ข้าคือเทพเจ้าแห่งเกม I Am the God of Games - ตอนที่ 68
ฉากที่มนุษย์กบในหมู่บ้านคุกเข่าให้เธอนั้นมากเกินไปสำหรับเด็กสาวที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนอย่างเอลีน่า เธอมองไปที่ฉากตรงหน้าเธออย่างสับสนและทำอะไรไม่ถูก
“ฮาคุน่า มาคล็อกคล็อก!”
พวกมนุษย์กบดูเหมือนจะไม่รู้ว่าการกระทำของพวกเขาได้สร้างความลำบากให้เด็กสาว และยังคงพึมพำภาษาที่ผู้เล่นไม่เข้าใจขณะที่พวกเขาบูชาเธอ
“พวกเขากำลังพูดอะไร”
เอ็ดเวิร์ดอดไม่ได้ที่จะถามคล็อกกาโตว์ที่กำลังจะคุกเข่าด้วย
“ข้าแต่เทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล เราขอแสดงความเคารพอย่างจริงใจแก่ท่าน เพื่อขอบคุณการปกป้องและพรของท่านที่ให้เราได้เพลิดเพลินกับของขวัญที่อุดมสมบูรณ์จากท้องทะเล เราจะไม่มีวันลืมความเมตตากรุณาของท่าน และเราจะอยู่กับน้ำตลอดไป” คล็อกกาโตว์แปลอย่างรวดเร็ว
“เจ้าแปลประโยคยาว ๆ จากคำที่สั้นนิดเดียวเนี่ยนะ?” โกวต้านรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
“นี่เป็นการพิสูจน์ว่าภาษาของเราก้าวหน้ากว่าภาษาของเจ้า!” คล็อกกาโตว์ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “เด็ก ข้าคิดว่าเจ้าค่อนข้างเหมาะที่จะเรียนภาษาของเรา ทำไมไม่ให้ข้าสอนเจ้าล่ะ”
ผู้เล่นไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะส่ายหัวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ตอนนั้นเอง ความปั่นป่วนก็เริ่มปรากฏขึ้นในหมู่มนุษย์กบอีกครั้ง
“พวกเขากำลังพูดอะไร” เอ็ดเวิร์ดถาม
คล็อกกาโตว์นิ่งฟังอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก
“คนผิวแห้ง! พวกมันกำลังวิ่งลงมาจากภูเขา!”
เอ็ดเวิร์ดสบตากับคนอื่น ๆ พวกเขาเข้าใจแล้วว่าการโจมตีที่แท้จริงกำลังจะมาถึงแล้ว
☆
อัลเบิร์ตเป็นนักเวทของสมาคมลับแห่งดวงตา
เขาต่างจากผู้เล่นเมจที่ได้รับการสนับสนุนจากระบบ เขาเป็นนักเวทที่แท้จริงของโลกนี้
ตำแหน่งของนักเวทอยู่ไกลเกินเอื้อมสำหรับสามัญชน พวกเขาลึกลับกว่าขุนนางมาก สามัญชนหลายคนยังคิดว่าตำแหน่งของพวกเขาในสังคมนั้นสูงกว่าขุนนางด้วยซ้ำ
และมันก็เป็นเช่นนั้น ผู้ที่สามารถก้าวข้ามระดับนักเวทย์ฝึกหัดและสามารถกลายเป็นนักเวทที่มีคุณสมบัติครบถ้วน จะได้รับสถานะเทียบเท่ากับบารอน
แต่มันก็ยากเป็นพิเศษที่พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นในโลกที่เต็มไปด้วยเทพเจ้า ตำแหน่งของนักเวทย์นั้นค่อนข้างจะน่าอึดอัด
แม้ว่าเวทมนตร์จะลึกลับและต้องการพลังเวทที่สูงมาก แต่หากเรียนรู้อย่างถูกต้อง พวกเขาก็จะสามารถเลียนแบบผลของทักษะศักดิ์สิทธิ์และยังสามารถร่ายเวทย์มนต์ที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้
สิ่งนี้เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่า 1 ใน 3 ของแชมป์เปี้ยนในตำนานเป็นนักเวท (ส่วนที่เหลือเป็นนักบวชและไม่มีนักรบ)
แต่ก็นั่นแหละ
