ข้าคือหงส์พันปี - บทที่615 ข้าพบว่า อำนาจนั้นเหมาะกับข้ามากกว่า
ทั้งที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ปัญหาเกิดขึ้นจากอะไร?
ทันทีที่เขาพูด ซูเจ๋อก็คุกเข่าลงบนพื้น ยังคงสงบนิ่งและแสดงความเย่อหยิ่ง เพราะเฉินเสียนจะไม่ทำอะไรกับเขา เขารู้ เฉินเสียนก็รู้เช่นกัน
เฉินเสียนย่อตัวลงระดับเดียวกับเขา เอนตัวเข้าไปใกล้เขาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “ท่านสามารถบอกข้าได้หรือไม่ ทำไมถึงทำเช่นนี้ ทั้งที่ท่านสามารถทำให้มีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำไปตลอดได้ และสามารถเป็นที่น่าเคารพนับถือของเหล่าขุนนางหลายร้อยคน เป็นแบบอย่างกับพวกเขา แต่ทำไมท่านถึงทำลายตัวท่านเองล่ะ?”
นางกัดฟัน มองดูท่าทางเรียบๆ ของเขา ในใจรู้สึกอึดอัดมาก และพูดไปทีละคำ “ท่านบอกท่านอยากเป็นขุนนางที่มีอำนาจ ท่านบอกท่านอยากจะคอยปกป้องข้ากับอาเซี่ยนตลอดไป ท่านลืมไปแล้วหรือ?”
ทั้งสองต่างก็หยุดชะงัก
ต่อมา เฉินเสียนอ่อนแรงลงเล็กน้อย นางได้คุกเข่าลงบนพื้นเหมือนซูเจ๋อ และเอนกายไปกอดเขา
ศีรษะของซูเจ๋อพิงที่ไหล่ของนาง กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมา ในสายตาที่ขมขื่นของเขา ปากยังคงพูดอย่างเรียบง่าย “ฝ่าบาท ที่นี่คือห้องตำราหลวง ฝ่าบาทไม่ควรทำเช่นนี้”
เฉินเสียนก็ยิ่งกอดเขาไว้แน่น
นางพึมพำ “ข้าทำไมรู้สึกว่า ท่านกำลังจะจากข้าไป”
“คนดีอยู่ได้ไม่นาน ความชั่วยังคงอยู่นับพันปี คนอื่นต่างเกลียดชังข้า แต่ทำอะไรข้าไม่ได้ เพียงแค่ตัวข้าอยู่ที่ราชสำนัก ราชสำนักเป็นของท่าน จะให้ข้าจากท่านไปได้อย่างไร”
หลังจากที่ซูเจ๋อออกจากการห้องตำราหลวงแล้ว เฉินเสียนก็นั่งอยู่ในห้องตำราหลวงเพียงลำพัง ครุ่นคิดอยู่นาน นางคิดกลับไปกลับมา แล้วพยายามค้นหาเบาะแสของการเปลี่ยนแปลงของซูเจ๋อ แต่สุดท้ายก็ไม่มีเงื่อนงำอะไร
ต่อมาเฉินเสียนได้เรียกให้ฉินหรูเหลียงเข้าพบ ให้ฉินหรูเหลียงส่งทหารอารักขาไปประจำการที่ใกล้เรือนของซูเจ๋อ
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “ฝ่าบาทต้องการจับตาดูเขาหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
เฉินเสียนยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้าไม่รู้ว่าเขาผิดตรงไหน แต่มันต้องมีเหตุผลสิ ฉินหรูเหลียง ท่านคิดว่าเขาเป็นแบบนี้ตอนนี้ เป็นสิ่งที่ตัวเขาเองต้องการหรือไม่?”
