ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 1 มีคนถูกพิษ [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
สี่ปีต่อมา
ในลานเรือนบ้านสกุลเมิ่ง
เด็กน้อยผิวพรรณผุดผ่องสามคน กำลังเล่นในลานเรือนอย่างสนุกสนาน
สะใภ้เมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อแย้มยิ้มรักใคร่มองดูพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาจากด้านนอก
เด็กน้อยทั้งสามคนร้องเรียก “ท่านอา” แล้วยื่นมือน้อยออกมา วิ่งเข้าหานาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มสรวลกอดพวกเขาแล้วหอมทีละคน เด็กน้อยทั้งหมดราวกับได้รับรางวัลใหญ่ ยกยิ้มหน้าบานไม่หุบ
เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่กลายเป็นสาวใหญ่แล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าหดหายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเด็กๆ พูดว่า “ไปเล่นเถอะ เอาไว้อาเจ้าเมืองจะซื้อของอร่อยมาให้พวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสามขานรับคำเสียงใส ผละจากนางไป ล้อมวงเล่นอีกด้าน
ใบหน้าสะใภ้เมิ่งต้าจินยังเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “โยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว วันนี้การค้าที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาเบื้องหน้าทั้งสองคน พูดว่า “พอได้เจ้าค่ะ หลงจู๊คนใหม่เริ่มคล่องมือแล้ว ต่อไปข้าไม่ต้องเข้าไปทุกวันอีก” พูดจบก็พูดอีกว่า “จริงสิ ท่านป้าใหญ่ พี่เมิ่งอี้ให้คนส่งข่าวกลับมาว่า ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
ตั้งแต่สองปีก่อน เมิ่งอี้ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวส่งไปเปิดสาขายังที่ต่างๆ เวลาส่วนใหญ่แทบไม่ได้กลับบ้านเลย สะใภ้เมิ่งต้าจินคุ้นชินเสียแล้ว ได้ฟังก็พยักหน้า “ตอนเจ้าตอบจดหมาย บอกเขาว่าทางบ้านก็สบายดี ให้เขาไม่ต้องเป็นห่วง วางใจจัดการเรื่องให้เรียบร้อยเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มรับคำ
เมิ่งชื่อมองรอยยิ้มสดใสดั่งบุปผาของบุตรสาว คิดว่าสี่ปีมานี้เมิ่งอี้เซวียนไม่เคยส่งข่าวคราวใดๆ มาเลย ความหนักอึ้งในใจกดทับจนนางหายใจไม่ออก รอยยิ้มบนใบหน้าเริ่มไม่เป็นธรรมชาติ
นับแต่ล่วงพ้นอายุสิบหกปี เมิ่งชื่อมักจะแสดงสีหน้ากลัดกลุ้มเช่นนี้กับตัวเอง เมิ่งเชี่ยนโยวคุ้นชินเสียแล้ว นั่งยองต่อหน้าเมิ่งชื่อ พูดอย่างไม่แยแส “ท่านแม่ ท่านกำลังกลัดกลุ้มที่ข้าอายุสิบแปดปีแล้วยังไม่ได้แต่งออกไป?”
