ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 92พวกเราสนิทกันมากหรือ
เฉินเสียนดมกลิ่นยาที่ซูเจ๋อเตรียมไว้ เป็นตำรับยาบำรุงที่สยบอาการครรภ์เป็นพิษจริงๆ เธอดื่มหมดจนไม่เหลือสักหยด
เวลานี้ไม่รู้ว่าซูเจ๋อหยิบยาขี้ผึ้งมาจากที่ใด เขาบีบมันใส่นิ้วมือที่ขาวสะอาดของเขาเล็กน้อย เอ่ยว่า“มุมปากของท่านยังบวมอยู่เล็กน้อย ต้องการประคบเย็นหรือไม่?”
เฉินเสียนส่ายหัว“นอนสักพักหนึ่งก็ดีขึ้นแล้ว”
ซูเจ๋อขมวดคิ้ว เอ่ย“ก็ใช่”ระหว่างที่พูดซูเจ๋อก็โค้งตัวลงมาตรงหน้าของเฉินเสียน ยื่นนิ้วชี้ที่มียามาป้ายข้างปากของเฉินเสียน “อ้าปาก”
เฉินเสียนเหมือนกับเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจ ขมวดคิ้วพลางเอ่ย“ทำอะไรของท่าน?”
ซูเจ๋อ “ปากด้านในของท่านแตก ข้าจะทายาให้ท่าน”
เฉินเสียนกระตุกที่มุมปาก มองยาขี้ผึ้งที่อยู่บนมือของซูเจ๋อ เอ่ยอย่างเคร่งขรึม“อย่าบอกนะว่าท่านต้องการที่จะเอานิ้วมือของท่านเข้ามาในปากของข้า เพื่อที่จะทายาให้กับข้า?”
ซูเจ๋อทำท่าเหมือนกับย่อมเป็นเช่นนั้น“แล้วทำเช่นนี้ไม่ได้หรือ?”
เฉินเสียนรู้สึกว่า ดวงชะตาของเธอกับชายตรงหน้านี้เข้ากันไม่ได้เลย
เฉินเสียนปฏิเสธอย่างจริงจัง“ข้าไม่ทา”
ซูเจ๋อก็ไม่ได้โมโห แต่เอ่ยว่า “อ้อ ไม่ทาก็ช่างเถิด ”เขายืดตัวลุกขึ้น ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยเตือนเธอด้วยความหวังดี “ท่านรู้หรือไม่ ถ้าหากมีบาดแผลในปากเป็นเวลานานแล้วไม่รักษา มีโอกาสมากที่จะทำให้เป็นแผลเปื่อยร้อนใน”
เฉินเสียน“.………”
“เป็นแผลเปื่อยร้อนในไม่ง่ายที่จะรักษาหาย กินอาหารก็นำพาซึ่งความสำราญ สัมผัสโดนเล็กน้อยก็เจ็บ”
เฉินเสียนกระดกลิ้นเข้าไปด้านในปากอย่างไม่ตั้งใจ ด้านในนั้นเจ็บจริงๆ พอสัมผัสโดนก็รู้สึกชาแล้ว
ซูเจ๋อเอ่ยอย่างคนใจแคบ“โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัมผัสกับบางอย่างโดยที่ลิ้นควบคุมไม่ได้ เพียงแค่เคลื่อนไหวเสียดสีกัน ยิ่งเสียดสีกันก็ยิ่งเจ็บ”
“ท่านพอได้แล้ว ”เฉินเสียนเอ่ย “ข้าทาด้วยตัวเองได้หรือไม่?”
ซูเจ๋อถาม“เช่นนั้นท่านล้างมือแล้วหรือ?”
เฉินเสียน“……..”
ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ซูเจ๋อก็ยังโน้มตัวลงมาตรงหน้าเธอ นิ้วมือค่อยๆเชยคางเธอขึ้นแล้วสั่งให้เธออ้าปาก
เฉินเสียนยังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย สรุปแล้วเธอยอมจำนนได้อย่างไรกัน?
อาจจะเป็นเพราะว่า …….เป็นแผลเปื่อยร้อนในไม่ดีจริงๆ อีกทั้งเธอก็ยังไม่ได้ล้างมือจริงๆ……
เธออ้าปากเล็กน้อย ซูเจ๋อยื่นมือเข้าไปภายในช่องปากของเธอ สัมผัสกับปากด้านใน ยาขี้ผึ้งถูลงบริเวณที่เป็นบาดแผล ทั้งเบาทั้งคัน
เขาใช้สองมือคลุกเคล้ายาให้เข้ากัน กลิ่นของยาผ่านประสาทสัมผัสโชยเข้ามาในจมูก
เฉินเสียนทำท่าทางหมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างนั้น หันหน้าไปมองใบหน้าของซูเจ๋อเล็กน้อย
เขาก้มหน้าลง ใบหน้าทั้งสองห่างกันไม่มาก ลมหายใจรดผ่านใบหน้าของเธอ ราวกับขนนกที่เบาหวิวและกลิ่นอายบนตัวของเขาที่มีความเฉพาะตัว
ใบหน้ากับท่าทางที่สง่างามบนตัวเขานั้นไม่มีอะไรที่ไม่สอดคล้องกันเลย
ทันใดนั้นซูเจ๋อเอ่ยเสียงเบาว่า“อาเสียน เคยคิดว่าข้าดูดีกว่าฉินหรูเหลียงหรือไม่?”