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “กระหม่อมก็ไม่ทราบ แต่เนื่องจากฝ่าบาทมีรับสั่ง กระหม่อมจะไปจัดการ และจะไม่ให้รู้ตัวพ่ะย่ะค่ะ”
สุดท้ายเขาก็ไม่ได้บอกว่าซูเจ๋อขอให้เขาเลือกทหารอารักขา และฝึกฝนพวกเขาเพื่อปกป้องผู้คุมกับแบบลับๆ ให้เฉินเสียน
ไม่นานทหารอารักขาก็ปลอมตัวเป็นชาวบ้าน เฝ้าประตูบ้านของซูเจ๋อตลอดทั้งวันทั้งคืน
ซูเจ๋อเดินทางออกไปแต่เช้าตรู่ จนถึงเย็นได้ออกมาจากสถานที่ว่าราชการกลับเรือน ในบ้านไม่มีแขกมาเยี่ยมบ้าน ปกติประตูจะปิดตลอด ไม่มีใครเข้าหรือออก นอกจากคนใช้ของพ่อบ้าน
ทหารอารักขาเฝ้ามาหลายวันแล้ว แต่พวกเขาก็พบผลเช่นนี้ตลอด ซึ่งน่าผิดหวังนัก
เฉินเสียนเรียกเฮ่อโยวมาถามอีกครั้ง เฮ่อโยวก็ไม่มีเงื่อนงำอะไร และช่วงนี้เขาได้รับการกดดันอิทธิพลของซูเจ๋อ จึงค่อยๆ เหินห่างกับซูเจ๋อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เฮ่อโยวก็คิดไม่ออกเช่นกัน
ต่อมาเฉินเสียนออกจากวังเป็นเวลาสองคืนติดต่อกัน โดยไปที่ซูเจ๋อนั่น
น่าเสียดายที่นางไม่ได้เจอซูเจ๋ออีกเลย
พ่อบ้านพาเฉินเสียนเข้ามาแล้วพูดว่า “ช่วงนี้อากาศหนาวมาก พอตกกลางคืน นายท่านก็พักผ่อนเร็ว แต่ถ้าให้บ่าวไปเรียกนายท่าน หรือฝ่าบาทจะเข้าไปเองพ่ะย่ะค่ะ?”
ในขณะนั้น เฉินเสียนกำลังยืนอยู่ที่สวนด้านในเรือนของซูเจ๋อ มองดูประตูที่ปิดสนิท และภายในก็มืดมิด
เมื่อเห็นว่านางยืนนิ่ง พ่อบ้านก็เดินไปข้างหน้าด้วยตัวเอง โดยเหมือนพยายามจะเคาะประตูเพื่อเรียกซูเจ๋อ
เฉินเสียนก็พูดขึ้นทันที “ช่วงนี้เขาหลับสบายดีไหม?”
พ่อบ้านตอบว่า “นายท่านช่วงนี้เข้านอนเร็ว ตื่นนอนก็ตอนเช้าตรู่ เพียงแค่ว่าหากได้ตื่นนอนกลางดึก ก็ยากที่จะหลับต่อพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องปลุกเขา ปล่อยให้เขานอนเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าอยากอยู่ที่นี่สักพัก”
หลังจากที่พ่อบ้านออกไปอย่างเงียบๆ เฉินเสียนก็ก้าวขึ้นบันไดเบาๆ และนั่งลงบนทางเดินหน้าประตูของซูเจ๋อ
ซูเจ๋อนอนอยู่บนเตียง และนอกหน้าต่างมีดวงจันทร์เป็นสีขาวจางๆ เขาหลับตาลงครึ่งหนึ่ง ฟังเสียงพูดคุยที่มีความอ้างว้างในสวน แล้วกลับสู่ความสงบอีกครั้ง
เฉินเสียนนั่งนอกเรือนเป็นเวลานาน นางเอนตัวเอมือกุมศีรษะ และเหล่มองที่บานประตูของเขา ราวกับกำลังคิดว่าถ้ามองผ่านเข้าไปในประตูนี้ ก็สามารถมองเข้าไปในหัวใจของเขาได้
เฉินเสียนนั่งจนร่างกายแข็งทื่อ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ทำไมข้าถึงสัญญากับท่านตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้คิดแล้วช่างน่าเสียใจจริงๆ แต่ท่านคิดว่าท่านกลายเป็นคนทรยศ สับปลับ และกลายเป็นรูปลักษณ์ที่เลวร้ายที่สุดในโลก ข้าก็จะปล่อยท่านไปเช่นนั้นหรือ”
ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นจากไป และเดินออกจากบ้านของเขาเพียงลำพัง และดูเศร้าๆ เล็กน้อย
ต่อไป นางสามารถทำได้ดีที่สุดเพื่อที่จะกอบกู้และแก้ไข แต่อย่างไรก็ตาม นางไม่สามารถปล่อยเขาคนนี้ไปได้
ในคืนที่สามเฉินเสียนได้กลับมาอีกครั้ง และฉินหรูเหลียงก็มาพร้อมกับนาง
นางยืนอยู่หน้าประตูบ้านของซูเจ๋อ และได้เคาะประตู
คราวนี้พ่อบ้านไม่มาเปิดประตู แต่คืนนี้นางมาเร็วกว่าสองคืนก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
สักพัก ก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้นว่า “ใคร?”
