ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 77 ตั้งใจเมินใส่เขา
“ชูวว!” เฉินเสียนจุปาก : “อย่าพูดไปเรื่อยสิ พูดแบบนี้เท่ากับหาเหาใส่หัวตัวเองรู้หรือไม่? เราไม่ได้เป็นคนเผาห้องครัวเสียหน่อย ฟืนมันหล่นลงมาจากเตาเอง เกี่ยวอะไรกับเรากันเล่า? ถือโอกาสที่ทุกคนกำลังช่วยกันดับไฟ เรารีบไปกันเถอะ!”
เสียงซุบซิบคุยกันของนายบ่าวคู่นี้ เข้าหูฉินหรูเหลียงทุกคำ
ถ้าเกิดเขาไม่ได้ยินเองกับหู บางทีเขาอาจจะไม่โกรธขนาดนี้
ผู้หญิงคนนี้ เผาทั้งห้องครัวแล้ว ทำผิดยังคิดจะบ่ายเบี่ยงหลบหนี
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังเตรียมตัวจะหนีนั้น ยังไม่ทันจะก้าวขา ก็เห็นเข้ากับเงาๆ หนึ่งปรากฏขึ้นด้านหน้าของเธอ กลิ่นไอความเย็นยะเยือกนี้ เกิดขึ้นในฤดูร้อนอย่างน่าแปลกใจ
เฉินเสียนที่ดำไปทั้งหน้า ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นไปมอง
ก็เจอเข้ากับฉินหรูเหลียง ฉินหรูเหลียงที่ใบหน้าไม่ได้ดำ แต่กลับรู้สึกว่าดำมืดยิ่งกว่าใบหน้าของเธอเสียอีก……
ใบหน้าของฉินหรูเหลียงในตอนนี้น่ากลัวเสียยิ่งกว่าภูตผีปีศาจ เขาจ้องตาเขม็งมายังเฉินเสียน : “ได้ยินมาว่าท่านเผาห้องครัว แล้วตอนนี้ก็กำลังคิดจะหนี?”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แปลกประหลาดใจ : “โอ๊ะโอ ได้ยินมาว่าเซียงซั่นกับหลิ่วเหมยอู่ตีกันรุนแรงมาก ดูเหมือนอีกคนจะแท้งลูกไปแล้ว ท่านแม่ทัพฉิน แต่ดูเหมือนท่านจะยังว่างเดินเล่นไปทั่วนะ?”
เฉินเสียนชอบโรยเกลือลงบนแผลของเขาเสมอ
“ดูแล้วท่านคงไม่ได้สำนึกในความผิดแม้แต่นิดเดียวสินะ!”
เฉินเสียนตอบกลับเสียงฉุนจัด : “ห้องครัวก็เอาไว้จุดไฟอยู่แล้ว ข้าก็แค่เข้าไปเพียงเดี๋ยวเดียว แล้วจู่ๆ ไฟมันก็ไหม้ขึ้นมาเอง ข้าจะทำยังไงได้ล่ะ? ดีที่ข้าแคล้วคลาดปลอดภัย ก็แค่ความซวยซ้อนความซวย ทำอย่างกับว่าห้องครัวไม่กี่ห้องจะสำคัญกว่าชีวิตข้าอย่างนั้นแหละ?”
ฉินหรูเหลียงหัวเราะด้วยความโกรธ : “ท่านหลงตัวเองให้มันน้อยๆ หน่อย”
เฉินเสียนเอียงคอ ยิ้มเจื่อน : “ข้าจะหลงตัวเองแบบนี้ แล้วท่านจะทำไม?”
ฉินหรูเหลียงสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่ จ้องไปยังเค้กที่อยู่ในแขนของเฉินเสียน แล้วจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “นั่นคืออะไร?”
เฉินเสียนตอบด้วยสีหน้าแววตาที่นิ่งและสุขุม : “เค้กวันเกิดที่ทำให้จิ้งจอกเหลียนของเรา หลบหน่อย ข้าจะรีบไปส่งเค้กที่บ้านของเหลียนชิงโจว”
ฉินหรูเหลียงเดือดจัดขึ้นมาทันที : “เพื่อจะทำสิ่งนี้ ถึงขั้นเผาห้องครัว? เรื่องเผาห้องครัวก็อีกเรื่องหนึ่ง แล้วนี่ท่านยังจะไปสังสรรค์วันเกิดของชายผู้อื่นอีกรึ?”
เฉินเสียนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : “ก็เพื่อจะสังสรรค์วันเกิดของจิ้งจอกเหลียนนี่แหละ ข้าถึงได้ทำแบบนี้”
ฉินหรูเหลียงรู้สึกเหมือนว่าปอดของตัวเขาจะระเบิดเสียให้ได้ : “รอให้เทียบค่าเสียหายของห้องครัวตามบทลงโทษของกฎหมายในบ้านก่อน จะไปก็ค่อยไป! ข้าจะดูว่าท่านยังจะเหลือขาข้างไหนให้ก้าวออกจากประตูจวนนี้ได้อีก”
เพียงครู่เดียวพ่อบ้านก็มาถึง ฉินหรูเหลียงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “องค์หญิงเผาห้องครัว ตามกฎหมายของบ้านแล้วจะต้องจัดการยังไง?”
