ข้าคือหงส์พันปี - บทที่19 หน้าไม่อายเขียนอย่างไร
แม่บ้านจ้าวพยุงเฉินเสียนไปที่เตียงแล้วกล่าวว่า: “องค์หญิงมิต้องกังวลไปเพคะ แค่บ่าวแอบไปเทียบสูตรยาที่จวนก็จะทราบได้ว่ามีปัญหาตรงไหนแล้วเพคะ”
เพิ่งหันตัวกลับมา เฉินเสียนก็หลับตาพร้อมกับกล่าวอย่างเสียงแหบว่า: “มิจำเป็นหรอก ข้างในผสมหูจี้และถ่อยิ้งใช่หรือไม่?”
แม่บ้านจ้าวไม่มีความรู้เรื่องยา แต่ก็ยังพออ่านตัวหนังสือได้บ้าง พอนางดูส่วนผสมของยาแล้วนั้นก็ตกใจและกล่าวว่า: “องค์หญิงรู้ได้อย่างไรเพคะ? มียาสองตัวนี้จริงๆเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวโดยไม่รู้ตัว: “ข้าลิ้มรสมันออกน่ะ” แค่พูดก็แปลกแล้ว เธอจะไปลิ้มรสยาสมุนไพรออกได้อย่างไงกันหรือว่าร่างนี้จะเรียนรู้เรื่องยาด้วยงั้นเหรอ?
แต่ที่แน่ๆเธอในโลกปัจจุบันไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องยาสมุนไพรจีนเลยสักนิด ไอ้หูจี้และถ่อยิ้งอะไรนั่น มีสรรพคุณยังไงบ้างเธอเองก็ไม่ทราบเช่นกัน
แต่เฉินเสียนในตอนนี้กลับพูดออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว เพียงแค่ค้นหาในสมองครู่เดียวก็สามารถทราบได้ทันทีว่ายาสมุนไพรสองชนิดนี้มีคุณสมบัติอย่างไร
อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่เธอเองก็ยังดูถูกองค์หญิงร่างเดิมคนนี้ไปมากเหมือนกัน
เฉินเสียนตกใจอย่างเงียบๆ องค์หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ร่างกายแข็งแรง แถมยังรู้เรื่องต่างๆไม่น้อย ใครเป็นคนสอนเธอกัน?
ยาที่หมอหลวงนำมาให้ครั้งนี้ ดื่มไปก็เป็นยาป้องกันครรภ์
แต่ถ้าหากผสมเจ้าหูจี้และถ่อยิ้งเข้าไปล่ะก็ ก็ยังคงเป็นยาป้องกันครรภ์
แต่ยาสองตัวนี้มันกลับมีคุณสมบัติทำให้ขับเลือดน่ะสิ หูจี้ก็มีฤทธิ์ร้อน อย่าว่าแค่หนึ่งเดือนเลย แค่เพียงใช้ยาตัวนี้ไปครึ่งเดือน ก็สามารถเสี่ยงต่อการแท้งได้แล้ว
แม่บ้านจ้าวเห็นปฏิกิริยาของเฉินเสียน ก็รู้ทันทีว่าหูจี้และถ่อยิ้งไม่ดีต่อร่างกายนางแน่
แม่บ้านจ้าวนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า: “คราวหน้าถ้าไปเตรียมยา บ่าวจะไม่เตรียมยาสองตัวนี้ให้แล้วเพคะ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างใจเย็น: “มิจำเป็นหรอก ยาน่ะเจ้าก็เตรียมตามสูตรเลย เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย ตั้งแต่พรุ่งนี้เจ้าไปย้ายหม้อต้มยามาไว้เรือนข้า รอให้ข้าแยกยาสองตัวนั้นออกก่อน เจ้าค่อยต้มยา
“เพคะ”
วันต่อมานางจ้าวก็ส่งยาไปมาท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ยาก็เย็นไปบ้างแล้ว นางย้ายหม้อต้มยามาและต้มยาใกล้ๆเรือน
เฉินเสียนแยกหูจี้และถ่อยิ้งไว้ก่อนแล้ว หากทิ้งก็เสียดาย เลยบดแล้วเก็บไว้ ไม่แน่ว่าอาจได้ใช้งานในอนาคต
แต่แค่คิดไม่ถึงว่าอนาคตที่ว่านี้ จะมาได้ไวเช่นนี้
ร่างกายเฉินเสียนั้นบอบบาง ไม่นานนักก็มีอาการแพ้ท้องขึ้นมา และกินอะไรไม่ลงเลยทั้งวัน
สถานการณ์ตอนนี้ของเธอ จำเป็นต้องบำรุงจริงๆ
เฉินเสียนนึกถึงส่วนผสมของยาชูกำลังที่เหลียนชิงโจวส่งมาให้ ไม่กินก็ทิ้ง นางเลยให้แม่บ้านจ้าวไปหยิบยานี้มา
แต่แม่บ้านจ้าวกลับมาด้วยมือเปล่าพร้อมกับความโกรธ
เฉินเสียนถามนาง “เป็นอะไรงั้นรึ?”
