ข้าคือหงส์พันปี - บทที่682 นางเป็นเสด็จแม่ของลูก เคยเป็นคนที่ท่านรักที่สุด
เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านได้เก็บไว้แล้วหนึ่งคน ตอนนี้ท่านต้องการเก็บไว้อีกคน? ในวันนี้ถ้าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยกักตัวองค์ชายแห่งต้าฉู่ของข้า ก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่ข้าจะไม่ไว้หน้าเป่ยเซี่ยแล้วจริงๆ แม้ว่าจะแผ่ขยายอาณาเขตเป่ยเซี่ยของท่าน ก็ต้องส่งตัวรัชทายาทกลับคืนมา รัชทายาทของอาณาจักรนั้นเกี่ยวข้องกับโชคลาภในอนาคตของต้าฉู่ของข้า ในเวลานั้นต้าฉู่จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อพิชิตเป่ยเซี่ย”
จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเหลือบตามอง รัศมีความแค้นที่ไหลล้นบนร่างกายของเขา และกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าควรหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตตลอดไปใช่หรือไม่? เจ้ากล้ามาก อย่าลืมล่ะ เจ้าเป็นจักรพรรดินีกับองค์รัชทายาทแห่งต้าฉู่ ตอนนี้ทั้งหมดได้อยู่ในอาณาเขตของข้าแล้ว”
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เพียงแค่พวกเราเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ชายหกของเย่เหลียงด้วย ข้าต้าฉู่ทะเลจีนตะวันออก มีเรือรบได้เตรียมพร้อมแล้ว และกองกำลังทหารต่างเก่งกาจแข็งแกร่ง หากวันหนึ่งร่วมกองกำลังกับเย่เหลียง ต่อให้ไม่มีข้าจักรพรรดินีแห่งต้าฉู่แล้ว ก็สามารถทำให้เป่ยเซี่ยของท่านอยู่อย่างไม่สงบสุขตลอดไปได้”
ระหว่างการพูดคุยและเสียงหัวเราะ มันช่างสงบและไม่แยแส ไม่มีความกระตือรือร้นเลยสักนิด แต่ทุกคำพูดกลับเต็มไปด้วยการฆ่าฟัน
ต้าฉู่วันนี้ หัวใจราษฎรล้วนปรารถนาสิ่งนี้ และความสามัคคีของราชสำนัก นางมีความสามารถนี้จริงๆ
เมื่อรู้ว่าตัวเองมีหลานชายเช่นนี้ในตอนแรก จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็คิดที่จะแย้งหลานชายกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ตอนนี้พบว่า ต้าฉู่พัฒนาขึ้นในเวลาเพียงไม่กี่ปี ดังนั้นปีกของเฉินเสียนจึงสมบูรณ์ และเขาไม่สามารถแย้งกลับคืนมาได้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นส่วนรวมหรือส่วนตัว จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรเฉินเสียนและซูเซี่ยนได้
เฉินเสียนหันกลับเดินไปสองก้าว จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่อยู่ด้านหลังเอ่ยปากกล่าว “เจ้าจะทำอย่างไรกันแน่ ถึงจะยอมให้ข้ากับอาเซี่ยนได้พบกัน?”
เฉินเสียนไม่ได้หันหน้ากลับมา และกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “เป็นที่ข้าไม่ยอมให้พวกท่านปู่หลานได้เจอกันหรือ? คนที่ขัดขวางพวกท่านไม่ใช่ข้า แต่เป็นตัวท่านเอง เป็นที่ท่านไม่ยอมให้ข้าและพ่อของเขาได้พบกัน ทั้งเป็นท่านที่ทำให้ลูกชายข้าไม่มีพ่อ ตอนนี้ ท่านยังต้องการที่จะเป็นปู่ของเขา?”
นางได้กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ กล่าวออกมาทีละคำพูด ว่า”ข้า และอาเซี่ยน ไม่ต้องการ ของแบบนั้น”
คิดย้อนไปเมื่อปีก่อน เมื่อที่เฉินเสียนที่อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเป่ยเซี่ยดูต่ำต้อยเพียงใด โดนดูถูกเช่นไร นางก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ในขณะนั้น นางคิดว่าเพียงสามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ ต้องการเพียงแค่ให้นางได้อยู่ด้วยกันกับซูเจ๋อ แม้จะเป็นการถ่อมตนให้ต่ำลงเพื่อที่จะขอร้องใครนั้นมันก็สมเหตุสมผลแล้ว
ในท้ายที่สุด จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ยังไม่สามารถทำให้บรรลุความปรารถนาได้ นางเคยแค้นใจหรือไม่? หากบอกว่าไม่เคยแค้นนั้นก็คงโกหก
แต่ความคับแค้นใจที่สะสมมาทั้งหมด ก็เทียบกับความเด็ดขาดของวันนี้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีความรู้สึกที่เกลียดชังอยู่เล็กน้อย
หลังจากใช้ชีวิตไปครึ่งชีวิตอย่างไรประโยชน์ จนกระทั่งในที่สุดก็สูญเสียไป นอกจากเหลืออาเซี่ยนไว้ให้นาง นางก็ไม่มีอะไรเลย พวกเขายังต้องการอะไรอีกล่ะ?
