ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 90 เธอรู้สึกสบายใจมาก
ท่ามกลางกลิ่นเลือดตลบอบอวล เธอมั่นใจว่าเธอได้กลิ่นจางๆ ของไม้กฤษณาที่ทำให้รู้สึกหัวใจเต้นแรงซึมออกมาจากแขนเสื้อของเขา
บางทีเธอไม่ควรจะหลับสนิทในเวลานี้ แต่ตอนนั้นเธอรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ซูเจ๋อโอบเธอไว้ ผมยาวสลวยของเธอคลอเคลียอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างอ่อนนุ่ม
จากนั้นเขาก็รั้งเอวเธอขึ้นมา ปล่อยให้เธอซบศีรษะลงมาที่แผงอกกว้างของเขาอย่างสงบ เขายืนอยู่บนยอดเขาและมองแนวเพลิงที่กำลังลุกลามขึ้นเรื่อย
ซูเจ๋อหันหลังและมุ่งหน้าไปยังเส้นทางซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา พร้อมพูดอย่างแผ่วเบาว่า “พักผ่อนให้สบาย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เนินเขาด้านหลังลาดชันมาก แม้จะมีเส้นทางให้ลงแต่ก็เดินลำบากเป็นอย่างยิ่ง
ซูเจ๋ออุ้มเฉินเสียนและวิ่งลงเขาด้วยความรวดเร็วประหนึ่งสายลม ใบไม้ใบหญ้าต่างปลิวไหวยามเมื่อเขาวิ่งผ่าน
เฉินเสียนซบอยู่ในอ้อมอกของเขาอย่างสะลึมสะลือ เธอรู้สึกว่าร่างกายกำลังลดระดับลงอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงลมหวีดหวิวดังขึ้นที่ข้างหู
เธอเอื้อมมือไปกอดเอวของซูเจ๋อโดยไม่รู้ตัว ราวกับกลัวว่าซูเจ๋อจะโยนเธอทิ้งไว้กลางทาง
ในที่สุดกองกำลังทหารก็ฝ่าป่าทึบมาถึงยอดเขา
กองกำลังทหารเหล่านี้นำทัพโดยฉินหรูเหลียง เขาสวมชุดผ้าทอลวดลายสวยงามและดูสง่าภายใต้แสงเพลิง
ความจริงแล้วค่ำคืนนี้เขาควรได้ใช้เวลาอยู่กับหลิ่วเหมยอู่ที่สวนดอกพุดตานทั้งคืน
ไม่คิดว่าจู่ๆ อวี้เยี่ยนจะพรวดพราดเข้ามาในสวนดอกพุดตานอย่างไม่สนเหนือสนใต้ นางคุกเข่าลงที่ลานอย่างขาดสติและขอความช่วยเหลือจากเขา
เฉินเสียนถูกดักชิงตัวในตรอกและตอนนี้เธอหายตัวไป อีกทั้งคนแบกเกี้ยวทั้งสี่ก็ล้วนถูกฆ่าตายในที่เกิดเหตุ
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องการหายตัวไปของเฉินเสียน แต่ยังเป็นคดีฆาตกรรมอีกด้วย ดังนั้นฉินหรูเหลียงจึงพาคนไปตรวจสอบ ณ ที่เกิดเหตุทันที
แม้ว่าหลิ่วเหมยอู่จะไม่เต็มใจให้เขาออกไปจากสวนดอกพุดตาน แต่เขาก็เกลี้ยกล่อมนางดีๆ และออกมาจากที่นั่น
ทันทีที่ฉินหรูเหลียงก้าวเท้าออกไป สีหน้าของหลิ่วเหมยอู่ก็ฉายแววชั่วร้ายทันที นางคิดในใจอย่างยินดีปรีดาว่าถึงแม้เขาจะออกไปตามหาตอนนี้ แต่กว่าจะเจอตัว เฉินเสียนก็คงถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมไปแล้ว
ตอนนี้ช่างมันเถอะ ถือเสียว่านางเมตตามากแค่ไหนแล้วที่ยอมให้ฉินหรูเหลียงไปรับศพของเฉินเสียนกลับมา
หลังจากไปตรวจสอบยังที่เกิดเหตุแล้วไม่พบเบาะแสใดๆ ฉินหรูเหลียงจึงไปหาเบาะแสจากทุกๆ ครัวเรือนในละแวกใกล้เคียง
หลังจากทุ่มเทอย่างหนัก ในที่สุดพวกเขาก็ได้เบาะแสว่าช่วงหัวค่ำตอนที่ประตูเมืองกำลังจะปิด มีชายกลุ่มหนึ่งขี่ม้าลากเกวียนออกไปจากเมือง
