ข้าคือหงส์พันปี - บทที่519 พวกท่านสองพ่อลูกมีคุณธรรม
พอเด็กคนนั้นได้ยิน ก็รีบกลับไปทำการบ้านที่ห้องเลย
หญิงเจ้าของบ้านดึงสติกลับมาแล้วยิ้ม กล่าวว่า “พวกท่านอย่าถือสาเลยนะ ตั้งแต่ครั้งก่อนหลังจากที่นายท่านเคยชี้แนะลูกชายของข้า ก็ได้ยินเขาพูดพร่ำถึงนายท่านตลอดเวลา สอนดีกว่าท่านอาจารย์ที่สำนัก เมื่อครู่ข้าก็พูดเกทับเขา”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิเป็นไร อีกสักครู่หากมีเวลา ข้าสามารถดูได้”
หญิงเจ้าของบ้านยิ้มไม่หุบ กล่าวถามว่า “เรื่องราวของพวกท่านเป็นอย่างไรบ้าง? คนในเรือนยินยอมให้พวกท่านคบหากันหรือยัง?”
เฉินเสียนเม้มริมฝากปาก แล้วกล่าวว่า “ยังเลย ครั้งนี้ข้ากับเขาหนีตามกันแล้ว อยากออกนอกเมือง”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า “อ้อ ใช่แล้ว ครั้งก่อนมีแม่นมผู้หนึ่งอุ้มเด็กน้อยมาหาพวกข้า ต้องการที่จะออกนอกเมืองไปหาหมอในคืนนั้นเลย ลูกของพวกท่านหรือไม่? ตอนนี้อาการเขาดีขึ้นบ้างแล้วหรือไม่?”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ที่จริงตอนนี้เขาพักผ่อนอยู่นอกเมืองอย่างสงบ ข้าก็ไม่ได้พบหน้า ภายในใจร้อนรนอย่างมาก แทบอยากจะไปอยู่ข้างกายของเขาทันที”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า“อย่างนี้นะ ลูกป่วย ผู้ที่ร้อนใจที่สุดคือท่านพ่อท่านแม่ ตอนนี้เมืองหลวงบังคับใช้กฎอัยการศึก อย่าพูดว่ายามค่ำคืนออกจากเมืองเลย แม้แต่ช่วงกลางวันก็ยากลำบากมาก”
นางสีหน้าลึกลับอึมครึม กล่าวอีกว่า “ได้ยินชายที่เรือนข้าบอกว่า คล้ายดั่งมีการสู้รบเกิดขึ้น”
เฉินเสียนไตร่ตรองแล้วกล่าวว่า “หากว่าข้ายืนยันที่จะออกจากเมืองไปหาลูกชาย นายหญิงสามารถช่วยได้หรือไม่?”
หญิงเจ้าของบ้านทอดถอนหายใจออกมา กล่าวว่า“หากว่าข้าช่วยพวกท่านได้ ข้าช่วยแน่ แต่ตอนนี้ไม่รู้สรุปว่าสถานการณ์เป็นยังไง หากชายที่เรือนของข้าทำไม่ได้ ขอให้พวกท่านได้เตรียมใจไว้ด้วย”
เฉินเสียนพยักหน้า “ขอบใจนายหญิงมาก ไม่ว่าอย่างไร พวกท่านช่วยข้าส่งลูกชายออกนอกเมือง ข้าซาบซึ้งน้ำใจอย่างมาก”
เฉินเสียนกับซูเจ๋อรออยู่ในเรือนพักหนึ่ง หลังจากที่ชายเจ้าของบ้านกลับมาได้ยินเรื่องนี้ ขมวดคิ้วแน่นแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเกลี้ยกล่อมพวกท่านว่าอยู่ในเมืองค่อนข้างดีกว่า ตอนนี้ด้านนอกเทียบกับเมืองหลวงแล้วยิ่งไม่สงบนะ”
หญิงเจ้าของบ้านกล่าวว่า “ลูกของพวกเขาอยู่นอกเมือง พวกเขาจะสงบจิตสงบใจอยู่ในเมืองหลวงได้อย่างไร”
ชายเจ้าของเรือนกล่าวว่า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่คิด แต่ตอนนี้ข้าช่วยพวกท่านไม่ได้ ทหารยามที่ประตูเข้มงวด ทั้งหมดรับช่วงจากทหารรักษาพระองค์งานการซ่อมแซมกำแพงเมืองยังต้องหยุดเป็นการชั่วคราว หากว่านำพวกท่านออกไปอีก พวกเขาก็ไม่มีทางผ่อนผัน เปิดประตูเมืองกลางคืน ทำได้ไม่ดีก็มีอันตรายต่อการตัดศีรษะ ”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ไม่ใช่ต้องสู้รบแล้วหรือ ราชสำนักไร้ทหาร ระยะใกล้ๆนี้น่าจะเกณฑ์ทหาร หากเกณฑ์ทหารแล้วจำนวนคนไม่พอ อาจจะใช้อำนาจให้ไปเกณฑ์ทหารได้”