เฉินเสียนได้ตัดสินใจออกจากพระราชวังเป่ยเซี่ย ได้พาเย่ซวิ่นและกลุ่มชายรูปงามที่ไม่รู้จักกลุ่มหนึ่งออกไปจากพระราชวัง
วันนี้เย่ซวิ่นมีเสน่ห์มากเป็นพิเศษ มองดูเฉินเสียน หรี่ตาลงด้วยรอยยิ้ม ราวกับเป็นจิ้งจอกที่ขี้เกียจและยังสูงส่ง
ดูเหมือนว่า เฉินเสียนและซูเจ๋อคงจะไม่มีโชคชะตาต่อกันแล้ว คราวนี้ที่มาที่นี่ นางคงจะรู้สึกยอมแพ้แล้ว
คนหนึ่งมีพระชายา และอีกคนมีชายรูปงามเต็มวังหลัง นี้เป็นผลลัพธ์ที่ไม่เลว
เฉินเสียนเดินผ่านเขาแล้วเหลือบมองอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ถ้าเจ้ายังยิ้มดีอกดีใจที่คนอื่นมีปัญหาเช่นนี้ ข้าจะเคาะฟันหน้าของเจ้าให้หลุด”
เย่ซวิ่นติดตามเฉินเสียน และกล่าวปลอบโยน “เป่ยเซี่ยไม่รู้ว่าอะไรถูกหรืออะไรผิดก็ช่างเถอะ เย่เหลียงของข้ายินดีที่จะรวมกับต้าฉู่ทั้งสองอาณาจักรมีสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกันตลอดไป”
เมื่อถึงชายหาด เรือสองลำนั้นได้ทอดสมอจอดอยู่ที่นั่น พร้อมที่จะแล่นได้ทุกเมื่อ
เฉินเสียนหรี่ตา มองดูทหารองครักษ์ที่เดินไปเดินมาตรวจตราทุกที่ทั้งบนเรือและด้านล่างของเรือ และจัดให้ชายรูปงามทั้งสามสิบสองคนขึ้นเรือทีละคน
เฮ่อโยวดึงซูเซี่ยนออกมาอีกด้านและถามอย่างเงียบๆ “เรื่องที่เสด็จพ่อของท่านไม่ได้แต่งงานกับพระชายารุ่ยคนนั้น ท่านไม่ได้บอกเสด็จแม่อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้นจะรีบกลับไปเช่นนี้?”
ซูเซี่ยนกล่าวว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้เสด็จแม่ไปจัดการให้ชัดเจนเองเถอะ” เขาพาแม่เขามาเพื่อไปกระตุ้นพ่อเขา สุดท้ายกลับเป็นแม่เขาเองที่ถูกพ่อเขากระตุ้นให้แล้ว ซึ่งซูเซี่ยนเองก็ไม่เคยคิดมาก่อน
แต่ว่าถ้าพ่อของเขาไม่สนใจ เหตุใดจึงใช้พระชายารุ่ยที่ถูกจัดสรรปั้นเท็จขึ้นที่อยู่ในราชวังนั้นมากระตุ้นแม่ของเขา และสันนิษฐานว่าในเวลานั้นพ่อของเขาถูกทำให้โมโหจนสับสนแล้ว
เฮ่อโยวกล่าวว่า “นี่เรือก็กำลังจะแล่นจากไปแล้วจะให้ฝ่าบาทไปจัดการให้ชัดเจนด้วยตัวเอง มันไม่สายเกินไปหรือ”
ซูเซี่ยนยังหรี่ตามองไปที่ทะเลอันเงียบสงบ และกล่าวว่า “เขาน่าจะรู้ ว่าถ้าเสด็จแม่ได้กลับไปแล้ว ต่อไปอาจจะไม่กลับมาที่นี่อีกแล้ว”
ทันทีที่เสียงพูดค่อยๆ ดับลงมา ก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความรักว่า “หลานชายของข้า!”
