ข้าคือหงส์พันปี - บทที่541 ถึงคราวเข้าตาจน
เปลวไฟแห่งสงครามใต้ฝ่าเท้าที่ยังไม่ดับไป เลือดไม่ได้ถูกชะล้าง และศพของทหารองครักษ์วังหลวงนับไม่ถ้วนที่ได้ถูกฝังไว้นอกเมือง
เฉินเสียนเหยียบย่างพื้นที่ที่เต็มไปด้วยเลือด และเดินไปยังวังหลวงทีละก้าว
ในความคิดมีเศษเสี้ยวของความวุ่นวายมากมาย ได้เริ่มปรากฏขึ้น
ความทรงจำของเฉินเสียนจากอดีต การถูกจองจำเป็นเวลาหลายปีเปรียบเสมือนคำสาป และเมื่อวันนี้คำสาปได้ถูกยกขึ้น ในที่สุดก็ปลุกพวกมันทั้งหมดให้ตื่นได้
ดังนั้นในความคิดจึงเต็มไปด้วยเสียงร้องไห้ การต่อสู้ และยังมีเลือดอุ่นๆ ที่ได้ไหลออกมาจากศพอย่างช้าๆ
เฉินเสียนหยุดก้าวกะทันหัน เมื่อปีนั้นผู้คนนับหมื่นในวังและทหารองครักษ์หลายหมื่นคนที่เฝ้าประตูวัง แล้วนอกจากนางแล้ว ทั้งหมดได้ถูกจักรพรรดิสังหาร จนไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว
นางมองเห็นได้ชัดเจนว่า ในวังหลวงสีทองอันเยือกเย็นและงดงามนี้ จักรพรรดินีที่ถูกตรึงบนเก้าอี้มังกร เลือดสีแดงหยดลงผ่านเก้าอี้มังกรลงลู่สู่พื้น
เฉินเสียนกุมหน้าผาก จ้องมองไปที่ดวงตาคู่นั้น และหายใจหอบ
ความหดหู่และความสิ้นหวังนั้น ความเจ็บปวดที่บีบหัวใจแบบนั้น ทุกเหตุการณ์ดูเหมือนจะอยู่ในนั้นและก็รู้สึกถึงเหมือนกัน
ทุกที่นางได้เห็นทหารในชุดเกราะที่เย็นชา และทุกหนทุกแห่งที่พวกเขาได้ลงดาบฆ่าอย่างเย็นชา นางได้ซ่อนตัวอยู่ในมุมอย่างสั่นเทาโดยไม่มีทางหนี
นางได้ถือตุ๊กตาหุ่นกระบอกไว้ในมือ ด้านหลังมีคนกอดนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นผลักนางออกไป “อาเสียน ไปข้างเขา มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถทำให้ท่านมีชีวิตอยู่ได้ ท่านต้องมีชีวิตที่ดี”
ตุ๊กตาหุ่นกระบอกตัวนั้นตกลงบนพื้นเปื้อนเลือด
นางเห็นฉินหรูเหลียงที่อาบเลือดกลับมา
ต่อมาฉินหรูเหลียงกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของต้าฉู่ และคนที่อยู่ด้านหลังคนนั้นได้ผลักนางออกไป จากนั้นก็หันหน้าไปนำกลุ่มขุนนางที่คอยช่วยเหลือมาถวายบังคมกับจักรพรรดิองค์ใหม่
นั่นคือครั้งหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ที่เฉินเสียนให้ความเคารพมากที่สุด นางเกลียดเขามาก เกลียดชังที่เขาปล่อยให้นางมีชีวิต แต่กลับทรยศนาง
ความสงบเสงี่ยมของนางซ่อนความบ้าคลั่ง ดวงตาที่ระทมทุกข์คู่นั้นสามารถมองเห็นเรื่องราวของโลกได้
ย้อนภาพในอดีต ภาพทั้งหมดหวนคืนสู่จิตใจของเฉินเสียน รวมถึงการรู้จักความคุ้นเคยของนางกับฉินหรูเหลียง รวมถึงชายหนุ่มซูเจ๋อตั้งแต่นางได้มีความทรงจำก็ได้อยู่เคียงข้างนางมาตลอด ให้ความรู้แก่นาง และสั่งสอนให้นางอ่านและเรียนรู้อักษร
พวกเขาเคยผ่านเวลาทั้งวันคืนร่วมกัน และหลักการชีวิตของเฉินเสียนทั้งหมดได้รับการสอนโดยเขา ความสุขของเฉินเสียน เป็นเขาที่แบ่งปัน ความเศร้าโศกของเฉินเสียน ก็เป็นเขาที่คอยปลอบใจ
ปรากฏว่าเฉินเสียนไม่ได้โง่ นางไม่เคยโง่ นางเพียงต้องการซ่อนหัวใจของนาง นางได้ทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตอยู่
เฉินเสียนยิ้มเยาะเย้ย ในขณะที่หัวเราะ พบว่าตัวเองมีน้ำตาไหลลงเต็มใบหน้า ปรากฏว่ามีความเจ็บปวดและความคับข้องใจมากมายได้ซ่อนอยู่ในหัวใจของร่างกายนี้
ความทรงจำเหล่านั้น เฉินเสียนคนเดิมได้มอบให้กับนางแล้ว เป็นเพราะนางช่วยเติมเต็มความปรารถนาอันยาวนานของนางหรือไม่? เป็นเพราะวันนี้เวลานี้นางได้ให้อภัยอาจารย์ของนางในที่สุดหรือไม่?