รอยยิ้มบนใบหน้าเมิ่งชื่อฝืนประคองต่อไปไม่ไหว จางหายไปสิ้น ถอนหายใจเฮือกใหญ่ สี่ปีก่อน เรื่องที่เมิ่งอี้เซวียนนอนในห้องของบุตรสาวหนึ่งคืน ถูกคนไม่ประสงค์ดีนำไปพูดต่อ ผู้คนในรัศมีหลายสิบลี้นี้ ต่างรับรู้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคือชายาที่เมิ่งอี้เซวียนยอมรับแล้ว ไม่มีใครกล้าทาบทามสู่ขออีก บุตรสาวบ้านอื่นอายุสิบหกปีก็แต่งงาน แต่ปีนี้เมิ่งเชี่ยนโยวอายุสิบแปดปี กลายเป็นสาวใหญ่แล้ว สี่ปีมานี้เมิ่งอี้เซวียนกลับเงียบหายเข้ากลีบเมฆ แม้แต่ข่าวคราวสักนิดก็ไม่มี เมิ่งชื่อกลัดกลุ้มกังวลแม้ในยามฝันว่าเขาจะลุ่มหลงบุตรสาวตระกูลชั้นสูงจากเมืองหลวง ลืมเมิ่งเชี่ยนโยวสิ้นแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ชาตินี้บุตรสาวก็คงจะจบเห่แล้วจริงๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อไม่พูดอะไร รู้ว่านางคิดมากอีกแล้ว หยอกเย้านางราวกับเป็นความจริง “ท่านแม่ ดูท่านเถิด เป็นสาวใหญ่รูปงามอยู่ดีๆ วันๆ เอาแต่กลัดกลุ้มทอดถอนใจ ไม่เพียงใบหน้ามีรอยยับย่น แม้แต่เส้นผมก็ขาวหงอกหลายเส้นแล้ว”
เมิ่งชื่อขบขัน ส่งเสียงหัวเราะพรวดออกมา แสร้งตำหนินาง “เจ้าลูกคนนี้ ไม่รู้ไปเรียนคำพูดคำจาเช่นนี้มาจากไหน วันๆ ชอบเอามาแหย่อำแม่”
สะใภ้เมิ่งต้าจินมองดูด้วยความอิจฉา “น้องสะใภ้ มีบุตรสาวมีความสามารถเอาใจเก่งเช่นนี้ ท่านจงพอใจเถิด ไฉนเลยจะเหมือนข้า มีแต่บุตรชายสองคน อุตส่าห์ได้เห็นพวกเขาแต่งงานมีลูกมีเต้า กลับคลอดออกมาเป็นผู้ชายทั้งคู่ ดวงตาที่เฝ้ารอจะได้เห็นเด็กผู้หญิงฝ้ามัวไปหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทันควัน “พี่สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์อีกคนแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ? ท่านวางใจเถอะ ครั้งนี้จะต้องเป็นเด็กผู้หญิง”
สะใภ้เมิ่งต้าจินชะโงกหน้าเข้าหาเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความยินดี ตื่นเต้นดีใจถามนางเสียงเบา “เจ้าจับชีพจรให้อิงจื่อแล้วหรือ? แน่ชัดแล้วว่านางตั้งครรภ์เป็นเด็กผู้หญิง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักอึ้ง ยกยิ้มส่ายหน้า “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าเดาเอานะ”
สะใภ้เมิ่งต้าจินหย่อนก้นนั่งที่เดิม พูดอย่างสิ้นหวัง “เดาเอาหรอกรึ ข้านึกว่าเจ้าเคยจับชีพจรให้นาง แน่ชัดแล้วว่าเป็นเด็กผู้หญิง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “ท่านป้า บ้านอื่นมีแต่จะอยากได้เด็กผู้ชาย ทำไมท่านถึงกลับตาลปัตรเช่นนี้เล่า?”