เฉินเสียนตอบอย่างไม่คิดว่า“ท่านเอาตัวเองเปรียบเทียบกับฉินหรูเหลียง ไม่รู้สึกว่าลดฐานะตัวเองหรอกหรือ?”
ซูเจ๋อชะงักงัน หลังจากนั้นยิ้มออกมา ทั้งห้องเต็มไปด้วยความสว่างไสว
“ต่อไปอย่าเรียกข้าว่าอาเสียน ข้ากับท่านไม่ได้สนิทกันปานนั้น”
ซูเจ๋อสบตาเธออย่างอ่อนโยน เฉินเสียนถูกสายตาลึกซึ้งของเขาจ้องมองราวกับท้องนภาทำให้ใจสั่นไหว
แววตาที่อ่อนโยนของเขา จ้องมองอยู่ที่ริมฝีปากแดงอวบอิ่มของเธอชั่วขณะ จากนั้นเอ่ย“เมื่อก่อนพวกเราไม่สนิทกันหรือ ไม่เห็นเป็นไรเลย ต่อไปก็ค่อยๆสนิทกันได้”
เขาดึงนิ้วมือออก ยืดตัวขึ้น เช็ดน้ำลายที่อยู่บนนิ้วมือออก ท่าทางของเขายังคงสง่างามเหมือนเดิม
เฉินเสียนมีความรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมาทันที ราวกับเธอเป็นเหยื่อที่กำลังถูกจับตามอง
“ท่านพักผ่อนเถิด เวลาล่วงเลยมามากแล้ว”
ช่วงเวลาที่ซูเจ๋อกำลังจะออกไป เฉินเสียนเอ่ยขึ้น“นี่ข้าอยู่ที่ใดกันหรือ?”
ซูเจ๋อหมุนตัวมา ยิ้มบางๆเอ่ย“เรือนของข้า”
เฉินเสียนมีท่าทางสงสัยเป็นอย่างมาก “ข้าต้องการพบเหลียนชิงโจว”
“ตอนนี้คาดว่าเขาน่าจะหลับแล้ว”
“อยู่ที่เรือนท่านข้านอนไม่หลับ ข้าต้องการย้ายไปที่เรือนของเหลียนชิงโจวตอนนี้”
ซูเจ๋อ“เมื่อครู่นี้ไม่ใช่ว่าท่านหลับลึกเชียวหรือ?นอนหลับหรือไม่ รอผ่านค่ำคืนนี้ไปแล้ว รอพรุ่งนี้ค่อยมาตกลงกัน”
หลังจากที่ซูเจ๋อออกไป เฉินเสียนนอนกังวลใจครุ่นคิดอยู่บนเตียงสักพักหนึ่ง คืนนี้ราวกับว่านิสัยเฉพาะตัวเธอผิดแปลกไป ทำไมถึงได้ถูกซูเจ๋อควบคุมไว้ทุกทิศทางแล้วล่ะ?
ไม่ได้ พรุ่งนี้เธอจะต้องแก้การเดินหมาก
เฉินเสียนคิดอยู่อีกสักพักหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แล้วหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
แต่ความจริงที่ชัดเจนคือค่ำคืนนี้เธอนอนที่เรือนของซูเจ๋อแล้ว หลับสบายเสียจริงๆ!
