ข้าคือหงส์พันปี - บทที่705 ข้ายอมให้ท่าน
เมื่อก่อนทั้งคู่นั้นต้องประสบกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมายมาตลอดทาง ต่างฝ่ายต่างก็คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พวกเขามีจุดมุ่งหมายและศัตรูคนเดียวกัน พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าจิตใจของอีกฝ่ายอยู่ที่ตัวของตัวเองเท่านั้น ถึงแม้ว่าช่วงเวลานั้นจะลำบากยากเข็น แต่ก็กลับทำให้พวกเขามั่นคงไม่หวั่นไหวมากยิ่งขึ้น
อาจจะเป็นเพราะสาเหตุที่เคยประสบกับการสูญเสียอันเจ็บปวดครั้งนั้น ต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนที่อ่อนไหว กลายเป็นระมัดระวังและยังรู้จักการวางแผนให้มากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทั้งเธอและซูเจ๋อที่กำลังตกอยู่สถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ทั้งสองคนที่กำลังแข่งขันกันก็กลับห่วงใยซึ่งกันและกัน
เมื่อลองคิดดูแล้ว เช่นนี้นั้นราวกับต้องแสดงให้เหมือนที่แอบรักกันในช่วงแรกที่ต่างคนต่างอวดเก่งและเล่นแง่กัน เธอและซูเจ๋อนั้นไม่เคยทะเลาะกันมาก่อน ตอนนี้ก็กลับได้ชดเชยแล้ว
เรื่องที่โชคดีบนโลกใบนี้ก็คงไม่พ้นที่ข้าสามารถแสดงเจตนาแสร้งทำตัวเหนือคนอื่นได้ เพราะว่ามีท่านตามใจ
ตอนนี้เฉินเสียนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ซูเจ๋อเดินมายังตรงหน้าเธอ เขาจูงมือเธอเข้าไปในห้อง แล้วพูดเสียงเบาว่า“กลัวที่จะเข้ามาในห้องข้าขนาดนั้นเลยรึ ห้องนอนข้าใช่ว่าจะมีปีศาจสักหน่อย”
เฉินเสียนยังไม่ค่อยได้สติกลับมา จึงพูดขึ้นช้าๆอย่างระมัดระวังว่า“ไม่ใช่ว่ากลัว แต่ข้าแค่รู้สึกกังวลนิดหน่อย”
“ท่านกังวลอะไร”
“เพราะว่าภายในห้องนอนของท่าน มีเตียงที่ท่านเคยนอน มีเก้าอี้ที่ท่านเคยนั่ง มีเครื่องชาที่ท่านเคยใช้ดื่ม สิ่งของทุกอย่างในห้องนี้มันมีกลิ่นอายของท่านติดอยู่เต็มไปหมด ข้าเลยรู้สึกกังวลขึ้นมา”
ตามที่เธอพูดออกมานั้น สายตาที่ลึกลับสุขุมของซูเจ๋อก็ได้จ้องมองไปยังเธอ
เฉินเสียนเรียกสติตัวเองกลับมาจากการขบคิดเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้ว ยื่นมือไปตบที่ต้นคอตัวเองและรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอกำลังพูดจาเหลวไหลอะไรออกไป หาเรื่องอื่นพูดไม่ได้แล้วหรือ……
ซูเจ๋อยื่นมือออกไปลูบที่ใบหูของเธออย่างประณีต นิ้วมือของเขาไล่ไปตามโคร่งร่างของใบหูเธอ จึงทำให้เห็นว่าบริเวณกกหูชมพูอ่อนของเธอนั้นกำลังแผ่ความร้อนออกมา
เฉินเสียนก็รับรู้ได้ถึงความร้อนที่ถูกแผ่ออกตั้งแต่บริเวณลำคอของตัวเองขึ้นไป
เธอหันศรีษะเพื่อหลบซ่อน จ้องตาขู่ซูเจ๋อพร้อมเอ่ยว่า“เมื่อครู่ข้าถูกท่านสะกดด้วยเวทมนต์ สิ่งที่ข้าพูดอะไรออกไปนั้นท่านอย่าถือสา”
ซูเจ๋อสัมผัสลูบไล้ด้วยนิ้วที่เบามือ ยังคงครุ่นคิดอยู่กับนิ้วที่สัมผัสอุณหภูมิที่กกหูของเธอเมื่อครู่นี้ เขายิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า“พูดคุยอะไรกันดี ไม่ว่าท่านจะพูดอะไรข้าก็ชอบที่จะฟัง”
เวลานั้น นางกำนัลก็เข้ามาตามที่ได้รับคำสั่งไป นำน้ำแข็งและผ้าฝ้ายที่ซูเจ๋อต้องการมาให้
ซูเจ๋อย่างกายเดินไปปิดประตูอย่างสบายๆ เมื่อประตูถูกปิดสนิท ในใจของเฉินเสียนก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดทันที
เธอเห็นซูเจ๋อใช้ผ้าฝ้ายห่อก้อนน้ำแข็งเอาไว้แล้วม้วนเป็นก้อนกลม จึงอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “ท่านเอามาทำอะไร?”