เนื่องจากในเวลานี้ไม่มีการใช้กฎอัยการศึก จึงไม่มีเจ้าหน้าที่ทหารประจำการอยู่ที่ประตูเมือง
หลังพลบค่ำ ผู้คนบนท้องถนนก็บางตาลงมา
ฉินหรูเหลียงไล่ตามรอยเกือกม้าและรอยล้อเกวียนไปจนถึงตีนเขาลูกหนึ่ง ตอนนี้หัวใจของเขาหดเกร็งด้วยความกังวล ทั้งร้อนใจทั้งหงุดหงิด
ยิ่งมุ่งไปข้างหน้า เขาก็ยิ่งเป็นห่วงเฉินเสียนมากขึ้น
ความกังวลนี้มันช่างน่าขันแท้ๆ
เขาพยายามบอกตัวเองว่าที่รู้สึกเช่นนี้ก็เพราะความกลัว เขาแค่กลัวว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันและเฉินเสียนเป็นอะไรขึ้นมา เขาจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ด้วย
เฉินเสียนเป็นองค์หญิงแต่กลับถูกลักพาตัวขณะอยู่ในเมืองหลวง และเขาที่เป็นแม่ทัพกลับไร้ความสามารถ
วันพระราชสมภพของสมเด็จพระราชชนนีก็ใกล้เข้ามาแล้ว หน้าที่รักษาความสงบทั่วทั้งเมืองหลวงอยู่ในความรับผิดชอบของเขา หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นในเวลานี้ องค์จักรพรรดิและสมเด็จพระราชชนนีจะไม่กล่าวโทษเขาได้อย่างไร
เมื่อคิดได้ดังนี้ฉินหรูเหลียงก็รู้สึกสบายใจขึ้น เขาเลือกที่จะยอมรับว่าตนเองกลัวถูกลงโทษมากกว่าจะยอมรับว่าเขาเป็นห่วงความปลอดภัยของเฉินเสียน!
ในที่สุดเขาก็ขึ้นมาถึงบนเขา แต่สภาพที่เกิดขึ้นบนนี้ทำให้ฉินหรูเหลียงถึงกับตกตะลึง
แหล่งซ่องสุมบนยอดเขาแห่งนี้ถูกเผาจนเหลือแต่ซากปรักหักพัง ทิ้งไว้เพียงเปลวเพลิงที่ยังไม่มอดดับและซากศพที่กองเรียงรายอยู่บนพื้น เป็นภาพที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง
สีหน้าของฉินหรูเหลียงเปลี่ยนไปทันที หรือว่าจะมีคนมาถึงที่นี่ก่อนเขา
ฉินหรูเหลียงและเจ้าหน้าที่ทหารออกสำรวจทุกๆ จุดบนยอดเขาแห่งนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
เจ้าหน้าที่ทหารรายงานว่า “รายงานท่านแม่ทัพ เราตรวจค้นบริเวณยอดเขาจนทั่วแต่ไม่พบผู้รอดชีวิตเลยขอรับ”
ฉินหรูเหลียงสูดลมหายใจก่อนจะถามว่า “ในบรรดาศพเหล่านี้ มีศพของหญิงที่กำลังตั้งครรภ์บ้างไหม”
“มีผู้เสียชีวิตสี่สิบสามรายและไม่พบผู้หญิงเลยขอรับ”
ในขณะนั้นเองก็มีเจ้าหน้าที่ทหารอีกนายเข้ามารายงาน “ท่านแม่ทัพ ยังมีศพไหม้เกรียมอีกศพอยู่ในห้องที่ถูกเผาทำลายขอรับ”
ฉินหรูเหลียงสูดลมหายใจเข้า จากนั้นจึงสาวเท้าเข้าไปในซากห้องที่ถูกไฟไหม้จนเหลือให้เห็นแต่โครง จากนั้นนายทหารจึงเคลื่อนย้ายศพไหม้เกรียมมาตรงหน้าเขา
มองมันปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นผู้ชาย ไม่ใช่เฉินเสียน
ฉินหรูเหลียงอดถอนหายใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
หลังจากตรวจสอบเสร็จสิ้นจึงพบว่าผู้คนหลายสิบคนบนเขาลูกนี้เป็นพวกที่หลบหนีมาจากบริเวณใกล้เคียง เป็นโจรภูเขาที่ทางการตามจับครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังจับกุมไม่ได้
โจรภูเขาเหล่านี้ช่างอุกอาจมาก พวกมันกล้าเข้าไปก่ออาชญากรรมถึงในเมือง แถมยังจับตัวองค์หญิงไปเป็นเชลย!