ใบหน้าเล็กๆ ของซูเซี่ยนสั่นเทา และหันไปมองอย่างมืดมน ได้เห็นองค์หญิงจาวหยางวิ่งเข้ามาหาเขาราวกับว่านางได้หลุดจากบังเหียนแล้ว
แค่ดูปฏิกิริยาของซูเซี่ยน เฮ่อโยวก็รู้สึกว่าค่อนข้างมีความดีอกดีใจมาก
และคนที่เดินตามหลังองค์หญิงจาวหยาง ก็โผล่พรวดออกมานั้นคือซูเจ๋อ เขาแต่งกายด้วยชุดสีดำ ดุจคลื่นทะเลและสายลม ที่อบอุ่นและอ่อนโยน
เขาอยู่ข้างเฉินเสียน มองดูทะเลกับนางอยู่ครู่หนึ่ง และฟังเสียงคลื่นทะเลขึ้นสักพัก เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นจากระดับน้ำทะเล จู่ๆ ก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกสีส่องประกายระยิบระยับ
ทัศนียภาพนั้นสวยและงดงามมาก
ผู้คนที่ทำงานทั้งในและนอกเรือ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดมือลง เพื่อเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่สวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นที่ทะลุผ่านท้องฟ้ามา
ซูเจ๋อลดเปลือกตาที่แคบและเรียวยาว รูม่านตาลึก และถูกดับลงด้วยแสงตะวันยามรุ่งอรุณสีทองจางๆ แต่รูม่านตาของเขาดำลึกราวกับหมึก และไม่ว่าแสงจะสว่างแค่ไหนก็ไม่สามารถส่องประกายในดวงตาของเขาได้
เฉินเสียนถามโดยไม่หันมองเขา “ท่านจะมาทำอะไรอีก”
“ได้ยินมาว่าท่านกำลังจะไป” ซูเจ๋อพูด “ข้ามาส่งท่าน”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ต่อไปภูเขาสูงหนทางที่ยาวไกล เกรงว่าต่อไปคงจะไม่ได้พบกันอีก”
“จริงหรือ”
ขณะนี้ เหลียนชิงโจวได้เดินลงมาจากบนเรือน และตรงไปข้างหน้าเฉินเสียน สีหน้าจริงจังกล่าวว่า “ฝ่าบาท คนในกองทหารเรือไม่ทราบว่าเป็นอะไร บอกว่าตั้งแต่กลางดึกเมื่อคืนจนถึงรุ่งเช้า ได้อาเจียนท้องเสียจนถึงตอนนี้ยังไม่หยุดเลยพ่ะย่ะค่ะ วันนี้เกรงว่าคงจะไม่สามารถออกเดินทางได้”
เฉินเสียนขมดคิ้ว ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
กองทหารเรือคือผู้คุมหางเรือ ผู้บังคับทิศทาง ผู้มองทิศทางลม ต่างมีประสบการณ์มากที่สุด หากไม่มีพวกเขา เรือก็ไม่สามารถออกสู่ทะเลได้
ซูเจ๋อที่อยู่ข้างๆ กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้ว งั้นตามหมอมาตรวจอาการ ดูว่าเป็นเพราะไม่ชินกับดินฟ้าอากาศหรือไม่”
ด้วยเหตุนี้ ซูเจ๋อจึงขอให้ผู้ติดตามของเขากลับไปที่วัง เพื่อเชิญหมอมาดูอาการ
ทันทีที่ซูเจ๋อพูด คิ้วของเฉินเสียนก็เลิกขึ้นโดยไม่รู้ตัว และมองไปที่ซูเจ๋อด้วยความรู้สึกเห็นท่าไม่ดี
ซูเจ๋อยิ้มให้นาง และถามว่า “วันนี้ยังจะเดินทางหรือไม่ ข้าคิดว่าคงจะเดินทางต่อไม่ได้”
เฉินเสียนโกรธจนพูดไม่ออก คิดในใจว่าต้องเป็นฝีมือของเขา ต้องใช่แน่ๆ!
เฮ่อโยวเหลือบมองซูเซี่ยนเงียบๆ แววตาที่แสดงออกมา —— ดูเหมือนว่าท่านจะรู้จักเสด็จพ่อของท่านจริงๆ
สายตาของซูเซี่ยนตอบเขา —— ท้ายที่สุดแล้วนั่นคือเสด็จพ่อของข้า ข้ารู้ดีกว่าท่าน
หลังจากนั้นไม่นาน หมอหลวงก็มาถึง และทำการตรวจและวินิจฉัยให้กับกองทหารเรือน และสรุปว่าไม่ชินกับดินฟ้าอากาศจริงๆ
หมอหลวงสั่งจ่ายยา ต้องกินยาตามใบสั่งยา และต้องพักผ่อนอย่างระมัดระวังเป็นเวลาสามถึงห้าวันเพื่อดูว่าอาการจะดีขึ้นหรือไม่ หมอหลวงยังสั่งว่า ในช่วงเวลาไม่แนะนำให้ขึ้นเรือ เพราะบนเรือแตกต่างจากพื้นดิน ไม่เช่นนั้นอาการจะรุนแรงขึ้น และผลที่ตามมาจะคาดเดาไม่ได้
ซูเจ๋อพยักหน้าและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าจักรพรรดินีต้าฉู่จะไม่สามารถออกเรือได้อีกจนกว่าพวกเขาจะหายดี” เขาเหลือบมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นเหนือระดับน้ำทะเล และกระซิบเบาๆ “สภาพอากาศวันนี้ไม่เลว ข้าจะพาท่านไปเดินเล่น?”