แม่บ้านจ้าวตอบ: “ของที่คุณชายเหลียนส่งมาให้ ทหารที่เฝ้าคลังเก็บของได้เฝ้าไว้อย่างแน่นหนาเพคะ ไม่ยอมแบ่งให้องค์หญิงแม้แต่น้อย บอกว่าร่างกายองค์หญิงอ่อนแอ ไม่เหมาะที่จะทานยาบำรุงพวกนั้นเพคะ ให้เก็บไว้ให้นายหญิงน้อยใช้ดีกว่าเพคะ”
เฉินเสียนหน้านิ่ง: “เจ้าได้ถามหรือเปล่าว่าเขารู้วิธีเขียนคำว่า‘น่าไม่อาย’ คำนี้หรือไม่?
“บ่าวมิได้ถามเพคะ” แม่บ้านจ้าวไม่ได้ยิ้มและกล่าวต่ออย่างจริงจังว่า: “เมื่อครู่ตอนบ่าวเดินผ่านห้องครัวไป บ่าวเห็นเซียงซั่นกำลังส่งรังนกเลือดที่ทำเสร็จแล้วไปให้นายหญิงน้อยเเพคะ”
เซียงซั่นเป็นสาวใช้ของหลิ่วเหมยอู่ เฉินเสียนจำได้อย่างดี ตอนนั้นก็เป็นนางที่ใช้ปิ่นปักผมกรีดหน้านางมิใช่รึ?
หลังจากนั้นสีหน้าของเฉินเสียนก็ผ่อนคลายลง และนอนรับแดดบนเก้าอี้
พระอาทิตย์ส่องบนตัวเธอ ช่างอบอุ่นเหลือเกิน
เฉินเสียนพักสายตาและกล่าวอย่างเบาๆว่า: “ที่ว่าข้าร่างกายอ่อนแอไม่สามารถบำรุงได้นั้น ใครเป็นคนพูดกัน?”
แม่บ้านจ้าวยืนคิดอยู่ข้างๆ และตอบ: “คนในคลังบอกว่าท่านแม่ทัพเป็นคนพูดเพคะ”
เฉินเสียนยกริมฝีปากขึ้นแล้วถามต่อว่า: “พักนี้ท่านแม่ทัพอยู่ที่เรือนหรือไม่?”
“อยู่เพคะ”
“ถ้าเช่นนั้น เรื่องที่เจ้าไปคลังคงถึงหูแม่ทัพแล้วล่ะ ข้าว่าอีกประเดี๋ยวท่านแม่ทัพคงจะเรียกให้หมอมาตรวจอาการข้า”
จริงด้วย เพิ่งพูดไป ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังออกมา
สิ่งที่เหลียนชิงโจวส่งมานั้นล้ำค่ามาก แม้แต่ในจวนแม่ทัพก็เห็นได้น้อย คาดว่าเหลียนชิงโจวก็คงจะพยายามไม่น้อยเช่นกัน
แต่ที่หลิ่วเหมยอู่ต้องดื่มรังนกเลือดทุกๆสองวันนั้น ช่างเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยเสียจริง
เหตุผลที่แม่บ้านจ้าวรู้ว่ารังนกที่หลิ่วเหมยอู่ดื่มป็นรังนกที่ดีที่สุดนั้นก็เพราะตอนที่นายหญิงคนเก่ายังอยู่ ทางพระราชวังมักมอบให้บ่อยๆ เพราะเช่นนี้แม่บ้านจ้าวก็ได้เห็นเป็นบุญตาบ้าง
ได้ยินแม่บ้านจ้าวพูดแล้ว ตั้งแต่ที่หลิ่วเหมยอู่ได้ดื่มยาบำรุงไป สีหน้าก็ดีขึ้น แถมยังดูดีขึ้นอีกด้วย มิน่าฉินหรูเหลียงถึงได้อยากให้ทุกสิ่งที่ดีที่สุดแก่เธอ
ของที่เหลียนชิงโจวส่งมาให้เธอ กลับตกอยู่ในมือของคนอื่น คนอื่นยังจะใช้เหตุผลที่ฟังดูดีมากลั่นแกล้งเธอ นี่มันช่างใจร้ายเหลือเกิน
คนที่มานั้นก็เป็นเซียงซั่นคนของหลิ่วเหมยอู่จริงๆ