วันต่อมาในช่วงกินอาหารเช้า เฉินเสียนยังมีท่าทางสะลึมสะลือง่วงนอน เรือนของซูเจ๋อเตรียมอาหารเช้าได้จืดชืดมาก แต่ทุกอย่างล้วนใส่ใจในการทำมาก
เฉินเสียนกับซูเจ๋อนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วยกัน เธอกินไม่กี่คำ วันนี้เธอก็เริ่มเอ่ยเปิดประเด็น“เมื่อคืนข้าหลับไม่สบาย”
ซูเจ๋อเงยหน้ามองเธอ “ใช่หรือ เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าไปเรือนท่านเพื่อเรียกมากินอาหารเช้า ยังได้ยินเสียงท่านกรนอยู่เลยนะ”
“.…….”เฉินเสียนตัดสินใจไม่อ้อมค้อมกับเขา เอ่ยอย่างเปิดเผยว่า“ข้าต้องการพบเหลียนชิงโจว ตอนนี้เขาน่าจะตื่นแล้ว ท่านสามารถไปเรียกเขาให้มากินอาหารเช้าด้วยกันได้หรือไม่”
ซูเจ๋อเอ่ยออกนอกเรื่อง “เขาน่าจะไม่มีเวลา ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้าวันนี้ ฉินหรูเหลียงตามหาท่านทั่วเมืองหลวง คาดว่าวันนี้น่าจะไปเหยียบธรณีประตูเรือนของเหลียนชิงโจวแล้ว”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว เอ่ย “ฉินหรูเหลียงจะตามหาข้าอยู่หรือ?ก็ใช่ ข้าวัยเช่นนี้หายไปอย่างไม่มีสาเหตุ ทำเยี่ยงนี้แล้วก็ต้องถูกเขาเล่นงานนั่นแหละ”
ซูเจ๋อไม่ได้ปริปากพูดว่าจริงหรือไม่
เพลานี้ไม่เหมือนกับในอดีต ครั้งนี้ฉินหรูเหลียงร้อนรนใจมากกว่าเมื่อก่อน
เฉินเสียนเอ่ยอีก“เช่นนั้นแล้วท่านจะยังไม่ส่งข้ากลับไปอีกหรือ?”
“ไม่ต้องรีบร้อน รอบำรุงดูแลร่างกายของท่านให้สงบดีแล้วสองวันหลังจากนี้ค่อยส่งกลับไป”
เรือนของซูเจ๋อไม่ใหญ่ เดินเล่นครึ่งวันก็ครบแล้ว มีลานบริเวณเรือนไม่กี่ที่ สงบเป็นอย่างมาก คาดว่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะเจ้าของด้วย มีกลิ่นอายที่แตกต่างกันบ้างเล็กน้อย
แต่เดินอยู่ในนี้หลายรอบเธอก็รู้สึกหงุดหงิดเบื่อหน่าย
เฉินเสียนพักอาศัยอยู่ที่เรือนของซูเจ๋อมาสองวันแล้ว ดูแล้วเขาไม่มีความคิดที่จะส่งเธอกลับไปเลยแม้แต่น้อย เหลียนชิงโจวก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของคน
เฉินเสียนสงสัยว่าเธออยู่ในสถานการณ์ที่ถูกลักพาตัวมาใช่หรือไม่ เพียงแค่เปลี่ยนบรรยากาศ
เธอทนจนทนไม่ไหวแล้ว จึงได้ไปถามไถ่เหตุผลกับซูเจ๋อ
“ไม่ใช่ว่าท่านอยากจะจองจำข้าไปตลอดหรอกนะ?”เฉินเสียนถาม
“นั่นท่านเอ่ยอะไรออกมา?”
“เช่นนั้นทำไมท่านถึงไม่อนุญาตให้ข้ากลับไป?”
“ยังไม่ถึงเวลานั้น”
วันนี้ช่วงเช้าตรู่ ในที่สุดเรื่องราวที่องค์หญิงจิ้งเสียนหายตัวไปก็ปิดไว้ไม่มิด ฉินหรูเหลียงถูกจักรพรรดิตำหนิอย่างหนัก จักรพรรดิรับสั่งให้ฉินหรูเหลียงตามหาองค์หญิงจิ้งเสียนให้พบ
ตายหรือมีชีวิตอยู่ ก็ต้องให้คำชี้แจงได้
ถ้าไม่รู้ว่าคนที่ตามหาอยู่แห่งหนใด จักรพรรดิจะวางใจได้อย่างไรกันเล่า
เพราะว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน การป้องกันอารักขาของเมืองหลวงจึงจำเป็นจะต้องจัดวางอัตรากำลังคนใหม่
เฉินเสียนกระตุกริมฝีปากขึ้น หรี่ตาจ้องมองซูเจ๋อ เอ่ย“ท่านยอมรับมา ท่านมีเจตนาไม่ดีแอบแฝงอยู่ใช่หรือไม่”
ทั้งสองคนยืนอยู่ที่ลานบริเวณเรือน ด้านหลังเป็นกอไผ่ เสียงลมพัดปลิดปลิว ซูเจ๋อยืนมือไขว้หลัง มองหญิงสาวท้องโตที่อยู่ตรงหน้า
เฉินเสียนโน้มตัวเข้าใกล้ ดมกลิ่นกายของเขาแล้วเอ่ยอย่างสัตย์จริงว่า“ท่านเห็นว่าข้าโง่เขลาหรือ กลิ่นหอมของไม้กฤษณานี้มีเพียงกลิ่นเดียว กลิ่นหอมไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่ออยู่บนตัวของแต่ละคนนั้นแล้ว กลิ่นกายของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน และกลิ่นของไม้กฤษณาก็จะไม่เหมือนกัน ค่ำคืนวันนั้นกลิ่นหอมของไม้กฤษณาในห้องของข้า ก็คือกลิ่นที่อยู่บนตัวของท่านอย่างไม่ต้องสงสัย”