ซูเจ๋อนั่งลงบนโต๊ะ แล้วกวักมือเรียกเธอพร้อมกับพูดขึ้นว่า“มานั่งตรงนี้เร็ว”
เฉินเสียนเตรียมป้องกันตัวจากเขาเล็กน้อย
เขาชี้นิ้วไปที่ตาของเธอ แล้วเอ่ยว่า“ตาของท่านค่อนข้างจะบวม ข้าจะช่วยประคบเย็นให้ก็เท่านั้น”
เฉินเสียนรีบยกมือขึ้นสัมผัสกับดวงตาของตัวเองทันที ปฏิกิริยาใต้สำนึกแรกของเธอนั้นก็คือ“น่าเกลียดมากเลยใช่หรือไม่?”
เธอหลับตาลงแล้วมานั่งลงตรงข้ามกับซูเจ๋อ ก็คิดกับตัวเองในใจว่าอายุขนาดนี้แล้ว ยังจะร้องไห้จนตาบวมต่อหน้าเขาอีก มันช่างน่าอับอายเสียจริง
ซูเจ๋อเกี่ยวนิ้วของเธอเพื่อแสดงเจตนาให้เธอยื่นศรีษะมาให้เขา
เฉินเสียนจึงขยับก้มศรีษะเข้าไปใกล้ แต่เมื่อยื่นศรีษะไปแล้วก็รู้สึกว่าเมื่อยล้าที่ลำคอ เธอจึงวางศรีษะลงบนพื้นโต๊ะ
แต่คิดไม่ถึงว่าซูเจ๋อจะยื่นมือออกมารองรับศรีษะของเธอไว้ได้ทันเวลาพอดี คางของเธอไม่ได้วางลงบนพื้นโต๊ะ แต่กลับวางลงบนฝ่ามือของเขา
เฉินเสียนใจสั่น เมื่อกำลังจะลุกขึ้น ซูเจ๋อก็ใช้มือที่รองคางควบคุมเธอเอาไว้ แล้วนำก้อนผ้าฝ้ายห่อน้ำแข็งประคบเข้าไปที่หางเธอพร้อมกับพูดเบาๆว่า“อย่าขยับ แล้วหลับตาลง”
เฉินเสียนหลับตาลงอย่างโดยดี ความเย็นฉ่ำสัมผัสเข้ากับบริเวณรอบดวงตาของเธออย่างเบามือ ทำให้เธอนั้นรู้สึกสบายมาก
ถึงแม้จะหลับตาอยู่ เธอก็ยังสัมผัสได้ว่าซูเจ๋อกำลังจ้องมองมาที่ใบหน้าของเธอตลอด
ผ่านไปสักครู่ ซูเจ๋อเพิ่งจะเริ่มพูดขึ้นว่า “ไม่ได้น่าเกลียด ข้าแค่กลัวว่าพรุ่งนี้เช้าท่านจะรู้สึกไม่สบาย”
เฉินเสีนตกตะลึง เพิ่งมีสติได้ว่าเขากำลังตอบคำถามที่เธอพูดไปเมื่อครู่นี้อยู่
เขายังพูดขึ้นอีกว่า“คล้ายกับว่าข้ามักจะชอบทำให้ท่านร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง ทั้งหมดเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง”
เฉินเสียนรู้สึกเจ็บปวดขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่ใช่เพราะจากความทุกข์ แต่เป็นเพราะเธอนั้นรู้สึกกล้ำกลืนและหวานชื่นอย่างมาก เธอกล่าวว่า“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะว่าท่านไม่ดี”
เธอแทบจะไม่เคยร้องไห้ให้กับเรื่องใดๆ แต่เธอนั้นก็เสียตาน้ำตาทั้งหมดไปกับซูเจ๋อ
ภายนอกเธอคือจักรพรรดินีที่สง่าผ่าเผยและเป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าฉู่ เพียงแต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าซูเจ๋อนั้น เธอกลับอ่อนแออย่างควบคุมไม่ได้
เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งปราบมันได้ เธอเป็นสิ่งเดียวที่สามารถพิชิตซูเจ๋อให้อยู่มัดได้ แล้วก็มีแค่ซูเจ๋อคนเดียวที่สามารถพิชิตเธอให้อยู่มัดได้เช่นกัน
แววตาของซูเจ๋อเต็มไปด้วยความรู้สึกรักที่อ่อนโยน แต่ปากกลับเอ่ยเบาๆขึ้นว่า“ไม่คิดว่าท่านจะหลอกได้ง่ายขนาดนี้”
เฉินเสียนไม่ต้องการที่จะแสดงจุดอ่อนออกมาให้เห็น ถึงอย่างไรเธอก็ยังคงหลับตาอยู่และมองไม่เห็นอะไร ไม่เหมือนเมื่อครู่นี้ที่ทำให้เธอนั้นมีจิตใจสับสนกระวนกระวาย เธอจึงพูดตอบกลับเขาไปว่า“ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าใครนั้นหลอกได้ง่ายกว่ากัน สนมชายเหล่านั้นไม่ใช่ข้าเตรียมการเอาไว้ ข้ายังไม่ทันจะได้แนะนำอย่างเป็นทางการกับท่านเลย ท่านเองก็ตกเข้ามาในบทละครของข้าเสียแล้ว”
การเคลื่อนไหวมือของซูเจ๋อนั้นนุ่มนวลมาก ทำให้เฉินเสียนรู้สึกสบายยิ่งขึ้น เขาพูดขึ้นว่า“แล้วกันใครที่พูดไม่หยุดพูดเกี่ยวกับเรื่องพระชายารุ่ย อยากจะรู้ให้ได้แต่ปากกลับแข็งไม่ยอมถาม”
เฉินเสียนตอบกลับว่า“แล้วใครกันที่ลากข้าไปเดินเที่ยวเล่น แล้วยังวางยาคนบนเรือข้า ทำให้เดินเรือกลับไม่ทันเวลา?”