สะใภ้เมิ่งต้าจินพูดอย่างโหยหา “ข้าก็ไม่รู้ หลายปีมานี้ ป้าใหญ่เห็นครอบครัวไหนในหมู่บ้านมีเด็กสาว พอเติบใหญ่ก็จะพูดไปกอดไป ออดอ้อนเข้าหาแม่ตัวเอง น่าอิจฉายิ่งนัก คิดแต่ว่าหากครอบครัวเรามีเด็กสาวเช่นนี้สักคน ก็คงจะออดอ้อนข้าเช่นนั้นเช่นกัน”
เมิ่งชื่อพูดแทรก “พี่สะใภ้ ไม่ต้องอิจฉา ครั้งนี้อิงจื่อจะต้องตั้งครรภ์เป็นเด็กผู้หญิง ท่านรอดีใจได้เลย”
ความยินดีแผ่กระจายทั่วใบหน้าสะใภ้เมิ่งต้าจินอีกครั้ง “เมื่อพวกเจ้าต่างก็พูดเช่นนี้ เช่นนั้นจะต้องเป็นลูกสาว วันนี้กลับไป ข้าจะตัดเย็บชุดลายดอกหลายๆ ชุด ให้หลานสาวสุดที่รักของข้าใส่”
อิงจื่อเพิ่งจะตั้งครรภ์ได้เพียงสองเดือน จะตัดเย็บชุดให้ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นชัดว่าสะใภ้เมิ่งต้าจินกระวนกระวายใจเพียงใด เมิ่งเชี่ยนโยวทนพวกเขาต่อไปไม่ไหวแล้ว ผุดลุกขึ้น หากข้ออ้างพูดว่า “ใกล้จะถึงเวลาต้องจ่ายค่าแรงแล้ว ข้าจะเข้าไปตรวจนับเงินค่าแรงในห้องนะเจ้าค่ะ”
นี่เป็นเรื่องใหญ่ สะใภ้เมิ่งต้าจินโบกมือให้นาง “ไปเถอะ ประเดี๋ยวป้าก็ควรพาเด็กน้อยทั้งสองกลับแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินพ้นประตูเข้ามา รอยยิ้มที่ประคองไว้ตลอดบนใบหน้าหุบคว่ำลง กระทั่งเดินเข้ามาในห้องตัวเอง นั่งนิ่งบนเก้าอี้ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอก เปิดออกดูอย่างละเอียดอีกครั้ง เนื้อความในจดหมายเหมือนกับปีก่อนๆ ทุกประการ เพียงใช้ภาษาอังกฤษเขียนไม่กี่บรรทัดว่า ข้าสบายดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง รอข้าเติบใหญ่อย่างสบายใจ
เมิ่งเชี่ยนโยววางจดหมายลงบนโต๊ะ นิ่งเงียบมองจดหมายครู่หนึ่ง ลุกขึ้นยืน เปิด**บออก หยิบจดหมายอีกสามฉบับออกมา ถูกต้อง สี่ปีแล้ว ทุกปีเมิ่งอี้เซวียนเพียงส่งจดหมายหนึ่งฉบับเข้ามาในวันที่จากไป และเนื้อความในจดหมาย เหมือนกันทุกประการ แม้แต่คำศัพท์ก็ไม่เปลี่ยน
เมิ่งเชี่ยนโยววางจดหมายเรียงเป็นแถวแนวนอนบนโต๊ะ มองดูกระดาษที่เหมือนกันทั้งสี่ฉบับ ไม่มีเนื้อความที่แตกต่างกันแม้แต่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวสงสัยว่าเจ้าเดรัจฉานใจดำนั่นเขียนจดหมายนี้เอาไว้ ตั้งแต่ตอนที่จากไปตอนนั้น แล้วฝากคนอื่นไว้ ให้เขาส่งมาให้นางทุกวันของปีนี้
หลังจากคิดถึงคำพูดที่เขาลั่นวาจาออกมา ในลานเรือนก็มีเสียงแก้ผ้ากระโดดลงน้ำดัง “ตู้ม” “ตู้ม” ดังแว่วมา ปรากฏรอยยิ้มจางๆ ขึ้นที่มุมปากเมิ่งเชี่ยนโยว พูดพึมพำกับตัวเอง “สี่ปีแล้ว เจ้าควรจะเติบใหญ่ได้แล้ว”
เมืองหลวงที่ไกลออกไปองค์ชายรูปงามองอาจท่านหนึ่งเติบโตแล้ว กำลังทอดมองไกลออกไป พูดงึมงำกับตัวเอง “โยวเอ๋อร์ ข้าเติบใหญ่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บจดหมายอย่างระวัง เก็บใส่**บราวสมบัติล้ำค่า แล้วลงกลอน เพิ่งจะหยิบสมุดบัญชีออกมา เตรียมตรวจนับจำนวน ลานด้านนอกก็มีเสียงเร่งเร้าหนึ่งถามขึ้น “ฮูหยิน นายหญิงของพวกท่านอยู่หรือไม่?”
