั้งพระสนม การมีพระสนมหรืออนุภรรยาเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับองค์ชายและตระกูลชนชั้นสูง แต่กับประชาชนธรรมดาอย่างหม่อมฉัน มีผู้ชายจำนวนมากที่แต่งงานกับผู้หญิงแค่คนเดียวและใช้ชีวิตด้วยกันไปตลอด หากหม่อมฉันจะแต่งงาน หม่อมฉันก็อยากจะแต่งกับผู้ชายแบบนั้นเพคะ”
ปรากฏว่าที่นางไม่ต้องการไปเย่เหลียงกับเขา ไม่เพียงแต่นางกลัวความเหลื่อมล้ำทางสถานะและตำแหน่งเท่านั้น นางยังรู้สึกโดดเดี่ยวและไร้หนทาง และนางกลัวการที่จะแบ่งปันผู้ชายกับผู้หญิงคนอื่นมากกว่า
นางยอมรับว่านางก็ชอบเขาอยู่นิดหน่อย ยิ่งตอนนี้นางถูกเขากอดและนั่งบนตักแบบนี้ นางก็รู้สึกมีความอ่อนหวานอยู่ในใจ
ครั้งนั้นที่อยู่ในพระตำหนักฉีเล่อ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เมื่อตอนที่เย่ซวิ่นจูบนาง จับต้องนาง นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจ
เย่ซวิ่นลูบไล้ไปทั่วร่างกายที่บอบบางของนาง และกลิ่นหอมของร่างกายของนางก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจมาก
เย่ซวิ่นไม่ต้องการให้นางรู้สึกไม่สบายใจ เขาจึงพูดว่า “ข้าจะไม่มีพระสนม”
ฝูหลิงไม่เชื่อ
เย่ซวิ่นยังกล่าวอีกว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าไม่มีอะไรดีเลย ต่อให้เป็นเช่นั้น เจ้าก็ยังมีทักษะทางด้านการรักษา และยังใช้เข็มเป็น หากตอนนั้นข้ามีพระสนมจริง มีหรือเจ้าจะยอมให้ข้ายกขึ้นมาได้อีก เจ้าจะต้องทำให้ข้าหดลงไป และไม่สนใจในตัวผู้หญิงอีกต่อไป”
ฝูหลิงกะพริบตาและมองมาที่เขา ดวงตาของนางเปียกชื้นและใบหน้าของนางก็แดงก่ำ
เย่ซวิ่นเห็นว่าคอของนางเกร็งอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า “หากยังมีใครบอกว่าเจ้าไม่สวย ไม่เคารพตัวเอง ข้าว่าก็ดีอยู่นะ”
ในท้ายที่สุด ฝูหลิงก็ไม่ได้ลงจากรถม้า และรถม้ายังคงเดินทางต่อไปทางทิศใต้
นางพิจารณาและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น งั้นหม่อมฉันก็จะลองไปเย่เหลียงกับพระองค์ หากพระองค์ผิดคำพูด หม่อมฉันก็จะทำให้พระองค์เงยศีรษะขึ้นไม่ได้อีก และหม่อมฉันก็จะออกจากเย่เหลียง พร้อมกับลูกของหม่อมฉัน และจะไม่มีวันยอมให้พระองค์หาหม่อมฉันเจออีกเลยเพคะ”
เย่ซวิ่นรู้สึกอบอุ่นใจมาก และกล่าวว่า “ได้สิ”
ความรู้สึกนี้ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ เขาไม่เคยมีมันมาก่อน
ปรากฏว่าการมีความรักสำหรับทั้งสองฝ่ายนั้นมีความสุขและสบายใจมากกว่าการคิดที่ปรารถนาเพียงฝ่ายเดียว
ตอนนี้เย่ซวิ่นพอจะเข้าใจอารมณ์ของเฉินเสียนเมื่อก่อนแล้ว หากไม่ใช่คนในใจคนนั้น ก็ยอมที่่จะอยู่คนเดียวดีกว่ามีใครก็ได้อย่างละเลย
หลังจากที่เย่ซวิ่นออกจากวังหลวงของต้าฉู่ แม้ว่าเฉินเสียนจะมีความรู้สึกหลากหลาย แต่เธอก็รู้สึกสดชื่น
นี่ถือได้ว่าเป็นการแก้ปัญหา และต่อไปก็เดินตามทางของตัวเองในอนาคต และไม่มีใครมาเสียเวลากับใครทั้งนั้น
เฉินเสียนพิงไปที่ขาของซูเจ๋อ และนั่งรับลมเย็นกับเขาใต้ต้นไม้ เธอรู้สึกว่าเสียนของจักจั่นในช่วงกลางฤดูร้อนนั้นไม่ทำให้ปวดหัวนัก แต่กลับเป็นเสียงที่น่าฟัง
เฉินเสียนหรี่ตาของเธอและถามว่า “ท่านรู้ไหมว่าโรคที่ยกไม่ขึ้นของเย่ซวิ่นเป็นมาอย่างไร?”
มือของซูเจ๋อลูบไปตามไรผมของเธอแล้วกล่าวว่า “โอ้ เดิมทีแล้วเขายกไม่ขึ้นหรือ?”
เฉินเสียนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย “ท่านไม่รู้จริง ๆ หรือ?” และเธอก็ไม่ได้ถามเขาต่อ
หลังจากเข้าฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็ค่อย ๆ เย็นลง
เฉินเสียนต้องการให้ซูเซี่ยนออกกำลังกายบ่อยขึ้นหลังเลิกเรียน แม้ว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีศิลปะการต่อสู้มากนัก แต่เขาก็ยังต้องการรู้ศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานบ้างเล็กน้อย
ดังนั้นเฉินเสียนจึงสอนซูเซี่ยนให้ฝึกชกมวยกับหุ่นไม้ฝึกมวยแทบจะทุกวัน
หุ่นไม้สามารถหมุนได้ เพียงแค่ใช้กำลังออกแรงไปบนหุ่นไม้ หุ่นไม้ถูกโจมตีโดยซูเซี่ยน เขาตอบสนองได้อย่างยืดหยุ่นมาก แต่เขายังไม่ถึงจุดที่สมบูรณ์แบบ และบางครั้งเขาจะถูกหุ่นไม้ดีดกลับมาบนมือของเขา และรอยแดงจะปรากฏขึ้นเมื่อเขาชกมวย
ซูเซี่ยนเหงื่อออกจากการฝึกซ้อม และเขาไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ซูเจ๋อนั่งมองอยู่ข้าง ๆ ด้วยความสนอกสนใจ
เมื่อซูเซี่ยนพักผ่อน เฉินเสียนมองไปที่ซูเจ๋อแล้วกล่าวว่า “ท่านจะลองฝึกด้วยไหม?”
หุ่นไม้นี้ฝึกมวยนี้ซูเจ๋อเคยสอนเธอเมื่อครั้งอดีต หากให้ซูเจ๋อลองชกต่อยดู ไม่แน่อาจจะช่วยทำให้เขาจำเรื่องราวในอดีตได้บ้าง