เขาเงยหน้าแล้วประสานมือคารวะชายเจ้าของบ้านว่า “ถึงวาระนั้นหากได้รับการช่วยเหลือพี่ชายช่วยพวกข้าสมัครสองชื่อก็ได้ เช่นนี้ก็หลีกเลี่ยงที่พี่ชายจะถูกความหายนะให้ไปเกณฑ์ทหารแล้ว”
ใช้อำนาจบีบบังคับไปเกณฑ์ทหาร ไม่ว่าจะท่านยินยอมหรือไม่ ถูกลากไปสนามรบเป็นตายนั้นเปลี่ยนแปลงได้เสมอ
ชายเจ้าของบ้านไม่เชื่อ กล่าวว่า “ราชสำนักจะไม่มีทหารได้อย่างไร ยังมีทหารรักษาพระองค์หนึ่งแสนคนนะ”
ซูเจ๋อไม่พูดมาก ตอนพบค่ำตอนที่พาเฉินเสียนออกจากเรือนนั่น
เฉินเสียนมองสีหน้าเรียบเฉยเขา แล้วกล่าวว่า “ท่านรู้ครั้งนี้พวกเราจะพบอุปสรรคใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อยิ้มแล้วใสซื่อกล่าวว่า “ข้าจะรู้ได้อย่างไร”
แต่ดวงตาสองคู่ของเขานั้น ซ่อนด้วยความกำลัง สับสนวุ่นวาย คนทั่วไปไม่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง
เฉินเสียนกระตุกริมฝีปากกล่าวว่า “เช่นนั้นถึงอย่างไรท่านก็ต้องรู้ว่าทหารรักษาพระองค์คุ้มกันประตูเมืองอยู่ ผู้ที่ทำการซ่อมกำแพงเมืองนั้นไร้หนทางที่จะเปิดประตูหลังช่วยเรา ท่านมาหาเขาเพื่อที่จะให้เขาสมัครเข้าร่วมเกณฑ์ทหารให้พวกเรา”
ซูเจ๋อหรี่เปลือกตา
เฉินเสียนกล่าวอีกว่า “ตามความเป็นจริง ข้ากับท่านสามารถสวมชุดทหารเข้าไปในกลุ่มทหาร เป็นหนทางที่ดีที่สุดของการออกนอกเมือง รอออกนอกเมืองแล้ว ค่อยหาโอกาสหลบหนีก็ได้”
“ที่จริงเดิมคิดหาตอนที่เกณฑ์ทหาร สามารถหาทหารสองคนทำให้เขาสลบแล้วเอาชุดก็ได้ แต่ท่านเลือกที่จะไปเรือนเขา ใช้วิธีการอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องให้เขาโชคร้ายถูกใช้อำนาจบีบบังคับไปเกณฑ์ทหาร ”เฉินเสียนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ซูเจ๋อ ท่านกำลังตอบแทนบุญคุณใช่หรือไม่?”
ซูเจ๋อตอบอย่างนุ่มนวลว่า “อืม เขาช่วยเหลืออาเซี่ยนของพวกเรา ครั้งนี้ถือโอกาสช่วยชีวิตเขาหนึ่งครั้ง นับว่าเสมอกันแล้ว”
เฉินเสียนกุมมือซูเจ๋อแน่น ลูบสัมผัสผมที่ข้างหู กล่าวว่า “มิน่าเล่าอาเซี่ยนชอบท่านเช่นนี้ พวกท่านสองพ่อลูกมีคุณธรรม บนใบหน้าเรียบเฉย แต่ทว่าในใจนั้นอบอุ่นอ่อนโยนมาก”
เธอยิ้มแล้วกล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าไม่เข้าใจ คิดว่าท่านทำเพื่อที่จะบรรลุจุดมุ่งหมาย สามารถวางแผนใช้วิธีการทุกอย่างไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ต่อมาข้าไม่สนใจหรอก เพียงแค่ท่านมีชีวิตอยู่ดี ไม่ว่าท่านจะใช้วิธีการไหนข้าล้วนไม่สนใจ”
จนถึงตอนนี้ข้าสามารถความใจอย่างลึกซึ้ง ท่านไม่มีความต้องให้ผู้คนบนพื้นพิภพโอบอุ้มทัศนคติที่มีภาระความรับผิดชอบ แต่พยายามทำให้คนรอบข้างได้รับความสะดวกทั่วทุกด้าน
เฉินเสียนกล่าวว่า “ซูเจ่อในสายตาข้า เป็นชายที่ดีที่สุดในโลกนี้”