ไม่รอให้เมิ่งชื่อตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็เปล่งเสียงถามออกไป “มีเรื่องอันใด?”
น้ำเสียงกระวนกระวายของเสี่ยวเอ้อร์ดังขึ้น “นายหญิง แย่แล้ว มีคนกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งร้านเรา แล้วได้รับพิษ!”
เมิ่งเชี่ยนโยวกระเด้งตัวลุกพรวด ไม่ทันได้ปิดสมุดบัญชี ก็ก้าวฉับๆ ออกมาด้านนอก ถามเสี่ยวเอ้อเสียงหลง “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เสี่ยวเอ้อตกใจหนัก ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ “วันนี้ พอท่านออกไปจากร้านไม่นาน ก็มีคนจำนวนหนึ่งเข้ามากินอาหาร คิดไม่ถึงว่ากินไปครึ่งหนึ่ง คนผู้นั้นก็กอดท้องเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างทุรนทุรายหลงจู๊ตกใจมาก รีบให้คนไปตามหมอมาดูอาการให้เขา หมอบอกว่าเขาได้รับพิษ”
“ตอนนี้คนผู้นั้นเป็นอย่างไร?” เมิ่งเชี่ยนโยวร้อนใจถาม
“แบกไปโรงหมอแล้ว หมอบอกว่าโชคดีที่ตรวจได้ทัน ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่รอดชีวิตแล้ว ท่านผู้ว่าการตำบลส่งคนมาตรวจสอบ บอกว่าก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งที่พวกเขากินมีพิษ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตื่นตกใจ สั่งการเสี่ยวเอ้อ “ไป!” พูดจบก็ก้าวอาดๆ ออกไป
เสี่ยวเอ้อลนลานตามหลังไป
เมิ่งชื่อและสะใภ้เมิ่งต้าจินนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์พลิกผันตรงหน้า กระทั่งเมิ่งเชี่ยนโยวเดินพ้นประตูออกไปถึงได้สติกลับมา
เมิ่งชื่อกระวีกระวาดลุกขึ้น “พี่สะใภ้ ท่านดูเด็กๆ นะ ข้าจะไปเรียกเสียนเอ๋อร์ที่โรงงานให้ตามไปดู”
สะใภ้เมิ่งต้าจินลนลานพยักหน้า “เจ้ารีบไปเถอะ”
เมิ่งชื่อวิ่งเหยาะๆ มาตลอดทางจนมาถึงหน้าประตูโรงงาน
อู๋ต้าเห็นนางวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เดาว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น คิดจะเอ่ยปากถาม เมิ่งชื่อโบกมือให้เขา หายใจหอบพูดว่า “เร็ว ไปเรียกเสียนเอ๋อร์ออกมา ข้ามีเรื่องด่วนจะพบเขา”
อู๋ต้าไม่กล้ารอช้า วิ่งเข้าไปร้องเรียกเมิ่งเสียนออกมา
เมิ่งชื่อเห็นเขาออกมา รีบร้อนพูด “เมื่อครู่เสี่ยวเอ้อที่ร้านเข้ามาแจ้งข่าว บอกว่ามีคนกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งร้านเราแล้วได้รับพิษ น้องสาวเจ้ารีบเข้าไปแล้ว แม่ไม่วางใจ เจ้ารีบตามเข้าไปดูด้วยเถอะ”
ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งเปิดมาสี่ปีแล้ว ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อน เมิ่งเสียนได้ฟังให้ตื่นตกใจ พูดกับเมิ่งชื่อ “ท่านแม่ ท่านอย่าเพิ่งเป็นห่วงไป ข้าจะตามไปดูเดี๋ยวนี้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” พูดจบ สั่งอู๋ต้าไปหาเหวินเปียว ให้เขาเก็บกวาดรถม้ามารอด้านนอกโรงงาน
พวกอู๋ต้าก็ได้ยินเรื่องราวหมดแล้ว ต่างกระวนกระวายใจ รีบวิ่งไปหาเหวินเปียวทันที
เหวินเปียวเก็บกวาดรถม้าเสร็จอย่างเร็วรี่ เมิ่งเสียนปลอบใจเมิ่งชื่ออีกสองสามคำ ขึ้นนั่งบนรถม้า ใจร้อนดั่งไฟเร่งเร้าให้เขารีบมุ่งหน้าเข้าเมือง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนใจ นั่งบนรถม้าที่เสี่ยวเอ้อบังคับมา คอยเร่งเร้าเสี่ยวเอ้อให้เร็วยิ่งขึ้น