ซูเจ๋อหรี่ตาลง แล้วลากปลายเสียงขึ้นเล็กน้อย เสียงกระซิบที่ออกมาจากเขาเบาราวกับขนนกแต่กลับไปสะกิดใจในคนได้ “ใครกันที่ดื่มเหล้าจนเมา แล้วมาร้องไห้ในอ้อมแขนของข้า?”
เฉินเสียนก็ตอบกลับว่า“แล้วใครกันที่ดื้อรั้นจะรอข้าอยู่ที่ประตูหน้าโรงละคร ถ้าข้าไม่ไป เขาก็คงรออยู่ที่นั้นทั้งคืนไม่ยอมกลับ”
ทั้งสองคนกำลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมา ตอนนี้เมื่อคิดถึงก็เริ่มรู้สึกว่ามันตลกและไร้เดียงสา ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นหนุ่มสาวที่เพิ่งกำลังจะรักกัน
เป็นเรื่องที่น่าขบขันที่เวลานั้นต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในหลุมพลาง จมดิ่งลงไปในอารมณ์ของตัวเอง ปิดตาตัวเองนั้นไม่ยอมมองให้ทะลุปรุโปร่ง
ในตอนนั้นไม่ว่าจะยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหน ณ เวลานั้นพวกเขาทั้งสองก็ยังหวานชื่นกันได้
เฉินเสียนกลั้นเอาไว้ไม่อยู่แล้วยิ้มหัวเราะออกมา เธอพูดว่า “ทำไมท่านถึงไม่พูดแล้วล่ะ?”
ซูเจ๋อใช้นิ้วลูบเบาๆไปที่คิ้วของเธอ แล้วเอ่ยว่า “ข้ายอมให้ท่าน”
น้ำแข็งในม้วนผ้าฝ้ายนั้นเริ่มละลายแล้ว จึงให้รู้สึกเปียกแฉะเล็กน้อย ซูเจ๋อเห็นว่าดวงตาของเฉินเสียนนั้นหายบวมแล้ว จึงดึงมือกลับแล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”
มืออีกข้างของซูเจ๋อยังคงรออยู่ที่คางของเฉินเสียน เธอลืมตาขึ้นไปสบตามองเขาอย่างลุ่มหลง กระซิบเสียงเบาๆว่า “ทำไมคืนนี้ท่านถึงดื่มเหล้าล่ะ?หรือเพราะว่าตอนนี้ท่านชอบดื่มเหล้าขึ้นมาแล้ว”
ซูเจ๋อใช้ความคิด แล้วตอบกลับอย่างจริงจังว่า “ข้าขี้ขลาดเลยดื่มเหล้าเพื่อที่จะเสริมความกล้าในการจูบท่านที่ท้องพระโรงนั่น”
เฉินเสียนเม้มปากให้เขาแล้วเอ่ยว่า “ท่านนั่นกล้าหาญมาก ในตอนนี้ทั้งราชสำนักเป่ยเซี่ยของท่านต่างก็รู้ว่าข้ากับท่านไม่ชัดเจนกันแล้ว ข้าเชื่อฟังท่านมาตลอด เวลาอยู่คนเดียวนั้นห้ามสัมผัสเหล้า เมื่อก่อนก็ไม่อนุญาตให้ใครรินเหล้าให้ท่านได้ เว้นแต่ถ้าท่านจะชอบดื่มเหล้าขึ้นมาเอง ”
เธอย่นคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้นอย่างอุตลุดว่า“ไม่ ถึงแม้ว่าท่านชอบก็ไม่ได้ ร่างกายของท่านยังไม่หายดี ดื่มเหล้าแบบนี้ไม่ได้ แล้วท่านก็อย่าได้พูดว่ามันเป็นการหมุนเวียนสลายเลือดคั่งอีกเลย มันทำลายร่างกายก็คือทำลายร่างกาย”
ใบหน้าตาของซูเจ๋อแสดงให้เห็นถึงความสบายใจ ที่แท้ความรู้สึกที่ถูกเธอเป็นห่วงเพราะความคิดถึงก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เขาตอบเธอว่า“เหล้าในคืนนี้หมักมาเป็นเวลานานถือว่าเป็นเหล้าที่ดีเลยล่ะ แต่ต่อไปนี้ข้าจะไม่ดื่มแล้ว”