การจะเป็นนักเวทได้ ก่อนอื่นศักยภาพเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้วิธีร่ายคาถา หากคน ๆ นั้นไม่มีศักยภาพในการใช้เวทมนตร์ และไม่รู้สึกถึงมานาในอากาศ มันก็ไร้ประโยชน์แม้ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะก็ตาม
ในขณะเดียวกันการศึกษาเวทมนตร์นั้นลึกซึ้ง และเป็นเรื่องยากที่จะเริ่มต้นโดยที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้รู้ ทฤษฎีการเรียนรู้และพื้นฐานนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักเวทส่วนใหญ่สามารถอ้างได้ว่ารู้เวทมนตร์หลังจากฝึกฝนการร่ายเวทย์มา 3 ปีและทำสมาธิมา 5 ปี พร้อมกับการทดลองทางเวทมนตร์อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับการค้นพบแก่นแท้ของเวทมนตร์ ดังนั้นจึงเป็นการยากที่จะเรียนรู้เวทมนตร์ หากบุคคลนั้นมีเพียงความสามารถ แต่ไม่มีความรู้
เป็นผลให้ผู้ที่สามารถเดินบนถนนแห่งเวทมนต์ได้เป็นเพียงคนส่วนน้อย
ถึงกระนั้นนักเวทก็มีเทพเจ้าประจำตัวที่พวกเขาเคารพบูชา ตัวตนที่ลึกลับที่สุดในบรรดาเทพบิดรทั้งเจ็ด ‘เมจิกไวโอเล็ท’
เทพองค์นี้แตกต่างจากเทพองค์อื่น ๆ ตรงที่เขาไม่เคยคัดเลือกผู้ศรัทธาใด ๆ เข้ามาในคริตจักร เขาไม่ต้องการความศรัทธาของสาวก และไม่เคยให้คำพยากรณ์ใด ๆ แก่ผู้ศรัทธาของเขา ในแง่หนึ่ง เขาก็คล้ายกับราชาแห่งความตายฮาเดส เป็นพวกโลกส่วนตัวสูง
แต่ตรงกันข้ามกับราชาฮาเดสผู้น่ากลัว เมจิกไวโอเล็ตไม่ได้ปรากฏตัวมากนัก ไม่มีแม้แต่หลักฐานในดินแดนมรรตัยว่าเทพตนนี้มีอยู่จริง หากไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีนักบวชและมนุษย์ที่มีพรสวรรค์จากคริสตจักรขนาดใหญ่ ที่สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ สามารถยืนยันได้ว่าเทพองค์นี้มีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในเทพบิดร มนุษย์ก็คงจะไม่รู้ว่าเขามีอยู่จริง
มีสองทฤษฎีหลักที่นักเวทมีเกี่ยวกับเทพองค์นี้ในปัจจุบัน ทฤษฎีแรก เมจิกไวโอเล็ทคือผู้สร้างรากฐานสำคัญของเวทมนตร์ทั้งหมด และกำหนดการมีอยู่ของเวทมนตร์ ตราบใดที่ยังมีผู้ร่ายเวทมนต์อยู่บนโลกนี้ เขาก็จะไม่หายไป และทฤษฎีที่สอง เมจิกไวโอเล็ทได้สร้าง ‘เครือข่ายเวทมนตร์’ ที่มนุษย์ไม่สามารถตรวจจับได้ ตามทฤษฎีนี้ เวทมนตร์ทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนเป็นพลังศักดิ์สิทธิของเขา และเมื่อใดก็ตามที่มีคนใช้เวทมนตร์ นั่นหมายความว่าพวกเขาได้มอบศรัทธาให้กับเขา ดังนั้นตราบใดที่เวทมนตร์ยังคงมีอยู่ ก็หมายความว่าเขายังไม่หายไป
ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด มันก็เป็นความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง ว่าเขาคือเทพเจ้าองค์หนึ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎของโลกทั้งใบได้ เมจิกไวโอเล็ทนั้นมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะอยู่ในสถานะที่เท่าเทียมกับเทพบิดรตนอื่น ๆ!
