ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 89 นั่นคือลักษณะที่เขาชอบ
เจ้ารองหัวหน้ายิ้มเยาะ “ข้าควรจะขอบใจเจ้าสินะที่ช่วยกำจัดอุปสรรคชิ้นโตให้ เมื่อพี่ใหญ่ตาย ข้าก็จะกลายเป็นพี่ใหญ่คุมภูเขาแห่งนี้ถูกต้องไหม”
เขาพูดพลางเอื้อมมือไปดึงกระโปรงของเฉินเสียน พยายามจะรุกรานเธอจากทางด้านหลัง
เฉินเสียนถูกกดลงบนเตียงและขยับตัวไม่ได้ ทว่าขาของเธอยังมีแรง เธอยกขาขึ้นด้านหลังและใช้ส้นเท้ากระแทกไปที่หว่างขาของเขาอย่างแรง
เจ้ารองหัวหน้าเซถอยหลัง เมื่อเฉินเสียนดิ้นรนจนเป็นอิสระเธอก็รีบคว้าม้านั่งเล็กๆ ข้างตัวทุบไปที่ใบหน้าของเขา
เจ้ารองหัวหน้าเบี่ยงหลบได้ทัน ม้านั่งนั้นจึงกระแทกลงไปที่บานประตู ทันใดนั้นประตูก็พังลงไปครึ่งบาน
คนที่บุกขึ้นมา ขึ้นมาถึงยอดเขาแล้ว
ผ่านกรอบประตูนั้น เสียงโห่ร้องของพวกโจรภูเขาที่ต่อสู้อยู่ข้างนอกฟังดูรุนแรงขึ้น เปลวไฟลุกโชนสว่างไสวไปทั่วทุกแห่ง
สิ่งนี้ทำให้สีหน้าของเจ้ารองหัวหน้าเปลี่ยนไป
ไม่ใช่ว่ามีคนบุกขึ้นมาบนภูเขาเพียงคนเดียวหรอกรึ เหตุใดจึงทำให้การต่อสู้ลุกลามใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้
ขณะที่รองหัวหน้ากำลังจะออกไปดู โจรภูเขาคนหนึ่งก็ถูกโยนเข้ามา มันอยู่ในสภาพจมกองเลือดและตายอนาถอยู่ตรงประตู
เฉินเสียนฉวยโอกาสนี้รีบก้มลงไปหยิบลูกดอกที่อยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบปัดตะเกียงบนโต๊ะให้ล้มลงจนเกิดเสียงโครมคราม น้ำมันตะเกียงสาดกระเซ็นไปทั่วโต๊ะ
ความขุ่นเคืองฉายอยู่บนใบหน้าของเจ้ารองหัวหน้า แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลามาสนใจผู้หญิงที่ชื่อเฉินเสียน เฉินเสียนเพิ่งจุดไฟเผาห้อง และเขาก็ต่อสู้กับเธอในห้องนี้ต่อไม่ได้แล้ว
ด้วยเหตุนี้เขาจึงหันหนีแล้วรีบถลันออกไป
เปลวเพลิงที่อยู่ด้านหลังยิ่งโหมกระหน่ำ ส่องสว่างจนเห็นใบหน้าของเฉินเสียนชัดขึ้น
บนใบหน้าของเธอมีทั้งเหงื่อและเลือด เส้นผมเปียกๆ แนบติดอยู่บริเวณขมับ นัยน์ตาเปล่งประกายด้วยแสงสะท้อนวูบวาบ
เธอเดินออกมาจากห้องอย่างช้าๆ และหยุดอยู่ที่หน้าประตู ก้มลงมองโจรภูเขาที่ตายอย่างอเนจอนาถ จากนั้นจึงก้มตัวลงเงียบๆ แล้วหยิบมีดที่หลุดออกมาจากมือของเขาขึ้นมา
เธอยืนอยู่ที่หน้าประตูและเงยหน้ามองออกไป
เกิดความโกลาหลบนยอดเขากว้างแห่งนี้ มีศพนอนเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้นพร้อมกับรอยเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่ทุกหนทุกแห่ง สภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าน่าสลดยิ่งกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในตรอก
แต่เฉินเสียนก็ตระหนักได้ว่าเธอแทบจะคุ้นเคยกับมันแล้ว
ประกายไฟเล็กๆ ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนจะหายวับไปอย่างรวดเร็ว
ชายกระโปรงของเธอลู่ไปตามลมภูเขา เส้นผมปลิวไสวอยู่ท่ามกลางแสงเพลิง
ยากที่จะจินตนาการว่าสภาพอันน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นบนยอดเขาเป็นฝีมือของคนเพียงคนเดียว
แท้จริงแล้วเขาเป็นคนแบบไหนกัน?