เฉินเสียนไม่รู้ สิ่งเดียวที่นางรู้คือ เฉินเสียนแต่ก่อนได้มอบตัวเองให้กับนางอย่างสมบูรณ์ และต่อไปเฉินเสียนก็คือนาง นางก็คือเฉินเสียน พวกนางไม่ใช่คนสองคนที่มีจิตวิญญาณต่างกันอีกต่อไป แต่เป็นคนหนึ่งที่แทรกซึมและผสมผสานเข้าด้วยกัน
“อาเสียน” ซูเจ๋อกระซิบกับนาง เสียงอ่อนโยนยังมั่นคงเหมือนเมื่อก่อน สงบพอที่จะบรรเทาทุกอย่าง
เฉินเสียนตะกุกตะกักในคอ เช็ดน้ำตาให้แห้ง และพูดอย่างขมขื่น “ฉันสบายดี แต่จู่ๆ มันก็เหมือนกับความฝัน ถึงตอนนี้เวลานี้เพิ่งได้ตื่นนั้นมาอย่างไรอย่างนั้น”
ด้านหลังเฉินเสียนคือกองทัพที่เกรียงไกร นางยืนอยู่หน้าประตูวังหลวง เพียงแค่นางออกคำสั่ง ก็สามารถบีบบังคำให้จักรพรรดิสละราชย์ได้ทันที
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ทำ
ทหารองครักษ์เป็นข้าราชบริพารเก่าของจักรพรรดิ และนางจะไม่มีวันเสียใจหากจำเป็นต้องกำจัดทิ้งไปตลอดกาล แต่ภายในประตูวังนี้ มีคนบริสุทธิ์กี่คน และกี่คนที่ตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน
บีบบังคับการสละราชย์วังที่มีเลือดไหลดั่งแม่น้ำ เคยเกิดขึ้นอดีตหนึ่งครั้งก็เพียงพอแล้ว มันเป็นหายนะ และเฉินเสียนมีความสามารถในการหยุดมัน แต่แน่นอนว่านางไม่ปล่อยให้โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นได้อีก
จากนั้นแจ้งไปกับวังหลัง นางในขันทีที่ยอมจำนนโดยสมัครใจและผู้ที่ไม่มีส่วนได้เสียในนางสนมในวังหลัง จะได้รับการยกเว้นจากความตาย และกองทัพจะไม่ทำให้ลำบาก
ด้วยวิธีนี้ ไม่จำเป็นต้องบังคับให้สละราชย์ และในวังหลังจะเกิดความวุ่นวาย และนางในขันทีผู้บริสุทธิ์เหล่านั้น จะมีเจตจำนงอันแข็งแกร่งในการเอาชีวิตรอด และวังหลังไม่นานก็จะสามารถถูกทำลายได้โดยไม่ต้องโจมตี
จากนั้นเฉินเสียนถึงได้รู้ว่า เจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารทั้งหมดถูกจักรพรรดิขังอยู่ในวังหลวง จักรพรรดิตั้งใจที่จะคุกคามชีวิตของเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร และสุดท้ายความดีและความชั่วคงได้พังพินาศลงไปพร้อมกัน
ดังนั้นเฉินเสียนจึงหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่แม่ทัพฮั่วกังวล เขาทนความอัปยศอดสูมาหลายปี และหลายปีแล้วที่ไม่เคยได้กลับไปเมืองหลวง ไม่ได้คุยกับขุนนางเก่าในราชสำนัก และตอนนี้ได้มาถึงขั้นสุดท้ายแล้ว หากเหล่าขุนนางเก่าแก่ตายไป นั้นถึงเรียกได้ว่าน่าสงสาร!