เสี่ยวเอ้อตวัดบังเ**ยนม้าไปตลอดทาง ม้าเจ็บปวด ตะบึงฮ้อไม่หยุด ครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง
ข่าวที่มีคนกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้รับพิษ เพียงอึดใจเดียวก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมือง คนที่มาดูเรื่องสนุกล้อมร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งไว้อย่างแน่นหนา ชี้มือชี้ไม้ วิพากษ์วิจารณ์กันสนุกปาก
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า ทุกคนต่างรู้ว่านางเป็นนายหญิงของร้าน ต่างแยกออกเป็นทางให้นางโดยอัตโนมัติ
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามาในร้าน เห็นเจ้าหน้าที่หลายนายกำลังยืนสีหน้าขึงขังข้างโต๊ะที่มีก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งสามชามวางอยู่
หลงจู๊ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ซับเหงื่อที่ไหลออกมาไม่หยุด พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา รีบเดินไปตรงหน้านาง พูดกับนางเสียงสั่น “นายหญิง ท่านมาแล้ว”
“ตอนนี้คนพวกนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?” เมิ่งเชี่ยนโยวน้ำเสียงสงบนิ่ง ไม่มีความลนลานแม้แต่น้อย จิตใจที่ตกประหม่าของหลงจู๊ ได้รับการปลอบประโลมอย่างประหลาด สูดลมหายใจเข้าลึก พูดว่า “คนไม่เป็นอะไรแล้วขอรับ แต่ว่าเมื่อครู่คนในครอบครัวพวกเขาเข้ามา เรียกร้องค่าเสียหายจากพวกเรา”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลอบโล่งใจ สั่งการหลงจู๊ “เจ้าให้คนไปบอกหมอ ให้พวกเขาใช้ยาที่ดีที่สุด พยายามอย่าให้เกิดโรคตามมาภายหลัง”
หลงจู๊รับคำ เรียกเสี่ยวเอ้อเข้ามากำชับ
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า รีบวิ่งออกไป
คนที่มามุงดูได้ยินคำพูดเมิ่งเชี่ยนโยว ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ ยิ่งเลื่อมใสนับถือในตัวแม่นางน้อยคนนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะเข้าไปดูชามที่วางอยู่บนโต๊ะ ถูกเจ้าหน้าที่ยื่นมือมาขวาง พูดตามหน้าที่ “แม่นาง นี่เป็นหลักฐานที่สำคัญที่สุด โปรดอย่าแตะต้องตามอำเภอใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว พูดว่า “ข้าพอจะรู้วิชาแพทย์ คิดจะตรวจสอบดูว่า ปัญหาเกิดจากตรงไหนกันแน่”
เจ้าหน้าที่ยังคงเข้าขวางนาง “ท่านหมอเข้ามาตรวจแล้ว ก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งในชามพวกนี้มีพิษจริงๆ พวกเราได้รับคำสั่งจากท่านผู้ว่าการให้มาคอยเฝ้าไว้ เขาตามผู้ได้รับพิษไปที่โรงหมอ ประเดี๋ยวก็กลับมา แม่นางอย่าให้พวกเราต้องลำบากเลย”
สี่ปีก่อนหลังจากเปลี่ยนผู้ว่าการตำบลที่ซื่อตรงเที่ยงธรรมมา เหล่าเจ้าหน้าที่ได้รับการฝึกฝนให้ปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดถูกต้อง ไม่มีข้อยกเว้น เมิ่งเชี่ยนโยวไม่มีทางเลือก จำต้องรอการมาถึงของผู้ว่าการตำบล
ผู้ว่าการตำบลยังมาไม่ถึง สตรีวัยกลางคนแต่งกายมอมแมมสามคนกลับพุ่งเข้ามา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ในร้าน นั่งลงบนพื้นพร้อมกัน คร่ำครวญฟูมฟาย “สวรรค์ เสาหลักของครอบครัวล้มครืนแล้ว จะให้พวกเราทั้งคนแก่และเด็กอยู่กันอย่างไร?”
