ข้าคือหงส์พันปี - บทที่742 คู่หมั้นของข้าเป็นคนเลว
จาวหยางรักษาคำพูดและเดินจากไปด้วยตัวเอง นางหายไปจากสายตาของฉินหรูเหลียงโดยที่ไม่มีคำบอกลาเลยแม้แต่คำเดียว
นางออกไปจากเป่ยเซี่ย ออกไปจากจวนของฉินหรูเหลียง หลังจากนี้ต่อไปสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของนางคือหนทางอันกว้างใหญ่ไพศาลที่นางจะมุ่งหน้าต่อไป
กาลเวลาหมุนผ่านไป จาวหยางได้ท่องเที่ยวไปยังถนนหลายสาย ได้เห็นอะไรต่อมิอะไรมากมาย บุคลิกของนางเริ่มกลมกลืนไปกับวิถีชีวิตและสภาพสังคมเหล่านี้ นางได้ชิมชาที่เจียงหนาน ได้คุยเล่นกับหญิงชราซึ่งขายขนมเข่งและซุปลูกบ๊วยอยู่ในตรอกเล็กๆ ได้แกล้งปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปในโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชา ร่วมสังสรรค์พูดคุยกันอย่างสนุกสนานเฮฮากับผู้คนที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ
จนกระทั่งวันหนึ่งซึ่งไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่ จาวหยางรู้สึกได้ว่าไม่ว่านางจะไปไหน จะมีคนพวกหนึ่งคอยตามนางอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทำเช่นไรนางก็สลัดจากคนพวกนั้นไม่พ้น
ฉินหรูเหลียงอยู่ไกลจากเมืองชายแดน แม้ว่าเขาจะไม่ได้ไปตามหานางด้วยตัวเอง แต่ก็มักจะมีจดหมายสองสามฉบับซึ่งส่งมาจากทั่วอาณาจักรต้าฉู่วางอยู่บนโต๊ะของเขาเสมอ
เขานั่งลงที่โต๊ะและเปิดจดหมายออกอ่าน ในจดหมายเขียนบอกไว้ว่าจาวหยางไปที่ไหนมาบ้าง ทำอะไรไปบ้างและตอนนี้ปลอดภัยดีหรือไม่ เขารู้สึกราวกับว่าตนเองมีสายตาคู่หนึ่งที่ช่วยออกไปมองทัศนียภาพที่งดงามภายนอกแทนเขา มีสองเท้าที่ช่วยพาเขาเดินไปตามลำน้ำและภูเขาต่างๆ ในขณะที่เขาคอยเฝ้ารักษาการอยู่ที่ชายแดนตลอดเวลา
ฉินหรูเหลียงเริ่มอ่านจดหมายจนติดเป็นความเคยชิน
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามุมปากที่เคร่งขรึมอยู่เป็นนิจของเขามักจะกระดกขึ้นทุกครั้งที่เปิดจดหมาย
ในช่วงสองปีมานี้เขาไม่ได้ออกไปตามหานาง แต่เขาส่งคนของตัวเองให้คอยติดตามนางไปทุกที่ ฉินหรูเหลียงไม่ได้จะเข้าไปก้าวก่ายว่าจาวหยางจะไปทำอะไรที่ไหน เพียงแต่เขาต้องปกป้องดูแลความปลอดของนางก็เท่านั้น
ถึงอย่างไรนางก็เป็นองค์หญิงและเป็นภรรยาในนามของเขา
แต่แล้ววันหนึ่งเนื้อหาในจดหมายที่คนของเขาส่งมาก็เปลี่ยนไป
จาวหยางสังเกตได้ว่ามีใครบางคนกำลังติดตามนางและนางพยายามทุกวิถีทางเพื่อสลัดให้หลุดจากคนผู้นั้น ด้วยเหตุนี้นางจึงทั้งปลอมตัว ทั้งพยายามสร้างปัญหา พยายามลองทำทุกอย่างขอเพียงแค่ให้นางหนีรอดไปได้
คนของเขายังเขียนมาบอกอีกว่าจาวหยางกำลังร่วมเดินทางไปกับชายผู้หนึ่ง ทั้งสองคนคุยกันหัวเราะต่อกระซิกดูสนิทสนมกันมาก
ผู้ติดตามของเขาไปตรวจสอบประวัติของชายผู้นั้นมาแล้ว เขามาจากครอบครัวที่มีฐานะและยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งยังใส่ใจจาวหยางมาก นอกจากนี้เขายังเดินทางไปทำการค้าได้ทุกๆ ที่ ไม่ว่าเมื่อไรเขาก็มักจะเดินทางไปที่เดียวกับจาวหยางเสมอ เห็นได้ชัดเจนมากว่าเขาชอบนาง
ฉินหรูเหลียงนั่งอยู่ที่โต๊ะ แสงสว่างจากนอกหน้าต่างส่องกระทบลงมาบนร่างกายของเขารวมถึงบนโต๊ะตรงหน้า ขับให้โครงร่างของเขายิ่งดูโดดเด่น และทำให้โต๊ะตรงหน้าขาวสว่างจนดูพร่าเลือน
เขาตบจดหมายลงบนโต๊ะ คราวนี้มุมปากของเขายกไม่ขึ้นอีกต่อไป
ฉินหรูเหลียงขี่ม้าเร็วออกไปจากเมืองในวันนั้น
ภายในใจของเขารู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกและเขาก็เร่งร้อนอยากจะระบายมันออกมา
ในตอนที่ฉินหรูเหลียงตามหาจาวหยางในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งจนพบ นางกำลังดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชากับผู้ชายที่ถูกกล่าวถึงในจดหมาย