เฉินเสียนหรี่ตามองชายหนุ่มชุดดำที่กำลังโรมรันพันตูอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของโจรภูเขาที่เหลืออยู่
เขาถือดาบไว้ในมือที่ขาวเนียน แสงของเปลวไฟส่องให้เห็นโครงร่างครึ่งหนึ่งของเขา แต่ทำให้ดวงตาของเขาสว่างขึ้นไม่ได้
ภายในดวงตาเรียวยาวคู่นั้นเต็มไปด้วยจิตสังหารอันปั่นป่วนดั่งเสียงคำรามของภูเขาและการถาโถมของคลื่นยักษ์ เขาตวัดดาบสังหารโจรภูเขาคนแล้วคนเล่าให้ล้มลงแทบเท้าราวกับมดปลวก
เลือดอุ่นๆ กระเซ็นมาติดอยู่ที่หางตาของเขา เขาต่อสู้ฆ่าฟันในทุ่งสังหารด้วยมือแค่ข้างเดียว
เจ้ารองหัวหน้าคนนั้นฉวยโอกาสตอนที่เขากำลังพัวพันอยู่กับโจรภูเขาที่ยังเหลืออยู่ โจมตีเข้าไปจากทางด้านข้าง
รองหัวหน้าคนนี้มีฝีมือในการต่อสู้เก่งกาจกว่าหัวหน้าโจรภูเขาผู้นั้น เขาพอจะต่อกรกับชายหนุ่มในชุดดำได้
แต่ขณะที่กำลังจะเปลี่ยนกระบวนท่า ดาบที่ถืออยู่ในมือยังไม่ทันตวัดออกไป ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็หนักอึ้ง
เขาก้มลงมองที่หน้าอกของตัวเองและเห็นปลายมีดส่องประกายวาววับปักอยู่ มันปักทะลุหน้าอกมาจากทางด้านหลัง
มีดเล่มนี้พุ่งมาจากข้างหลัง
เจ้ารองหัวหน้าล้มลงไปกองกับพื้นทันที
ซูเจ๋อเงยหน้ามองไปตามทิศทางนั้น เขาเห็นสตรีท้องป่องยืนอยู่ที่หน้าห้องด้วยสภาพที่เหน็ดเหนื่อย
ที่ข้างหลังเธอเปลวไฟกำลังลุกโหมราวกับเสียงเพลง พัดแขนเสื้อและชายกระโปรงของเธอให้หวิวไหวไปมา
เธอยืดหลังตรง ดูเต็มไปด้วยพิษสงและความทระนง
แม้ว่าซูเจ๋อจะรู้ว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วและไม่เป็นเหมือนในอดีต แต่ฉากที่เห็นในค่ำคืนนี้ก็ได้สลักลงไปในใจของเขา
เฉินเสียนในสายตาของเขา ในที่สุดก็เติบโตและกลายเป็นคนที่มีลักษณะแบบที่เขาชอบ
มีดที่พุ่งเข้ามาเมื่อครู่นี้เป็นฝีมือของเฉินเสียน นั่นแสดงให้เห็นว่าเธอเชื่อมั่นในตนเองมาก ทั้งยังจู่โจมได้ตรงเป้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว มีเอกลักษณ์และมีอำนาจเหนือใครในหมู่สตรี
ซูเจ๋อหมุนตัวและเดินตรงเข้าไปหาเธอ
โจรภูเขาคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ยังฝืนลุกขึ้นมา มันถือมีดไว้และหวังจะฟันเขาจากทางด้านหลัง
เฉินเสียนใจหายวาบแทนเขา
ทว่าเขาไม่ได้หันหลังกลับไป เพียงแต่ยกมือขึ้นและแกว่งดาบออกไป ตัดศีรษะของโจรภูเขาคนสุดท้ายขาดสะบั้น
อากาศบริเวณนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด ฉากสะเทือนใจที่เกิดขึ้นทำให้เฉินเสียนหน้ามืดตาลาย แต่เธอยังคงฝืนทนและใช้มือที่เปื้อนเลือดจับลูกดอกไว้แน่น
เนื่องจากเธอไม่รู้ที่มาที่ไปของผู้ชายคนนี้ เธอจึงประมาทอีกไม่ได้
แต่ละย่างก้าวของซูเจ๋อนั้นเรียบนิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขากำลังเหยียบย่ำอยู่ในทุ่งสังหารที่เต็มไปด้วยการฆ่าฟัน แต่เขากลับดูสงบสบายราวกับกำลังเดินอยู่บนปุยเมฆ ไม่ทำให้เกิดแม้แต่ฝุ่นละออง
เวลานี้เปลวเพลิงทอดยาวลงไปจนถึงเชิงเขา มันเชื่อมต่อกันเหมือนมังกรไฟที่แหวกว่ายในยามค่ำคืน ค่อยๆ โอบล้อมปากทางที่เชิงเขาเอาไว้
