ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 76 วันแห่งความโกลาหล
เธอรู้ดีว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ของลูกของฉินหรูเหลียง เก็บเอาไว้ก็มีอันตราย วันข้างหน้าหากเรื่องแดงขึ้นมา จะนึกเสียใจก็สายเกินไปเสียแล้ว
ตั้งแต่ตั้งครรภ์ยันคลอดใช้เวลาราวสิบเดือน หากนางไม่ใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับฉินหรูเหลียง หลังจากสิบเดือนไปแล้ว ฉินหรูเหลียงคงจะลืมนางเสียสนิทใจแล้วมั้ง
เพราะฉะนั้นเด็กในท้องของเซียงซั่น จะเป็นภาระในภายภาคหน้าได้
ตอนนี้เซียงซั่นเป็นภรรยาคนที่สามแล้ว ดังนั้นเด็กคนนี้ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป
เซียงซั่นแต่งเนื้อแต่งตัว ดูมีเสน่ห์เย้ายวน จากนั้นก็ไปที่ริมทะเลสาบเพื่อเจอกับหลิ่วเหมยอู่
เมื่อเทียบกันแล้ว หลิ่วเหมยอู่แล้วจืดชืดไปเลย เซียงซั่นดูเปล่งประกายแพรวพราว ทำให้หลิ่วเหมยอู่หมั่นไส้ไม่น้อย
เซียงซั่นหย่อนตัวนั่งลง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ได้ยินมาว่านายหญิงรองต้องการเจอข้า”
ตอนนี้นางไม่ใช้คำพูดนายบ่าวกับหลิ่วเหมยอู่แล้ว
หลิ่วเหมยอู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที กัดฟันแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เซียงซั่น ข้าประเมินเจ้าต่ำไปสินะ นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมีวันที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้”
“เรื่องนี้คงต้องยกความดีความชอบให้นายหญิงรองแล้ว”
หลิ่วเหมยอู่ไม่อยากเสียเวลาต่อปากต่อคำกับนาง จึงพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม : “ใบหน้าของเจ้าหายดีได้อย่างไร?!”
ไม่รอให้เซียงซั่นได้ตอบ หลิ่วเหมยอู่ก็พูดต่ออย่างรีบร้อน : “เป็นเพราะเฉินเสียนใช่หรือไม่?! เจ้าอยู่ฝ่ายเดียวกันกับนางตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นนางจะช่วยเจ้าถึงสามครั้งได้อย่างไร แล้วครั้งนี้จะช่วยเจ้าขึ้นเป็นภรรยาคนที่สามได้อย่างไร!”
หลิ่วเหมยอู่ค่อยๆ นึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ในคืนที่ฉินหรูเหลียงอยู่กับเซียงซั่น เฉินเสียนคงไม่ได้แค่บังเอิญเดินไปเจอเข้าอย่างแน่นอน
ทุกอย่างเป็นแผนที่เฉินเสียนวางไว้ตั้งแต่แรก
เซียงซั่นเห็นสีหน้าท่าทางของหลิ่วเหมยอู่ที่เกลียดชังจนเหมือนจะบ้าคลั่งขึ้นมา เซียงซั่นจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าใช่แล้วจะทำไม ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ดูเหมือนท่านจะทำให้องค์หญิงไม่พึงพอใจเข้า ถึงขั้นให้ข้ามาข่มท่านเชียว”
สิ่งที่หลิ่วเหมยอู่จะนึกขึ้นได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแมวที่ตายไปตัวนั้น
เป็นเพราะแมวตัวนั้นตัวเดียว เฉินเสียนจึงได้แก้แค้นนาง ไม่ใช่เพียงแค่พรากความรักของนางไป แต่ยังให้นางมองสิ่งที่นางกำลังสูญเสียไปทีละอย่างต่อหน้าต่อตาช้าๆ
หลิ่วเหมยอู่เงื้อมือขึ้น เอาความเกลียดชังทั้งหมดโยนไปที่เซียงซั่นเพียงผู้เดียว จากนั้นก็ตบไปเต็มแรง : “นังเนรคุณ! เสียดายที่เมื่อก่อนข้าดีกับเจ้าขนาดนั้น!”
เซียงซั่นผลักคืน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านดีกับข้าอย่างงั้นรึ? ท่านดีกับข้าแล้วทำไมถึงให้คนอื่นมาแทนที่ข้า ทำไมถึงบังคับให้ข้ากรีดหน้าตัวเองจนเสียโฉม?
ลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าเคยทุ่มเทเพื่อท่านแค่ไหน มันเป็นเพราะท่านเองที่ทำผิดต่อข้าก่อน
ข้ามีวันนี้ได้ ทั้งหมดนี้ ท่านเองที่เป็นคนยัดเยียดทุกอย่างให้กับข้า ไม่รู้ว่าข้าควรจะเกลียดท่านหรือขอบคุณท่านดี”
หลิ่วเหมยอู่จิกจนเล็บหัก หัวเราะเสียงแหลมดังลั่น : “เซียงซั่น เจ้าอย่าลืมว่าเจ้าเคยใช้วิธีไหนปีนขึ้นบนเตียงของท่านแม่ทัพ ไม่กลัวว่าข้าจะแฉเรื่องนี้ออกไปหรืออย่างไร?”
เซียงซั่นยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งั้นก่อนหน้านี้ท่านเองก็ทำเรื่องเลวร้ายไว้ไม่ใช่น้อยๆ หากท่านแม่ทัพรู้ว่าจิตใจของท่านโหดเหี้ยมและสกปรกแค่ไหน ท่านแม่ทัพจะรู้สึกยังไงกัน”
นี่คือสิ่งที่เฉินเสียนสอนนางไว้ ว่านางไม่จำเป็นต้องกลัวหลิ่วเหมยอู่ หลิ่วเหมยอู่ขู่นาง นางก็แค่ต้องขู่กลับ
หลิ่วเหมยอู่สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เป็นครั้งแรกที่เซียงซั่นรู้สึกว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า
หลิ่วเหมยอู่สั่นเทาไปทั้งตัว และกำลังจะขาดสติ นางมองหน้าเซียงซั่นตาไม่กะพริบ อยากจะฉีกนางให้ขาดเป็นชิ้นๆ และไม่อยากจะสนอะไรทั้งนั้น
จนสุดท้ายหลิ่วเหมยอู่ก็หมดความอดทนลง เดินเข้าไปลงมือทันที : “นังทาสชั้นต่ำ ไปตายซะ!”
พอบ่าวรับใช้ที่ศาลาได้สติ หลิ่วเหมยอู่ก็กำลังตีกันกับเซียงซั่นแล้ว
ยังไม่ทันจะได้เข้าไปห้าม ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นว่ามีคนตกน้ำ
หลิ่วเหมยอู่ยืนอยู่ข้างศาลาด้วยความคลุ้มคลั่ง ดูร่างที่กำลังตะเกียกตะกายอยู่ในทะเลสาบอย่างสะใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “จมน้ำให้ตายไปซะ นังผู้หญิงสำส่อน ข้าจะคอยดู ว่าเจ้าจะไปให้ท่าท่านแม่ทัพยังไง!”
เหลียนชิงโจวบอกว่าอีกสองวันเป็นวันเกิดของเขา
เฉินเสียนนึกในใจ ยังไงก็หากินกับเขามาตั้งนานแล้ว ในวันเกิดของเขาก็ควรจะมีอะไรสักนิดหน่อยก็ยังดี
แต่คนคนนั้นไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน สิ่งที่เงินซื้อได้ เขาก็หาได้ไม่ยาก
เหลียนชิงโจวเชิญเฉินเสียนมาทานมื้อค่ำ และได้ส่งเทียบเชิญมาแล้ว
และเวลานี้เฉินเสียนเองก็ว่างไม่มีอะไรทำ จึงไปวนเวียนในห้องครัวอยู่พักใหญ่ เห็นว่าในห้องครัวมีนมอยู่ จึงตัดสินใจจะทำเค้กให้เหลียนชิงโจว
สาวใช้ในห้องครัวถูกเรียกให้มาช่วยตีไข่ ยิ่งตีเร็วยิ่งดี เหนื่อยแล้วก็เปลี่ยนคนเปลี่ยนมือ
เวลานี้ เรื่องที่เซียงซั่นได้ตกลงไปในทะเลสาบ ทำเอาวุ่นวายไปทั้งจวน
อวี้เยี่ยนวิ่งหน้าตื่นเข้ามาจากด้านนอก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “องค์หญิง หลิ่วเหมยอู่กับเซียงซั่นตีกันอยู่ที่ศาลาริมทะเลสาบ หลิ่วเหมยอู่ผลักเซียงซั่นตกลงไปในทะเลสาบ และเซียงซั่นเองแท้งลูกไปแล้ว”
เมื่อเฉินเสียนได้ยินแล้วก็ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด เธอเพียงแค่เลิกคิ้วขึ้นสูง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เป็นละครที่น่าสนุก เสียดายที่องค์หญิงไม่มีเวลาไปรับชม”