สายฝนที่ตกปรอยๆ อยู่ด้านนอกดูประหนึ่งเส้นไหม
ฉินหรูเหลียงไม่ได้พกร่ม ไหล่กว้างของเขาเปียกเล็กน้อยขณะที่เดินไปตามถนนซึ่งปูด้วยแผ่นหิน บนเส้นผมซึ่งเป็นสีดำราวกับหมึกถูกปกคลุมไปด้วยละอองฝนพร่างพราว ความเยียบเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายสูงใหญ่ยิ่งเสริมให้ใบหน้านั้นเย็นชาจนทำให้คนแปลกหน้าไม่กล้าเข้าใกล้
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในโรงน้ำชา เขาก็เห็นจาวหยางนั่งอยู่ที่ข้างหน้าต่างโดยมีบุรุษผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างกาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้มซึ่งแตกต่างจากรอยยิ้มอันสดใสและไร้เดียงสาดั่งเช่นวันวาน เป็นรอยยิ้มที่ผลิบานอย่างโดดเด่นหลังจากผ่านพ้นหิมะและความหนาวเย็น ดูสุกสกาวยิ่งกว่าที่เคย
ฉินหรูเหลียงรู้สึกเสียดแทงเข้าไปในใจทันทีอย่างไม่มีเหตุผล ต่อมาเขาจึงคิดได้ว่าอาจจะเป็นเพราะหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า เขาจึงบังคับให้นางเติบโตขึ้น
จาวหยางบังเอิญหันหน้ามาและเห็นฉินหรูเหลียงเข้าพอดี
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางชะงักงัน จาวหยางมองเขาตาค้างและคิดว่าตนเองตาฝาดไป ทันใดนั้นร่างทั้งร่างของนางก็แข็งทื่อ
ชายที่อยู่ข้างกายหันไปมองฉินหรูเหลียงและถามอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวว่า “ท่านรู้จักเขาหรือ”
จาวหยางไม่ตอบ
ฉินหรูเหลียงก้าวเข้ามาหาทีละก้าวและยืนอยู่ต่อหน้าคนทั้งสอง เขามองจาวหยางก่อนจะหันไปมองชายผู้นั้นด้วยสายตาที่เย็นชาและเคร่งขรึม
ฉินหรูเหลียงเอ่ยอย่างมึนตึงว่า “ได้ยินมาว่าท่านชอบนาง”
ชายผู้นั้นชะงักไปนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มและเอ่ยออกมาว่า “สาวงามย่อมเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม ดูเหมือนเรื่องระหว่างข้ากับแม่นางผู้นี้จะเป็นเช่นนั้น”
ฉินหรูเหลียงเอ่ยด้วยสีหน้าที่เย็นชาว่า “แต่บังเอิญนางเป็นภรรยาของข้า”
จาวหยางไม่รู้ว่านางเดินออกมาจากโรงน้ำชาได้อย่างไร ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่าเหตุใดจึงถูกฉินหรูเหลียงลากให้เดินโซซัดโซเซมาท่ามกลางสายฝนเช่นนี้
ฉินหรูเหลียงเดินเร็วมาก นางแทบจะก้าวตามไม่ทันและเกือบจะล้มลงไปกับพื้น
ทันใดนั้นฉินหรูเหลียงก็หยุดลงอย่างกะทันหัน จาวหยางไม่ทันระวังและชนเข้ากับแผนหลังของเขาทันที
เขาหันกลับมามองนางและกล่าวว่า “ไม่กลับไปตั้งสองปี ท่านดูมีอิสระเสียจริงที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก”
จาวหยางเอ่ยออกมาช้าๆ ว่า “ไม่ใช่ว่าคุยกันไปแล้วหรือ ว่าเราต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง จะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน…”
“นี่น่ะหรือคือเหตุผลที่ท่านทำตัวใกล้ชิดกับชายอื่น”
“ท่านเองก็ใกล้ชิดกับหญิงอื่นได้นี่…” จาวหยางรู้สึกว่ามันแปลกมาก ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฉินหรูเหลียงจึงโกรธเช่นนี้ ครั้นแล้วนางจึงตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้และเอ่ยว่า “อ๋อ… ข้ารู้แล้ว มิน่าเล่าข้าจึงรู้สึกว่ามีคนคอยตามข้าตลอด สลัดอย่างไรก็สลัดไม่หลุด นั่นคงเป็นฝีมือการขัดขาของท่านเองละสิ”
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ฉินหรูเหลียงรู้สึกรำคาญที่นางเดินช้า ดังนั้นเขาจึงอุ้มนางขึ้นมาและก้าวยาวๆ ไปข้างหน้าโดยไม่ต้องออกแรงใดๆ
จาวหยางหน้าแดงก่ำ นางทั้งเตะทั้งถีบและตะโกนใส่ “ท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร!”