ครั้งนี้มันจะพาผู้คนมาจำนวนมาก และจะไม่ใช่พวกพ้องของโจรภูเขากลุ่มนี้
มันเป็นสิ่งที่มาเบี่ยงเบนความสนใจ ชั่วพริบตาเดียวซูเจ๋อก็มายืนอยู่ตรงหน้าเฉินเสียน แววตาของเขาลุ่มลึกราวกับว่าต้องการฉุดดึงเฉินเสียนให้เข้าไปอยู่ในวังวน
ซูเจ๋อสูงกว่าเธอมาก เขาโน้มศีรษะลงมาเล็กน้อย ยกมือขึ้นเพื่อลูบไล้มุมปากที่บวมแดงของเฉินเสียน
เธอคงจะทนทุกข์ทรมานมามาก โชคดีที่ตอนนี้เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะถูกใครรังแกง่ายๆ อีกแล้ว
เพียงแต่ก่อนที่ซูเจ๋อจะได้สัมผัสใบหน้าของเธอ เธอก็จับข้อมือของเขาไว้ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า แล้วกลิ่นคาวเลือดที่ติดอยู่ที่แขนเสื้อก็โชยขึ้นมา
ซูเจ๋อเพิ่งสังเกตว่ามือของเธอเต็มไปด้วยเลือดเหนียวๆ
“ถึงเจ้าจะหน้าตาดี แต่ข้าไม่ชอบที่มาถึงก็จะมาแตะเนื้อต้องตัวข้า” เฉินเสียนพูดพลางก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เธอใช้ปลายแหลมของลูกดอกจี้ไปตรงช่วงอกของซูเจ๋อ แค่เธอออกแรงนิดเดียวมันก็จะแทงเข้าไปทันที
ชายเสื้อของทั้งสองคนยังพลิ้วไหวอยู่ท่ามกลางคลื่นความร้อนอย่างอ้อยอิ่ง
เฉินเสียนมองเขาด้วยแววตาเป็นประกายกล้า เม้มปากก่อนจะถามว่า “เจ้าเป็นใคร”
ซูเจ๋อยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เกิดขึ้นชั่วพริบตาทว่าชวนให้ตราตรึงใจ เขาเอ่ยด้วยกระแสเสียงที่อ่อนโยนน่าฟัง “อาเสียน ท่านจำข้าไม่ได้แล้วจริงๆ”
“หยุดพูดจาไร้สาระนะ! อย่ามาพยายามตีสนิทข้า!”
เมื่อเห็นเธอหน้าซีดเผือดซูเจ๋อจึงไม่ดึงดัน เขาพูดเลี่ยงๆ ไปว่า “เหลียนชิงโจวขอให้ข้ามาช่วยท่าน”
เฉินเสียนชะงักไป เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เธอเริ่มคลายความระแวดระวังลง
“ท่านกับลูกไม่เป็นไรใช่ไหม”
เฉินเสียนส่ายศีรษะอย่างระมัดระวัง
ซูเจ๋อกระซิบเสียงต่ำ “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้วหรือยัง”
“หือ?”
เฉินเสียนเงยหน้าอย่างมึนงง เธอมองหน้าซูเจ๋อใกล้ๆ รู้สึกว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าที่เธอคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก
อาจจะเป็นเพราะเขาหล่อมาก มองแค่ครั้งสองครั้งก็จำได้ เธอก็เลยรู้สึกคุ้นเคย
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ตรงหน้า แต่เฉินเสียนกลับรู้สึกว่ายิ่งมอง หน้าเขาก็ยิ่งเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้นเธอล้มตัวลงไปทันที
เธอเต็มใจลดการป้องกันลงเพราะเขาพูดชื่อของเหลียนชิงโจว
ในตอนนั้นเธอคิดว่าคนคนนี้น่าจะไว้ใจได้
เมื่อความตึงเครียดคลายลง เฉินเสียนที่ถึงขีดจำกัดมานานแล้วจึงหมดแรงจนแบกรับภาระอีกไม่ไหว ทันทีที่ซูเจ๋อถามเธอจึงรู้สึกเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง บังคับร่างกายของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
เธอรู้สึกได้รางๆ ว่าเขาโอบรอบเอวและโอบกอดเธอไว้
อ้อมกอดนั้นค่อนข้างเยือกเย็นราวกับว่าไม่ค่อยมีใครได้เข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา