ข้าคือหงส์พันปี - บทที่59 นายหญิง มันตายแล้วเจ้าค่ะ
เฉินเสียนวางแผ่นกระดาษหนึ่งแผ่นลงบนโต๊ะ ลูบพู่กันสีดำให้ราบเรียบ
รอจนอวี้เยี่ยนนำยามาบีบใส่ที่นิ้วมือของเฉินเสียนเล็กน้อย อีกด้านเฉินเสียนก็ดมกลิ่นของยา อีกด้านก็จดชื่อของยาลงบนกระดาษ
โชคดีที่ในยาขี้ผึ้งไม่ได้ใส่น้ำหอม สีดั้งเดิมและกลิ่นเดิม มีกลิ่นหอมของยาอยู่ พอเฉินเสียนดมดูก็รู้ว่าด้านในมีเพิ่มตัวยาตัวไหนบ้าง
เธอมีประสาทสัมผัสไวต่อยา เกินสิ่งที่ตัวเธอเองจิตนาการไว้
ทางด้านความรู้การแยกวิเคราะห์ยานี้ เธอรู้ดีเกือบทั้งหมดของมาตรฐานการเป็นหมอ
เพียงแค่เขียนมาถึงเวลาต่อมา ระดับความเร็วของเธอชัดเจนว่าลดช้าลง ยังมีกลิ่นที่สำคัญของการปรุงยาจีน ที่เธอนั้นยากที่จะแยกวิเคราะห์ออกมาในชั่วขณะ
ยาบางกลิ่นนั้นใช้อย่างซ่อนเร้นอำพราง ไม่เช่นนั้นใครก็สามารถที่จะปรุงยาขี้ผึ้งที่ได้ผลชะงัดอย่างมหัศจรรย์อย่างนี้ได้
สุดท้ายเฉินเสียนก็ดมไม่ได้กลิ่นอะไรอื่นเลย เธออาศัยสมองของเธอที่เป็นระบบความรู้ทางการแพทย์ เธอใช้ยาบางกลิ่นเพิ่มเข้ามาก็ไม่มีวิธีการที่จะรู้กลิ่นยาตัวอื่น
กระดาษหนึ่งแผ่นนั้นเต็มไปด้วยชื่อของตัวยา
เฉินเสียนเอาตำรับนี้ให้อวี้เยี่ยน เอ่ยพูดว่า“เจ้ารู้คำที่เขียนบนกระดาษนี้หรือไม่?”
อวี้เยี่ยนมองดู เอ่ยพูดว่า“บ่าวรู้เพคะองค์หญิง”
“เช่นนั้นก็ไปนำมาเถิด ตำรับที่เขียนบนนี้ ห้ามขาดแม้แต่น้อยนะ”เฉินเสียนกำชับ“อย่าไปห้องยาในจวนล่ะ ตำรับจะถูกรายงานคนอื่นจะรู้”
“บ่าวทราบแล้วเพคะ”
ทันทีหลังจากนั้นเฉินเสียนได้ให้เงินอวี้เยี่ยนไปจำนวนหนึ่ง อวี้เยี่ยนหยิบเอาตำรับยาแล้วออกไปอย่างรีบร้อน
พอดีกับที่แม่บ้านจ้าวยกน้ำซุปหวานมา เห็นอวี้เยี่ยนเดินออกไปด้านนอก ก็เอ่ยถาม“อวี้เยี่ยน เจ้าจะไปที่ใดกัน?”
เฉินเสียนยืนมือไขว้หลังอยู่ที่หน้าประตู เอ่ย“ข้านึกอยากกินขนมพุทราจีนกับผลบ๊วยของร้านค้าที่ตงเจีย ข้าเรียกนางให้ไปซื้อให้”
ผลสุดท้ายอวี้เยี่ยนก็ได้ซื้อขนมพุทราจีนกับผลบ๊วยกลับมาและถือโอกาสนำเครื่องปรุงยาจีนห่อใหญ่กลับมาด้วย
แม่บ้านจ้าวรู้ว่าเฉินเสียนมีความรู้ทางการแพทย์อยู่บ้าง ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไรมาก ตัวเองเพียงแค่เก็บความขี้ระแวงนั้นไว้
เพียงแค่ไม่ได้เอื้อผลไม่ดีต่อท่านแม่ทัพ แม่บ้านจ้าวก็สามารถยอมที่จะปิดหูปิดตาได้
เฉินเสียนก็เข้าใจ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะฝากฝังให้แม่บ้านจ้าวไปทำได้ คนที่อยู่ข้างกายตัวเองที่เชื่อใจได้ ก็มีเพียงแค่อวี้เยี่ยนคนเดียว
เฉินเสียนกับอวี้เยี่ยนเริ่มจัดการกับเครื่องปรุงยาจีนที่ซื้อกลับมา หลังจากนั้นโม่บดละเอียดเป็นผง ทดลองใช้ยาชนิดต่างๆตามอัตราส่วนทำเป็นยาขี้ผึ้ง
อวี้เยี่ยนถามอย่างไม่เข้าใจ“ทำไมองค์หญิงถึงคิดที่จะทำยาขี้ผึ้งอย่างกะทันหันล่ะเพคะ?”
เฉินเสียนเอ่ย“ที่เหลืออยู่ไม่พอใช้”
อวี้เยี่ยนกระซิบเอ่ย“ที่เหลืออยู่มีไม่มาก แต่ใบหน้าขององค์หญิงหายดีแล้วนะเพคะ ก็ไม่ต้องใช้แล้วนิเพคะ…..”
หลังจากหลิ่วเหมยอู่นำเจ้าแมวน้อยกลับไปที่สวนดอกพุดตาน ก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไปหยอกล้อมันอีกแล้ว นางมอบมันให้กับเซียงหลิงป้อนข้าวดูแลและให้อาหารตามเวลาทุกวันก็เพียงพอแล้ว
จะเลี้ยงแมวอย่างไรสำหรับหลิ่วเหมยอู่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ นางรู้เพียงว่านางแย่งแมวตัวนี้มาจากมือของเฉินเสียนได้สำเร็จแล้ว
ต่อไปนี้ฉินหรูเหลียงอยากเล่นหยอกล้อกับแมวก็ไม่ต้องไปที่สวนดอกไม้ มาที่สวนดอกพุดตานของนางก็พอแล้ว
เจ้าแมวน้อยไม่คุ้นเคยกับสวนดอกพุดตานเป็นอย่างมาก หางตั้งตระหง่านเดินเตร่ไปมาในเรือน อีกทั้งร้องไม่หยุด
ทีแรกหลิ่วเหมยอู่ยังลูบมัน แต่ได้ยินเสียงมันร้องเกิดความหงุดหงิดรำคาญใจมากขึ้น
เจ้าแมวน้อยทั้งไม่ชอบและไม่คุ้นชินต่อสวนดอกพุดตาน ขูดข่วนเล็บเท้าอยู่ตลอดเวลา เสียงร้องก็ไม่อ่อนโยนเหมือนกับตอนที่อยู่สวนสระวสันตฤดู
หลิ่วเหมยอู่ชอบแมวขนาดนั้นที่ไหนกันเล่า นางเพียงแค่อยากจะแสดงตนว่าเป็นคนที่สุภาพอ่อนโยนต่อหน้าของฉินหรูเหลียง
เวลาที่ฉินหรูเหลียงมาที่สวนดอกพุดตาน หลิ่วเหมยอู่ก็จะทำท่าทางอุ้มแมวขึ้น ลูบมันด้วยความอ่อนโยนอบอุ่น
ฉินหรูเหลียงพบว่า หลังจากที่เขาเอาแมวตัวนี้มาจากเฉินเสียนนั้น ก็หมดความสนใจที่จะหยอกล้อกับมันแล้ว รู้สึกว่าเงียบเหงาไร้รสชาติ
แมวตัวนี้ไม่มีอารมณ์แยกเขี้ยวยิงฟันเหมือนตอนแรก
ตอนเริ่มแรกฉินหรูเหลียงยังถามสองคำ หลังจากนั้นก็ขี้เกียจที่จะใส่ใจแล้ว
ฉินหรูเหลียงเพิ่งจะออกไป หลิ่วเหมยอู่ก็ทิ้งเจ้าแมวน้อยลงบนพื้น
ไม่กี่วันมานี้แมวไม่ได้อาบน้ำเลย บนตัวก็ออกกลิ่นแล้ว
หลิ่วเหมยอู่กระทำแรงไปบ้างเล็กน้อย ไม่รอให้นางปล่อยมือออก เจ้าแมวน้อยก็รับรู้ได้ถึงอันตราย ถีบขาที่เล็บแหลมคมกระโดดลงไปก่อน
หลิ่วเหมยอู่ร้องเสียงแหลมออกมา ทำให้เจ้าแมวน้อยคว้าที่กระโปรงของนางและขาดลุ่ย
นางโมโหมาก เตะเข้าที่ท้องของเจ้าแมวน้อย เจ้าแมวน้อยที่มีร่างกายอ่อนแอถูกนางเตะลอยขึ้นสูงปลิ้นท้อง สุดท้ายร้องเสียงน่าเวทนาออกมาแล้วหล่นลงมาที่พื้นแข็งกระด้าง
หลิ่วเหมยอู่หรี่ตามองเจ้าแมวน้อยที่หวาดกลัวคลานขึ้นมา ขาเป๋พิการ ด่ากราดอย่างไม่ลดละ“เจ้าแมวไม่รักดี!”
ทุกวันเซียงหลิงปรนนิบัติแค่หลิ่วเหมยอู่ก็ยุ่งเหนื่อยมากพอแล้ว ไม่มีเวลาว่างหรืออารมณ์ดีที่จะมาปรนนิบัติเจ้าแมวน้อยอีกด้วย
ปกติอาหารที่เซียงหลิงให้เจ้าแมวน้อยกินคือมื้ออาหารที่หลิ่วเหมยอู่กินเหลือ
เจ้าแมวน้อยกินน้อยมาก ไม่กี่วันก็ผอมลงอย่างมาก
มีครั้งหนึ่งก่อนที่หลิ่วเหมยอู่จะกินอาหาร เจ้าแมวน้อยกวัดแกว่งอยู่ที่ด้านข้างขาของหลิ่วเหมยอู่ ทันใดนั้นได้กระโจนขึ้นบนโต๊ะอาหาร คว่ำน้ำซุปของหลิ่วเหมยอู่เสร็จแล้วก็วิ่งหนี
หลิ่วเหมยอู่โมโหเป็นอย่างมาก ใช้สองมือยกถ้วยชาที่อยู่ข้างมือร้อนๆยังไม่เย็นสาดไปทางเจ้าแมวน้อย
เจ้าแมวน้อยร้องอย่างน่าเวทนา ทั้งตัวเปียกชื้นไปด้วยความร้อน
บนหัวของเจ้าแมวน้อยนั้นถูกน้ำชาที่ร้อนๆลวกทำให้เป็นสีแดงสด หัวล้านไปหนึ่งส่วน
มองเห็นเจ้าแมวน้อยที่มีความเจ็บปวดทรมาน ไม่รู้ว่าทำไม ภายในใจของหลิ่วเหมยอู่ก็ยิ่งมีความสุขสะใจ
นางราวกับเห็นว่าเป็นเฉินเสียน สามารถที่จะกลั่นแกล้งตามอำเภอใจให้ทรมานได้
ในเมื่อเฉินเสียนกล้าที่จะบอกนางว่าห้ามให้แมวที่น่ารังเกียจนี้ขนหลุดแม้แต่เส้นขนเดียว แต่นางต้องการที่จะทำมัน!
นางไม่เพียงต้องการให้มันขนหลุด นางยังต้องการให้มันกลายเป็นแมวหัวล้าน !เฉินเสียนจะทำอะไรนางได้ล่ะ?