อวี้เยี่ยนที่ยังตื่นตูมไม่หาย : “ได้ยินมาว่าตีกันรุนแรงมาก หลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่ว่าร่างกายอ่อนแอหรอกหรือ บทจะตีขึ้นมาก็ทำเอาเซียงซั่นเกือบตาย”
จากนั้นเรื่องที่ทั้งคู่ตบตีกันก็ถูกเล่าสู่กันฟังปากต่อปาก
“ฮวงจุ้ยปรับเปลี่ยนหมุนเวียนเร็วมาก ไม่คิดเลยว่าจะเร็วขนาดนี้” เฉินเสียนยิ้มขึ้นที่มุมปาก : “จากนี้ไปวันแห่งความโกลาหลของจวนท่านแม่ทัพจะเริ่มขึ้นแล้ว”
เวลานี้ เฉินเสียนยุ่งจนหัวหมุนอยู่ในห้องครัว องค์หญิงเข้าครัวเอง สาวใช้ในครัวต่างพากันแปลกประหลาดใจ นานๆ ทีจะมีช่วงเวลาคึกคักแบบนี้
ส่วนเซียงซั่นที่อยู่ในสวนไม่ได้ยินดีปรีดาด้วย
ลูกก็เสียไปแล้ว ความสุขกลายเป็นทุกข์ฉับพลัน บรรยากาศในสวนเต็มไปด้วยความเยือกเย็น
หลิ่วเหมยอู่คิดว่าคงเป็นเหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมา เพียงแค่ร้องไห้สำนึกผิดทุกอย่างก็จะผ่านไปอย่างง่ายดาย
นึกไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้ฉินหรูเหลียงไม่ได้โมโหใส่นาง แต่กลับชักสีหน้าเย็นชาให้นางเป็นครั้งแรก เดินผ่านนางไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ในใจของฉินหรูเหลียง ไม่ว่ายังไง ครั้งนี้ หลิ่วเหมยอู่ได้ฆ่าลูกของเขาไป
ฉินหรูเหลียงอารมณ์จิตใจย่ำแย่ เขาเดินออกจากเรือนไม่ไกลมาก ก็ได้ยินบ่าวรับใช้วิ่งหน้าตั้งมารายงาน : “ท่านแม่ทัพ แย่แล้ว! ห้องครัวไฟไหม้แล้ว!”
ฉินหรูเหลียงนวดขมับพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ห้องครัวไฟไม่ได้ยังไง?”
“เป็นเพราะองค์… องค์หญิงเข้าครัวด้วยตัวเอง……จึงทำให้ห้องครัวไฟไหม้อย่างไม่ตั้งใจ!”
ครั้งนี้ฉินหรูเหลียงเส้นประสาทแทบจะระเบิด กดนวดยังไงก็เอาไม่อยู่แล้ว เขาพุ่งตรงไปที่ห้องครัวโดยทันที
อากาศร้อนอบอ้าวและแห้งกร้านขนาดนี้ ห้องครัวยังจะมาไฟไหม้อีก หากไฟไหม้แล้วก็ยากจะควบคุมไฟได้
เมื่อฉินหรูเหลียงไปถึงห้องตรัวแล้ว ตอนนี้ห้องครัวดำเป็นเตาถ่าน ฉินหรูเหลียงเหมือนเห็นก้อนอะไรบางอย่างกำลังล้มลุกคลุกคลานออกมาจากห้องครัว
“องค์หญิง ระวังเพคะ!” คนที่พูดก็คืออวี้เยี่ยนที่ดำไปทั้งตัว เพราะไม่ทันได้ระวังตัวเอง มัวแต่เป็นห่วงเฉินเสียนว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า
ก้อนกลมๆ สีดำสนิทอีกก้อนนั้นก็คือเฉินเสียน
เฉินเสียนเองก็ดำไปทั้งตัว เธอลูบหน้าอย่างไม่สนใจ บนใบหน้าเต็มไปด้วยถ่านสีดำ ราวกับว่าคว่ำหม้อดำๆ ลงบนหัวก็ไม่ปาน
เธอกอดอะไรบางอย่างไว้ในอ้อมแขน เมื่อก้มหน้าลงมองสิ่งที่อยู่ในอ้อมแขนก็เห็นว่ายังอยู่ดี จึงพากันหัวเราะขึ้นมา
เมื่อหัวเราะขึ้นก็เห็นเพียงแค่ฟันสีขาวที่เด่นชัด
เฉินเสียนพูดขึ้นว่า : “ก็ยังถือว่าสำเร็จแล้วไม่ใช่รึ? ลองทำตั้งหลายครั้ง ในที่สุดก็ได้เค้กที่พอเป็นรูปเป็นร่าง”
อวี้เยี่ยนหดตัว เหลือบไปมองบ่าวที่ช่วยกันดับไฟ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “แต่ดูเหมือนว่าเราจะทำห้องครัวไหม้หมดแล้ว……”