เมื่อพ่อบ้านได้ทำความเข้าใจกับเหตุการณ์แล้ว จึงพูดขึ้นด้วยอาการสั่นเล็กน้อย : “เรียนท่านแม่ทัพ บ่าวได้ยินมาว่าองค์หญิงเข้าครัวเองจึงทำให้ห้องครัวไฟไหม้ ขอเพียงแค่องค์หญิงไม่เป็นอะไร……แค่นี้ก็ดีแล้วขอรับ”
ฉินหรูเหลียงส่งสายตาคมกริบดุจใบมีด
พ่อบ้านจึงรีบปาดเหงื่อพร้อมกับพูดต่อว่า : “หากองค์หญิงมีกำลังที่จะสามารถซ่อมแซมห้องครัวได้……ก็ไม่ต้องถูกลงโทษขอรับ”
เฉินเสียนยิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อันนี้ง่ายมาก พ่อบ้าน เดี๋ยวเจ้าไปเบิกเงินที่ห้องฝ่ายบัญชี แล้วก็นำมันไปซ่อมแซมห้องครัว”
ฉินหรูเหลียงแววตาดุดันราวกับว่าจะกินคนเสียให้ได้ : “เฉินเสียน หมายถึงให้ท่านเป็นคนออกเงินส่วนนี้ ไม่ใช่ให้ไปเบิกเงินที่ห้องฝ่ายบัญชี!”
เฉินเสียนรีบตอบกลับไปว่า : “แบบนี้ไม่ได้สิ ข้าคือภรรยาของท่านแม่ทัพ เงินของท่านก็เท่ากับเงินของข้า นี่เป็นสมบัติร่วมระหว่างสามีภรรยา”
ฉินหรูเหลียงพูดอะไรไม่ออก : “……” หมายความว่าผู้หญิงคนนี้เผาห้องครัวแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ต้องถูกลงโทษ แล้วยังจะต้องให้เขาเป็นคนออกเงินซ่อมแซม และนางเองเข้าครัวด้วยตัวเองเพื่อจะทำของกินไปให้กับชายผู้อื่น?
เมื่อเห็นเฉินเสียนดึงแขนของอวี้เยี่ยนพากันเดินออกไป ฉินหรูเหลียงจึงออกคำสั่งว่า : “ตีขาของผู้หญิงคนนี้ให้หัก!”
แต่แล้วก็ไม่มีใครกล้าออกมาตีแม้แต่คนเดียว
พ่อบ้านพูดขึ้นเหงื่อตก : “ท่านแม่ทัพ องค์หญิงกำลังตั้งครรภ์……หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะไม่น่าฟังขอรับ……”
เฉินเสียนจู่ๆ ก็ชี้ไปทางด้านหลังของฉินหรูเหลียง พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “นั่นอะไรน่ะ?”
ฉินหรูเหลียงหันหน้าไปดู แต่กลับไม่เห็นอะไร
พอเขาหันหน้ากลับมา เฉินเสียนได้พาอวี้เยี่ยนวิ่งไปไกลแล้ว พวกบ่าวรับใช้ต่างพากันเงียบสนิท ไม่มีใครกล้าส่งเสียง
“เฉินเสียน หยุดอยู่ตรงนั้น!” ฉินหรูเหลียงตะโกนด้วยความโกรธ
“ท่านแม่ทัพ ดับเพลิงสำคัญกว่า ดับเพลิงสำคัญกว่า!”
เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนพากันวิ่งทุลักทุเลกลับถึงสวนสระวสันตฤดู เหงื่อท่วมตัวราวกับอาบน้ำมายังไงอย่างงั้น หลังจากนั้นก็เปลี่ยนชุดกระโปรงสะอาดสีลูกท้อ
ได้ยินมาว่าเกี้ยวของเหลียนชิงโจวมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว เฉินเสียนนำเค้กใส่เข้าไปในกล่อง แล้วพาอวี้เยี่ยนออกจากสวนสระวสันตฤดูด้วย
ฉินหรูเหลียงเวลานี้ได้เข้ามาขวางอยู่ที่ห้องโถงใหญ่
นี่มันก็ค่ำแล้ว ห้องครัวก็ไฟไหม้ และในจวนท่านแม่ทัพก็ยังไม่ทันได้ทำอาหาร
ฉินหรูเหลียงจ้องไปยังกล่องของกินของเฉินเสียน พูดขึ้นด้วยเสียงขรึม : “เอาของที่ท่านทำไว้ที่นี่”
เฉินเสียนหัวเราะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “คืนนี้คงไม่ได้กินข้าวสินะ? งั้นก็ขอโทษด้วย ข้าอดได้ แต่เด็กในท้องห้ามอด เพราะฉะนั้นข้าจะรีบไปทานมื้อค่ำที่งานเลี้ยงแล้ว”
“เฉินเสียน หากวันนี้ท่านกล้าออกจากบ้านไปแม้แต่ก้าวเดียว ก็อย่าได้กลับมาที่นี่อีก” ฉินหรูเหลียงพูดขึ้นตามหลัง
เฉินเสียนหยุดเดิน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : “งั้นคืนนี้ข้าก็จะไม่กลับมา” เธอหมุนตัวหันกลับไปมองเขาด้วยสีหน้าที่เย็นชา : “ท่านแม่ทัพ ท่านใช้ชีวิตของท่าน ข้าก็จะใช้ชีวิตของข้า อย่ามาก้าวก่ายข้าอีก ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่ไว้หน้าท่านแล้วนะ”
เธอเหลือบตามองเขา ยิ้มขึ้นที่มุมปาก ใบหน้าของเธอถูกย้อมไปด้วยแสงสีแดงของพระอาทิตย์อัสดง แล้วจึงหันหน้ากลับไป : “ไม่เช่นนั้น ผู้หญิงทั้งสามจะถูกมัดรวมอยู่ในละครเรื่องเดียว ข้าจะทำให้ท่านสิ้นหวังอย่างสุดซึ้ง”
ฉินหรูเหลียงมองแผ่นหลังของนางที่เดินออกจากประตูใหญ่ไปจนลับตา จึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา
นางเมินใส่เขาเสมอ
ฉินหรูเหลียงรู้สึกว่าตัวเองกินยาผิดรึไงกันนะ ต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกันก็ดีอยู่แล้วนี่ เฉินเสียนจะไปที่ไหน จะไปทำอะไร เขาไม่จำเป็นต้องห่วงเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วทำไมตอนนี้ถึงอยากจะไปยุ่งเรื่องของนางนักล่ะ?
เขาคิดว่า อาจจะเป็นเพราะกลัวว่าเฉินเสียนจะไปก่อความวุ่นวายให้เขาอับอายขายหน้าได้
แต่คนที่จะขายหน้าก็ควรจะเป็นเฉินเสียนที่ขาดพื้นฐานจริยธรรมและเป็นผู้ถูกวิพากษ์วิจารณ์สิถึงจะถูก
แต่เมื่อคิดแบบนี้แล้ว ฉินหรูเหลียงก็ยังรู้สึกโกรธไม่หาย
“องค์หญิง รู้สึกว่าท่านแม่ทัพจะใส่ใจเรื่องที่องค์หญิงออกมาหาคุณชายเหลียนมากนะเพคะ”
“เขากลัวว่าข้าจะไปสร้างเรื่องสร้างราวขายหน้าไว้ข้างนอกน่ะสิ” เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างโกรธแค้น : “เพียงแต่ตอนนี้ข้าไม่มีเงินเพียงพอที่จะไปทุ่มให้ผู้ชาย ไม่อย่างนั้นข้าจะสวมเขาให้เสียจนนับไม่ถ้วน”
อวี้เยี่ยนกลอกตามองบน : “องค์หญิงยังจะคิดเลี้ยงผู้ชายอีกหรือเพคะ องค์หญิงอย่าสอนเด็กในท้องให้เสียผู้เสียคนเชียวนะเพคะ”
ในตอนแรกเธอคิดว่าที่งานเลี้ยงบ้านเหลียนชิงโจวคงจะเริ่มมีแขกทยอยมาแล้วไม่น้อย นึกไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีแม้แต่คนเดียว มันช่างรู้สึกเหงาและเงียบสงัดจริงๆ
ในห้องอาหารมีตะเกียงเปลวไฟสีเหลืองทองสว่างไสว คนรับใช้กำลังจัดเรียงอาหารมื้อค่ำบนโต๊ะ ดูไปแล้วแต่ละอย่างเป็นของโปรดของเฉินเสียนทั้งนั้น
“ทำไมถึงไม่เชิญญาติสนิทมิตรสหายมาด้วย?” เฉินเสียนถามขึ้น
เหลียนชิงโจวตอบกลับด้วยท่วงท่าที่สง่างาม : “กลางเมืองหลวงนี้นอกจากองค์หญิงแล้ว กระหม่อมก็ไม่มีมิตรสหายอื่นอีก”
คนที่คบค้าสมาคมกับเหลียนชิงโจวก็ไม่ใช่จะน้อยๆ เพียงแต่ว่าคืนนี้เขาต้องการเชิญเฉินเสียนเพียงแค่คนเดียว เพื่อนเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมาปรากฏตัวอยู่ในงานค่ำคืนนี้
“บ้านของเจ้ามีลูกเชอร์รี่หรือไม่?”