ดังนั้นแม่ทัพฮั่วจึงสั่งให้กองทัพทั้งสามอย่าได้เคลื่อนพลโดยพลการ และเรื่องการบีบบังคับให้สละราชย์นั้นยิ่งทำไม่ได้
เหล่าขุนนางได้กลายเป็นตัวประกัน ไม่ว่าพวกเขาจะตื่นตระหนกแค่ไหนก็ตาม มีทหารองครักษ์ของจักรพรรดิจำนวนมากคอยเฝ้าประตูท้องพระโรง
จักรพรรดินั่งบนเก้าอี้มังกร ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่พวกเขา เมื่อใดก็ตามที่ใครกล้าที่จะหลบหนี ทหารองครักษ์ก็จะจับตัดหัวทันที
หน้าท้องพระโรงยังมีร่างที่ถูกฆ่าตายนอนกระจัดกระจายไปทุกที่ ขุนนางของชั้นผู้ของราชสำนักเปื้อนไปด้วยคราบเลือด
เหล่าขุนนางไม่กล้าขยับเขยื้อน ดังนั้นจักรพรรดิจึงนั่งบนนั้น โดยไม่ขยับไปไหน
แต่ในไม่ช้า จักรพรรดิก็ไม่สามารถรักษาท้องพระโรงนี้ได้
เนื่องจากเฉินเสียนแจ้งว่าวังหลัง นางในทุกคนที่ยอมจำนนโดยสมัครใจจะปล่อยชีวิต และนางในที่อยู่ในวังหลังได้ตกตะลึงพรึงเพริดไปหมด อีกทั้งเหล่าพระสนมนางกำนัลก็อดที่จะออกไปไม่ได้
ตอนแรกเมื่อกองทัพเข้าโจมตีเมืองพวกเขาก็แค่เก็บสัมภาระของตัวเอง กระตือรือร้นที่จะลอง และไม่กล้าที่จะพูดจาโผงผาง เมื่อหลังจากการประกาศออกมา ทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะออกไป จึงได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา
สมเด็จพระราชชนนีและองค์จักรพรรดินีไม่ได้พบเห็นจักรพรรดิมาเป็นเวลานาน ไม่มีใครตัดสินใจ พวกนางก็เป็นเหมือนแมลงวันที่หัวขาดนั้นเอง
จู่ๆ กองทัพใหญ่ก็ตีมาถึงในพระราชวังโดยไม่คาดคิด สิ่งที่ยิ่งทำให้สมเด็จพระราชชนนีและองค์จักรพรรดินีไม่คาดคิดยิ่งกว่าคือ ผู้นำกองทัพไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอดีตองค์หญิงจิ้งเสียน
ถ้าหากตกไปอยู่ในมือนาง คงไม่มีทางรอดแน่ๆ แต่หลังจากที่เคยใช้ชีวิตอย่างสบายและมั่งคั่ง เมื่อภัยใกล้เข้ามา ทุกคนล้วนกลัวความตายหมด
ทันทีหลังจากนั้นนางสนมมาเพื่อเกลี้ยกล่อมให้องค์จักรพรรดินีเป็นผู้นำ และทหารรักษาพระองค์เหล่านั้นสามารถฆ่านางในได้ตามอำเภอใจ แต่ไม่อาจจะแตะต้ององค์จักรพรรดินีได้
เพราะองค์จักรพรรดินียังมีพระราชบุตรองค์โต ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องการที่จะจะปกป้องลูกคนนี้อยู่ องค์จักรพรรดินีเกิดโยกคลอน ตั้งใจจะส่งพระราชบุตรองค์โตออกจากวังโดยปลอดภัย
องค์จักรพรรดินีให้นางสนมปลอมให้ตัวองค์ชายคนโตเป็นขันทีตัวน้อย จากนั้นนางจะออกหน้าตัดสินใจ ให้ทหารองครักษ์ปล่อยตัวคนในวังจำนวนมากให้หลบหนีออกไป
เมื่อองค์จักรพรรดินีทำเช่นนี้ เหล่านางสนมที่ได้เลี้ยงดูองค์ชายองค์หญิง นางในทุกคนอาศัยโอกาสนี้ที่จะออกจากวัง ในขณะที่มีผู้คนมากมายก็อยากส่งลูกออกไป
น่าเสียดายที่ทหารองครักษ์ยังคงนิ่งอยู่ เหล่านางกำนัลพึ่งพาองค์จักรพรรดินี และทหารองครักษ์ไม่กล้าที่จะแตะต้ององค์หญิงและองค์ชาย ดังนั้นจึงกำเริบเสิบสาน และเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรง
เมื่อองค์จักรพรรดิได้ถือดาบรีบไปที่วังหลัง วังหลังก็เกิดความโกลาหลขึ้นแล้ว
เขาโกรธจนตาแดงและไม่มีเหตุผล ในที่สุดองค์จักรพรรดินีได้เห็นเขาได้ปรากฏตัวขึ้น องค์จักรพรรดินีก็ก้าวไปข้างหน้าเพื่อขอร้องให้เขาปล่อยให้องค์ชายคนโตออกจากวังไป แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร จักรพรรดิก็ใช้ดาบแทงทะลุร่างขององค์จักรพรรดินีแล้ว