ไม่ว่านางจะดิ้นรนอย่างไร ฉินหรูเหลียงก็ไม่แยแส
กว่าจะเข้ามาถึงโรงเตี๊ยม ทั้งสองคนก็ตัวเปียกโชก ฉินหรูเหลียงอุ้มจาวหยางไปขอเช่าห้องพัก ทว่าจาวหยางต่อต้านตลอดเวลาจนดึงดูดสายตาของผู้คนที่อยู่ในห้องโถงใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยมีคนพาลคิดไปว่าฉินหรูเหลียงเป็นคนเลวที่คิดจะรังแกสตรี
ทันใดนั้นใครคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “แม่นางผู้นั้นไม่เต็มใจ เหตุใดเจ้าจะต้องบังคับนางด้วย รีบปล่อยนางเสียดีกว่า หากไปแจ้งให้ทางการรู้ละก็ เจ้าจบไม่สวยแน่”
ฉินหรูเหลียงจ่ายค่าห้องอย่างไม่สะทกสะท้านและเดินขึ้นไปบนบันได เขาก้าวเดินอย่างสงบและหยุดชะงักนิดหนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับไปมองผู้ที่พูดขึ้นเมื่อครู่ด้วยแววตาที่วาววับและเย็นชา “ข้าทะเลาะกับภรรยาของข้า ทางการจำเป็นจะต้องมายุ่งด้วยหรือ”
ที่แท้พวกเขาก็เป็นสามีภรรยากัน คนที่พูดเมื่อครู่จึงได้แต่ทำหน้าแหยๆ
จาวหยางไม่ต้องการก่อเรื่องจนดูน่าเกลียด ถ้ามีเรื่องมีราวจนรู้ไปถึงทางการ ทุกคนคงจะอับอายขายหน้าเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อฉินหรูเหลียงอุ้มนางขึ้นไปในห้องชั้นบน นางจึงเอาแต่ซุกหน้าและไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมา
หลังจากเข้าไปในห้อง ฉินหรูเหลียงก็โยนผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งมาคลุมไว้บนศีรษะของนาง จากนั้นจึงเช็ดผมที่เปียกน้ำฝนให้
ทันใดนั้นภายในห้องก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด
จาวหยางเช็ดผมของตัวเองอย่างเงียบเชียบและเริ่มรู้สึกสงบลง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ข้าไม่คิดว่าท่านจะหาที่นี่เจอ นานมากแล้วจริงๆ ที่ไม่ได้พบกัน”
ฉินหรูเหลียงมองนางและเอ่ยว่า “ถ้าข้าไม่มาหาท่าน ไม่ใช่ว่าท่านคงหนีหายไปใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายอื่นอย่างสบายใจแล้วหรือ”
จาวหยางเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “คุณชายโจวผู้นั้นเป็นคนดี เราเป็นสหายที่ดีต่อกัน หนีหายกันไปอะไรของท่าน”
ฉินหรูเหลียงเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ตอนที่ท่านอยู่ในโรงน้ำชาเมื่อครู่นี้ เขาพูดกับปากว่าสาวงามย่อมเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม แบบนี้ท่านจะยังมองว่าเขาเป็นสหายที่ไม่มีสิ่งใดในใจแอบแฝงอีกรึ”
จาวหยางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นางเอ่ยว่า “นั่นมันก็เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับท่านเสียหน่อย”