เมื่อก่อนเธอคิดว่าซูเจ๋อที่เดินในความมืดมิดนั้นไม่สมบูรณ์แบบ แต่ตอนนี้คิดไปคิดมา บนโลกนี้เดิมก็มีขาวมีดำอยู่ ขาวดำเลี่ยมเข้าด้วยกัน ถึงเป็นความสมบูรณ์แบบสวยงามที่แท้จริง
ซูเจ๋อเดินแล้วทอดถอนหายใจ ยังคงกล่าวว่า “ไม่ได้ อดไม่ได้แล้ว”
พูดจบ เขาก็ดึงเฉินเสียนมาข้างกำแพง ดันกำแพงอยู่แล้วก้มศีรษะจูบลงมา
เขาจูบอย่างลึกล้ำ เฉินเสียนรับมือไม่ไหวที่ลมหายใจของเขารุกล้ำ
ผมดำราวกับหมึกหล่นลงมาจากกรอบหน้าด้านข้างของเขา บนนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดของเขา ค่อยๆใช้นิ้วพันหน้ากากงิ้วจีนที่สีสันสวยงามนั่น
พระอาทิตย์ยามตกดิน ตะวันรอนบ่ายคล้อยมีแสงสาดสะท้อนลงมาทำให้ตรอกซอยบริเวณสันกำแพงเหลืองอร่ามเจิดจ้าสว่างไสว หญ้าเขียวขจีที่เกิดมาใหม่บริเวณสันกำแพงโบกสะบัดในสายลม
มีบางคนเดินผ่านตรอกซอยเล็กนี้กลับเรือน เห็นด้านข้างกำแพงมีวัยรุ่นที่จูบประโลมกัน มีเพียงแค่หน้ากากงิ้วจีนที่บังหน้าของทั้งสองคนไว้พอดิบพอดี มองไม่ชัดเจน บนหน้ากากมีแสงมันวาวราบเรียบที่อ้อยอิ่งไม่อยากจากกันไป สวยละลานตาเป็นอย่างมาก
แสงอาทิตย์ตกดินนั้นทำให้ผมของซูเจ๋อกับเฉินเสียนกลายเป็นสีดำทองอร่าม เธอหรี่ตาเล็กน้อย แสงอาทิตย์ค่อยๆสาดเข้ามาในตาของเธอ ขับให้ดวงตาทั้งสองข้างนั้นสวยสง่าเป็นอย่างมาก
ใจของเฉินเสียนราวกับตีกลอง คล้ายดั่งตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่เคยอยู่ใต้สถานการณ์ที่เปิดโล่ง สถานการณ์ที่เขาจูบเธอเช่นนี้
หากรู้ว่าเธอเป็นองค์หญิงจิ้งเสียนที่ควรถูกไฟไหม้ไปตั้งนานแล้ว เขาเป็นบัณฑิต และก็เป็นราชครูของเธอ แต่ทว่าวันนี้พาเธอมาโอ้อวดอย่างนี้ ความกล้าหาญมากไปแล้ว
ซูเจ๋อปล่อยเธออย่างอาลัยรัก ระหว่างที่เธอเงยหน้า เธอเห็นริมฝีปากของเขาแดงฉ่ำใต้แสงตะวันรอน รูปร่างไร้ที่ติ ผิวสัดส่วนเท่าเทียมกัน ดวงตาหลุบต่ำมีความพึงพอใจ มองเธอมาจากด้านบนมาด้านล่าง
ริมฝีปากที่สวยงามของเฉินเสียน นิ้วมือของเธอเกาะเกี่ยวเส้นผมข้างริมฝีปาก ทั้งโกรธทั้งหัวเราะ ดึงมือของเขาเดินไปด้วยตัวเอง และกล่าวว่า “นี่อยู่ด้านนอก ท่านเก็บอาการหน่อย พวกเรากลับเรือนกัน”
ซูเจ๋อคาดคะเนไม่ผิด ไม่นานราชสำนักก็ได้เริ่มตอบโต้กองกำลังทหารม้าไปสู้รบทางทิศเหนือ
แม้ในเมืองหลวงจะบอกว่ามีทหารรักษาพระองค์อยู่หนึ่งแสนคน กองกำลังทหารนี้เมื่อก่อนโจมตีเข้ามาที่เมืองหลวงกับองค์จักรพรรดิ หลังจากถูกจัดเข้าเป็นทหารรักษาพระองค์รับผิดชอบปกป้องอันตรายหรือความปลอดภัยขององค์จักรพรรดิและเมืองหลวงมาโดยตลอด จะสามารถโยกย้ายออกนอกเมืองหลวงได้ตามอำเภอใจได้อย่างไรกันเล่า
หากทหารรักษาพระองค์ถูกโยกย้ายไป ทหารอารักขาเมืองหลวงว่างเปล่า ศัตรูทุกด้านถือโอกาสเข้ามา เช่นนั้นก็พละกำลังอ่อนแรงแล้ว
และกองกำลังทหารเฝ้าระวังชายแดนทางเป่ยเจียงกับทางซีอวี่ก็โยกย้ายไม่ได้ ชายแดนเป่ยเจียงมีเป่ยเซี่ยรักษาสมดุลอยู่ ชายแดนทางซีอวี่มีพวกหมานอี๋มองดูอยู่ อยู่ใต้สถานการณ์ที่ด้านในด้านนอกมีความทุกข์ยากลำบาก ราชสำนักทำได้เพียงเกณฑ์ทหาร