“พวกเราแค่มากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งชามเดียวเท่านั้น ทำไมถึงมาเจอเรื่องร้ายเช่นนี้ได้?”
“เจ้าของร้านใจดำอำมหิต ของเสียแล้วยังเอาออกมาขายได้ ไร้มโนธรรมที่สุด”
สตรีวัยกลางคนสามนางร้องไปก่นด่าตำหนิไป คนที่มามุงดูเห็นการแต่งกายของพวกนาง คาดเดาว่าจะต้องเป็นคนแร้นแค้น ไม่รู้ว่าต้องเก็บเงินมานานแค่ไหนถึงมากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้สักชามหนึ่ง ไม่คิดว่ากลับได้รับพิษ เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพวกเขา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นพวกเขาแต่งกายมอซอ ไม่เหมือนคนที่จะกินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งได้ ก็ให้ตะขิดตะขวงใจ ทั้งได้ยินพวกเขาที่เข้ามาไม่แยกแยะถูกผิด ทิ้งตัวนั่งฟูมฟายอาละวาดบนพื้น ยิ่งทวีความกังขา จึงไม่ปริปาก ดูว่าพวกนางจะร้องโวยวายไปได้นานแค่ไหน หลงจู๊ข้างๆ ขยับแข้งขา คิดจะเข้าไปห้ามปราบ ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวรั้งไว้เงียบๆ
กลับเป็นเจ้าหน้าที่อีกด้านที่ทนไม่ไหวตวาดใส่พวกเขา “เรื่องนี้ท่านใต้เท้าย่อมตัดสินอย่างยุติธรรม เลิกร้องโวยวายได้แล้ว”
สตรีวัยกลางคนทั้งสามนางยังมีความกริ่งเกรงเจ้าหน้าที่บ้าง หุบปากหยุดร้องคร่ำครวญทันที แล้วลุกขึ้นยืน กลับหันหลัง ทำหน้าปานจะขาดใจมองมายังฝูงชนที่มามุงล้อม เปล่งเสียงสูงพูดดังลั่น “ทุกคนรีบมาดูเถิด ร้านก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งใจดำอำมหิตนี้ ใช้แป้งมันฝรั่งที่เสียแล้วมาทำก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่ง ขายให้พวกเรากิน สามีข้าโชคร้ายมาเจอเข้า เกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าขอเตือนทุกท่านต่อไปอย่าได้มากินร้านนี้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วเกร็งแน่น ความเคลือบแคลงในใจยิ่งทวีความรุนแรง
หลงจู๊กลับนั่งไม่ติดแล้ว เดินมาตรงหน้าสตรีวัยกลางคนคนนั้น ร้อนรนโต้แย้ง “เจ้าอย่าได้พูดจาซี้ซั้ว แป้งมันฝรั่งของพวกเราใช้แต่มันฝรั่งสดใหม่มาทำ”
สตรีวัยกลางคนนางนั้นเห็นเขาเดินเข้ามา ในดวงตาคลอเอ่อสะท้อนแววเจ้าเล่ห์ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยววินาที แต่ก็ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวที่คอยจับสังเกตพวกเขาเห็นเข้าพอดี
สตรีวัยกลางคนแสร้งทำเป็นหวาดกลัวหลงจู๊ จงใจก้าวถอยไปข้างหลัง แล้วเปล่งเสียงหวีดร้องใส่ฝูงชน “ทุกคนดูเถิด เขาอับอายจนโมโหแล้ว ดูท่าข้าจะพูดไม่ผิด พวกเขาใช้มันฝรั่งเน่าเสียมาทำแป้งมันฝรั่ง ต่อไปทุกคนอย่าได้มากินร้านนี้อีกเลย”
ฝูงชนที่มุงล้อมดูส่งเสียงวิพากษ์เซ็งแซ่ พูดไปต่างๆ นานา
หลงจู๊ไม่คิดว่าด้วยอารมณ์ชั่ววูบของตนเองกลับเป็นจุดอ่อนให้นางเล่นงานได้ ด้วยความโมโหคิดจะโต้แย้งอีก น้ำเสียงใสกังวานเสนาะหูของเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น ถามคำถามจี้ใจดำสตรีวัยกลางคนนางนั้น “ขอถาม ท่านใต้เท้าผู้ว่าการยังไม่ได้ตัดสิน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งของข้าใช้มันฝรั่งเน่าเสียมาทำ?”
คล้ายว่าสตรีวัยกลางคนจะคิดไม่ถึงว่านางจะถามเช่นนี้ ผงะอึ้งเล็กน้อย นัยน์ตากลิ้งกลอกพูดตอบทันควัน “ข้า ข้าเดา”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่อ่อนข้อให้แล้ว คาดคั้นเอาความ “เมื่อเป็นการคาดเดา เจ้าก็ไม่สมควรพูดออกมา แต่ตอนนี้เจ้ากลับพูดยืนยันหนักแน่นต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ เกรงว่าความเป็นจริงของเรื่องนี้จะไม่ได้เป็นการคาดเดาอย่างที่เจ้าพูดกระมัง”
สตรีวัยกลางคนไม่คิดว่าเพียงคำพูดเดียวของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำลายแผนการของนางได้ หันกลับไปเบิกตาโพลงมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกตะลึง
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังมองนางอย่างมีเลศนัย คล้ายว่าจะรู้แจ้งกระจ่างทั้งหมดแล้ว หัวใจกระตุกวูบ หลบตาอย่างร้อนตัว เล่นใหญ่เล่นโตตบหน้าขาตัวเอง ร้องฟูมฟายอีกครั้ง “ทุกคนดูเอาเถิด ข้าเพียงพูดไปตามความจริง แค่อยากจะเรียกร้องความเป็นธรรมให้สามีที่เกือบจะจบสิ้นชีวิตของพวกเรา เตือนทุกคนด้วยความหวังดี ให้ต่อไปอย่ามากินก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งร้านนี้อีก เลี่ยงไม่ให้ได้รับพิษ เอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ เด็กสาวคนนี้กลับสงสัยว่าพวกเรามีเป้าประสงค์อื่น นี่มันโจรร้องตะโกนให้จับโจร ป้ายความผิดมาที่พวกเราแทนชัดๆ”
ไม่รอให้ฝูงชนมีปฏิกิริยา น้ำเสียงเย็นเยียบเต็มไปด้วยการข่มขู่ดังขึ้นอีกครั้ง “หากปัญหาเกิดจากก๋วยเตี๋ยวแป้งมันฝรั่งของพวกเราจริงๆ นับจากนี้ไปข้าจะปิดร้านนี้ ไม่เปิดในตำบลนี้อีก แต่หากมีคนกล้าเล่นไม่ซื่ออยู่เบื้องหลัง จงใจให้ร้ายข้า แม้นเขาไม่ตายข้าก็จะกรอกยาพิษหนึ่งเม็ดให้คนผู้นั้น สงเคราะห์ความต้องการของเขา”