หัวใจของเฉินเสียนสั่นและพูดว่า “ข้าเอง”
มีเพียงนางเท่านั้นที่จะมาที่ประตูข้างนี้ อีกอย่างซูเจ๋อก็รู้เช่นกัน ซูเจ๋อรู้ว่าคนที่อยู่นอกประตูเป็นนาง แต่ก็ยังต้องถามอย่างแปลกๆ
มีช่วงเวลาของความเงียบอยู่ภายในและพูดว่า “ข้ากำลังวางแผนที่จะปิดประตูด้านข้างนี้ในอีกสองวัน ต่อไปหากท่านมาเคาะประตูอีก เกรงว่าจะไม่ได้ยินแล้ว”
ซูเจ๋อไม่ได้เปิดประตู แต่เอนกายพิงประตูอย่างเงียบๆ ห่างจากเฉินเสียนเพียงแค่ประตูเท่านั้น
เฉินเสียนถามอย่างงุนงง “เป็นเพราะข้าคอยมากวนใจท่านอยู่เสมอหรือ?”
ซูเจ๋อขมวดคิ้วเมื่อพิจารณาถึงคำพูดของเขา “อาเสียน ท่านให้เวลาข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่ เพื่อรอให้ข้าทำในสิ่งที่ข้าต้องการจะทำ”
เฉินเสียนรู้สึกเจ็บปวดและโกรธมาก ถึงใช้กำปั้นตีไปที่ประตู กัดฟันแล้วพูดว่า “แล้วยังไง?”
ซูเจ๋อไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา “ข้าพบว่า อำนาจนั้นเหมาะกับข้ามากกว่า เมื่อก่อนข้าไม่ได้มีมันไว้อยู่ในมือ จึงไม่รู้ความสนุกเลย ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ผู้ชายทุกคนในโลกล้วนมีความทะเยอทะยาน แม้แต่ข้าเองก็ไม่มีข้อยกเว้น”
เฉินเสียนทุบประตูด้วยหมัดอีกครั้ง เตะประตูอย่างบ้าคลั่ง แล้วพูดด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ ว่า “เจ้าบอกข้าทีว่าตอนนี้เจ้าได้พบกับอำนาจ และหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ในราชสำนัก ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว! เจ้าเก่งจริงก็เปิดประตูออกมา ออกมาอยู่ต่อหน้าข้า มองตาข้าแล้วก็พูดอีกครั้ง!”
เฉินเสียนยังคงเคาะประตูจนมือเป็นแผล แต่ดูเหมือนว่าซูเจ๋อจะไม่อยู่หลังประตูนั้นอีกต่อไป
ฉินหรูเหลียงทนไม่ไหวและพูดว่า “ถ้าเจ้าต้องการพบเขา ข้าจะพาเจ้าข้ามเข้าไปก็สามารถเจอเขาได้แล้ว”
เฉินเสียนส่ายหน้า รู้สึกว่าบนใบหน้าเย็นเล็กน้อย นางพูดเสียงแหบ “คำพูดนั้น เขาอยู่ต่อหน้าข้าเขาก็อาจจะพูดออกมาได้ แต่ข้าไม่อยากได้ยิน”
ฉินหรูเหลียงดึงนางกลับเข้าไปในรถม้าและส่งนางกลับไปที่วังหลวง ตามหมอหลวงมาพันแผลให้นาง ไม่รู้ว่านางใช้แรงเท่าไหร่ เสี้ยนไม้ถึงได้ปักเข้าผิวหลังมือของนางโดยไม่รู้ตัว พอหมอหลวงเอาเสี้ยนออกให้ แม้แต่คิ้วก็ไม่ขยับ คนทั้งตัวกับใบหน้าที่ไม่มีแม้แต่อารมณ์
ฉินหรูเหลียงเม้มริมฝีปาก และหันหน้าก็จากไป
เขากลับไปที่ตรอกนั้นอีกครั้ง ก็กระโดดข้ามกำแพงและเข้าไปในบ้านของซูเจ๋อ เดินตรงไปที่ลานด้านใน และได้ดึงซูเจ๋อออกจากห้อง