หลิ่วเหมยอู่สั่งเซียงหลิง“นำแมวที่สกปรกตัวนี้ไปขังไว้ที่ห้องด้านข้าง ใจกล้าที่มาวิ่งเพ่นพ่านบนโต๊ะข้า ปล่อยให้มันหิวสองวัน!”
พอตกดึก หลิ่วเหมยอู่ได้ยินเสียงแมวร้องทำให้ตื่นขึ้นมา นี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่หลิ่วเหมยอู่เบื่อหน่ายเจ้าแมวน้อยตัวนี้
แต่เมื่อก่อนที่อยู่สวนสระวสันตฤดู เจ้าแมวน้อยกินอาหารมื้อเย็นเสร็จก็นอนอย่างว่าง่าย แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ร้องเรียกโวยวาย
ค่ำคืนนี้เจ้าแมวน้อยถูกขังไว้ในห้องไม่ให้ออกมา ทั้งตัวของมันคือรอยบาดแผล ร้องเสียงแหลมมากกว่าเมื่อก่อน
เล็บเท้าของเจ้าแมวน้อยขีดข่วนที่ประตูห้อง เต็มไปด้วยความสิ้นหวังกับความหวาดกลัว
หลิ่วเหมยอู่ถูกทำให้ตื่นอีกครั้ง
นางสั่งให้เซียงหลิงไปเอาออกมา ออกแรงทิ้งลงบนพื้นของเรือน
จนถึงตอนท้ายสุด เจ้าแมวน้อยที่เดิมทีน่ารักอ่อนหวานก็ร้องไม่ออกแล้ว นอนแข็งตัวยืดตรงไร้การเคลื่อนไหวอยู่บนพื้น
เซียงหลิงเดินไปตรวจสอบดู เอ่ยอย่างประหวั่นพรั่นพรึงไปหมดว่า“นายหญิง มันตายแล้วเจ้าค่ะ”
“ตอนที่มีชีวิตอยู่อยากจะออกไปวิ่งด้านนอกนัก นี่ก็ถึงจุดจบแล้ว! ไม่ใช่พูดว่าแมวมีไหวพริบดีมากหรอกหรือ ทำไมถึงได้โง่เขลาเช่นนี้!ถ้าหากมันรู้จักค่อยๆเอาใจข้า ก็จะไม่พบจุดจบเช่นนี้หรอก”
หลิ่วเหมยอู่พูดอย่างเหยียดหยาม หมุนตัวเข้าห้อง แล้วเอ่ยว่า“ไม่ใช่ว่าอยากกลับไปหรือ ครั้งนี้ช่วยให้เจ้าสมหวังแล้ว”
วันต่อมาหลิ่วเหมยอู่อารมณ์ไม่ดี ร่วมกินมื้อเช้ากับฉินหรูเหลียงแล้วเขาเอ่ยถึงเรื่องแมว จึงยิ้มเจื่อนๆเอ่ย“เหมือนกับว่าเหมยอู่กับเจ้าแมวน้อยตัวนั้นเข้ากันไม่ได้ เจ้าแมวน้อยร้องเวลากลางคืน ราวกับว่าอยากกลับไปที่สวนสระวสันตฤดู เหมยอู่ไม่บีบบังคับ เมื่อคืนนี้ได้ส่งกลับไปที่สวนสระวสันตฤดูแล้วเจ้าค่ะ”
ฉินหรูเหลียงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ส่งกลับไปก็ดีแล้ว มันจะได้ไม่หนวกหูตอนที่เจ้าพักผ่อน”
สวนดอกพุดตานนับว่าสงบแล้ว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงแมวร้อง
แต่ทว่าเฉินเสียนไม่ได้รับเจ้าแมวน้อยที่หลิ่วเหมยอู่ส่งกลับ เธอก็ไม่รู้ว่าเจ้าแมวน้อยนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
อวี้เยี่ยนเอ่ยคิดถึงอยู่บ่อยครั้ง “เจ้าแมวน้อยนั่นไม่มีคุณธรรมเลย หรือว่าสุขแล้วลืม หลายวันแล้วไม่เห็นมันกลับมาเลยเพคะ”