ในระยะสั้น การเรียนรู้เวทมนตร์ต้องใช้ทรัพยากร ความรู้ ข้อมูล และวัสดุจำนวนมหาศาล และสิ่งเหล่านี้จะหาได้ก็ต่อเมื่อมีเงิน
เป็นเพราะรางวัลมากมายที่สมาคมเสนอให้เขา อัลเบิร์ตจึงเลือกเข้าร่วมสมาคมลับแห่งดวงตาสาขาจักรวรรดิวัลลา และทำภารกิจต่าง ๆ ให้สำเร็จเพื่อแลกกับเงินและวัสดุหายาก…
ตอนนี้เขาต้องเผชิญกับภารกิจที่ค่อนข้างลำบาก นั่นก็คือการโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบ
อันที่จริงเขาก็ได้เข้าร่วมการทดสอบพลังของหมู่บ้านมนุษย์กบในครั้งที่แล้ว แต่เขาไม่ได้โจมตีพวกมนุษย์กบด้วยตัวเอง เขารวบรวมข้อมูลของหมู่บ้านจากด้านข้าง ในขณะที่ปล่อยให้พวกสมาคมคนอื่น ๆ โจมตี
ตามข้อมูลที่ได้รับจากการโจมตีครั้งนั้น อัลเบิร์ตจึงมีความพร้อมที่จะทำลายหมู่บ้านแห่งนี้ให้ราบในครั้งเดียว
ตอนแรกเขาคิดว่าแค่โคลนถล่มก็มากเกินพอแล้ว
การสร้างโคลนถล่มเป็นเรื่องง่าย ใช้ระเบิดเพื่อทำลายหน้าผาสร้างโคลนขึ้นมา การเคลื่อนไหวนี้ทำได้ง่ายและใช้งานได้จริง นอกเหนือจากการเลือกที่จุดระเบิดแล้ว ก็ไม่ต้องออกแรงอะไรมากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงใช้ดอกไม้เปลวไฟเป็นวัตถุระเบิด และแม้ว่าดอกไม้จะเป็นวัสดุเวทมนตร์ธาตุไฟที่ราคาถูกที่สุด แต่ก็ยังทำให้เขาต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก
ใครล่ะที่ทำให้มนุษย์กบเหล่านั้นมั่นใจในภูเขาหินนี้ และสร้างหมู่บ้านไว้ใต้หน้าผา?
แต่เขาก็ไม่คิดเลยว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งเท่าอาร์คบิชอปในหมู่บ้านมนุษย์กบ ที่สามารถสร้างบาเรียขนาดใหญ่เพื่อสกัดกั้นโคลนถล่มได้!
“ชิ ทำไมครั้งที่แล้วไม่เห็นพวกมันจะแข็งแกร่งแบบนี้เลยล่ะ”
อัลเบิร์ตมองไปที่บาเรียศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อย ๆ หายไปด้านล่างอย่างกังวล และไม่ได้สังเกตเลยว่าเขากัดริมฝีปากแรงมากจนเลือดไหลซิบออกมา ถ้าเขารู้ว่ามีศัตรูระดับนี้อยู่ที่นั่น เขาก็คงไม่เลือกวิธีการโจมตีแบบนี้แต่แรก “นี่ไม่ดีแล้ว ถ้าข้ากลับไปทั้งแบบนี้ แส้ดำได้ฆ่าข้าแน่!”
หัวใจของอัลเบิร์ตเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อนึกถึงชายที่น่ากลัวคนนั้น
“ตอนนี้ข้าคงได้แต่ใช้ไพ่ตายก้นหีบของข้าได้เท่านั้น…”
อัลเบิร์ตหยิบม้วนกระดาษออกมาจากกระเป๋าอย่างหงุดหงิด ก่อนจะฉีกมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยโดยไม่มองเลย
ช่วงเวลาต่อมาร่างในชุดเกราะสีดำบนหลังม้าหลายร่างก็ได้ปรากฏขึ้นมารอบตัวเขา
“ให้ตายเถอะ หนังสืออัญเชิญอัศวินไรน์เล่มนี้ทำให้ข้าต้องใช้โกลด์แอ็บบี้ตั้ง 1 อัน!” อัลเบิร์ตสั่งการด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ฟังคำสั่งข้า! ฆ่าทุกชีวิตที่เจ้าเห็นที่นั่น!”
หัวหน้ากลุ่มอัศวินไรน์โค้งคำนับอย่างแข็งกร้าว และขี่ม้าสีดำติดอาวุธหนักวิ่งลงหน้าผา
เขาได้ยินเสียงใครบางคนตะโกนขึ้นมาจากด้านล่างของหน้าผาว่า “คนผิวแห้ง! พวกมันกำลังวิ่งลงมาจากภูเขา!”