ฉินหรูเหลียงหาที่อยู่ของเฉินเสียนไม่พบ เขารู้สึกกลัดกลุ้มร้อนใจและออกคำสั่งว่า “ค้นหา หาให้ทั่วทุกตารางนิ้วบนเขาลูกนี้ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายก็ต้องหาให้พบ”
เหล่าเจ้าหน้าที่ทหารต่างนิ่งเงียบ พวกเขาพอจะรู้ว่าที่ฉินหรูเหลียงกำลังมองหาคือร่างของหญิงตั้งครรภ์
ทว่าไม่มีใครกล้าซักถามว่าหญิงตั้งครรภ์คนนี้คือใคร
ฉินหรูเหลียงไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วใครคือคนที่มาถึงภูเขาลูกนี้ก่อนและจัดการรังโจรเสียราบคาบ ที่แห่งนี้ถูกไฟเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน แม้จะพยายามเพียงใดก็ไม่มีทางสืบหาผู้กระทำได้เลย
ตอนนี้เขาเพียงแค่อยากจะหาเฉินเสียนให้พบและอยากรู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร
แต่น่าเสียดาย ฉินหรูเหลียงสืบเสาะค้นหาบนภูเขาลูกนี้ทั้งคืนแต่ก็ไม่พบอะไรเลย
เมื่อเฉินเสียนลืมตาขึ้น เธอก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องห้องหนึ่ง
ห้องนี้เป็นเพียงห้องธรรมดาๆ หน้าต่างและบานประตูทำจากไม้ มีฉากไม้กั้นและม้านั่งริมหน้าต่าง เห็นแล้วชวนให้รู้สึกเงียบสงบและสบายใจ
ม่านไม้ไผ่ห้อยลงมาที่หน้าต่าง และลมที่พัดเข้ามาจากภายนอกก็นำกลิ่นหอมสดชื่นของต้นไผ่ปะปนมาด้วย
ทุกอย่างที่เห็นดูธรรมดามาก เมื่อเฉินเสียนที่รู้สึกผ่อนคลายก้มมองชุดเครื่องนอนและปลอกหมอนที่ทำจากผ้าแพรไหม เธอก็อดยิ้มไม่ได้
ช่างสบายเหลือเกิน
เธอหันไปมองท้องฟ้าข้างนอก มันยังคงเป็นสีดำสนิท
เฉินเสียนไม่รู้ว่าเธอหลับไปนานแค่ไหน ช่วงที่ผ่านมาเธอหลับเป็นตาย ตอนนี้ร่างกายจึงฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง
เธอจำได้รางๆ ว่าเธอเห็นชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นก่อนที่เธอจะหลับไป เขาเป็นคนพาเธอมาที่นี่งั้นหรือ
เขาบอกว่าเหลียนชิงโจวขอให้เขาไปช่วย แต่ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะไม่ใช่บ้านของเหลียนชิงโจว
ขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น เงาของบุคคลผู้หนึ่งก็ปรากฏที่ด้านนอกประตู ก่อนจะค่อยๆ ผลักประตูเข้ามา
ซูเจ๋อสบตากับเฉินเสียนที่นั่งอยู่บนเตียง ทั้งคู่มองหน้ากันเงียบๆ ครู่หนึ่ง
เขาเดินเข้ามาพร้อมกล่องยาในมือ นั่งลงข้างเตียงข้างๆ เฉินเสียนราวกับเป็นเรื่องธรรมดา มือเรียวสวยเปิดสลักกล่องยาออก สลักที่ประณีตงดงามนั้นเมื่ออยู่ภายใต้เล็บมือขาวนวลของเขากลับดูหม่นหมองลงไปเป็นเท่าตัว
เฉินเสียนเหลือบมองกล่องยาและเห็นว่าภายในมีสิ่งต่างๆ อยู่ครบครัน
ซูเจ๋อกล่าวเบาๆ ว่า “ทำไมไม่นอนพักอีกสักหน่อย ระแวงขนาดนั้นเลยหรือ”
เฉินเสียนสังเกตเขาอย่างละเอียด เขายังคงสวมชุดสีดำตัวเดิมและยังไม่มีเวลาเช็ดคราบเลือดที่สาดกระเซ็นอยู่บนใบหน้าออก เป็นไปได้ว่าเขาเพิ่งกลับมาถึงไม่นานและยังไม่มีเวลาจัดการกับสิ่งเหล่านี้
ซูเจ๋อกำลังวุ่นอยู่กับการจัดยาจนไม่มีเวลาสนใจตัวเอง
เฉินเสียนถามว่า “ท่านกับเหลียนชิงโจวเป็นอะไรกัน”
ซูเจ๋อตอบกลับมาทันทีว่า “ท่านเดาสิ”
“สหาย?”
“เดาอีกที”
“ผู้ใต้บังคับบัญชา? พี่น้อง? คู่ขา?”
“เลิกเดาเถอะ”
มือที่ทั้งเย็นและอบอุ่นของเขากุมข้อมือของเฉินเสียนไว้ มันให้สัมผัสราวกับหยก เฉินเสียนขมวดคิ้วและหดมือกลับตามสัญชาตญาณ
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามือของซูเจ๋อมีแรงมากขนาดไหน
เขากางนิ้วของเฉินเสียนออก เผยให้เห็นผิวหนังบนฝ่ามือของเธอ