ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 11 แบกเข้าจวน
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 11 แบกเข้าจวน
สาวใช้และบ่าวตะลึงค้าง ไม่มีใครกล้าขยับ
อี้เซวียนขมวดคิ้ว หันหลังกลับ ถามพ่อบ้านที่วิ่งออกมาเสียงเย็น “วาจาข้าไม่ศักดิ์สิทธิ์แล้วใช่หรือไม่?”
ทั้งบารมี ความน่ายำเกรงนั้น ราวกับอ๋องฉีผู้ดุดันเฉียบขาดในวัยหนุ่มกำลังยืนเบื้องหน้าตนเอง
พ่อบ้านสะดุ้งตกใจตัวสั่น ลนลานสั่งสาวใช้ให้ประคองพระชายารอง “ยังไม่รีบประคองเหนียงเหนียงเข้าไป จะรอให้ถูกโบยก่อนใช่หรือไม่?”
สาวใช้รับคำเสียงสั่น พูดเกลี้ยกล่อมเสียงแผ่ว “เหนียงเหนียง พวกเราเข้าไปเถอะเพคะ”
พระชายารองไฉนเลยจะทนรับความอดสูนี้ได้ แผลงฤทธิ์ต่อต้านพลัน
น้ำเสียงเ**้ยมของอี้เซวียนดังขึ้นอีกครั้ง “พ่อบ้าน ท่านเป็นผู้อาวุโสของจวนแห่งนี้ ต้องขานเรียกอย่างไรท่านก็ยังไม่รู้?”
พระชายารองมีอำนาจเต็มในการดูแลจวน หลายปีมานี้คนในจวนก็เรียกขานเช่นนี้มาตลอด พ่อบ้านก็ย่อมเอ่ยเรียกเช่นนี้ บัดนี้อี้เซวียนพลันออกปาก เขาถึงรู้สึกตัว พระชายาเอกยังมีชีวิตอยู่ การขานเรียกพระชายารองว่าเหนียงเหนียงเป็นการไม่บังควรอย่างยิ่ง ตื่นตกใจจนเหงื่อไหลซึมออกมา โน้มกายพูดอย่างหวาดผวา “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อี้เซวียนชักสีหน้าขรึม พูดว่า “หากยังมีครั้งหน้า จงรับกฎบ้านแล้วกลับบ้านนอกไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก”
พ่อบ้านตกตะลึง คุกเข่าดัง “พลั่ก” น้ำเสียงสั่นเครือรับประกัน “หม่อมฉันสำนึกผิดแล้ว ต่อไปจะไม่กระทำผิดอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อี้เซวียนปรายตาเย็นเยียบมองเขาแวบหนึ่ง
พ่อบ้านรู้สึกเหมือนมีลมเย็นวาบพัดผ่านร่าง แผ่นหลังเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อพลัน
ครู่หนึ่ง อี้เซวียนถึงกลับคืนสู่สภาวะปกติ พูดด้วยน้ำเสียงละมุน “ลุกขึ้นเถอะ ทำเรื่องที่ข้าสั่งให้เรียบร้อย”
“พ่ะย่ะค่ะ ซื่อจื่อ หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง” พ่อบ้านลุกขึ้นยืนตัวสั่น หันไปโบกมือให้สาวใช้ พูดว่า “พาพระชายารองเข้าไป”
สาวใช้และบ่าวก็ตื่นตกใจกับท่าทีดุดันเด็ดขาดของหวงฝู่อี้เซวียน ไม่กล้าลังเลอีก ช่วยกันออกแรงพาร่างพระชายารองเข้าไป
พระชายารองไม่คิดว่าอี้เซวียนจะกล้าปฏิบัติเช่นนี้ต่อนาง หมายจะขัดขืน ชุนเหมยสาวใช้ข้างกายนางพูดโน้มน้าว “เหนียงเหนียง ตอนนี้ซื่อจื่อกำลังโมโห ท่านอย่าเพิ่งยั่วยุเขาเลย รอท่านอ๋องกลับมาจากท้องพระโรงค่อยว่ากันเถิดเพคะ”
พระชายารองคิดถึงท่าทีเมื่อครู่ของอี้เซวียน หยุดการดิ้นรน ยอมให้สาวใช้ประคองกลับเรือนตนเอง
อี้เซวียนหันกลับมา พินิจมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างละเอียด เห็นนางสูงขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ยังคงงดงามพริ้มเพราเหมือนสี่ปีก่อนไม่เปลี่ยน
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็พินิจมองอี้เซวียนอย่างถี่ถ้วน ไม่เจอสี่ปี หากไม่ใช่ดวงตาคู่นั้น นางเกือบจะจำไม่ได้แล้วว่าหนุ่มน้อยตรงหน้าก็คือเด็กน้อยที่ตนเองคะนึงหามาถึงสี่ปี ไม่เพียงร่างที่สูงกว่าตนเองเท่าตัว กระทั่งบุคลิกท่วงท่าสูงศักดิ์หาใดเปรียบ เมื่อเขายืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น แม้แต่กาลเวลาก็หยุดเคลื่อนคล้อย
อี้เซวียนเห็นนางพินิจมองตนเอง ริมฝีปากโค้งมน เผยรอยยิ้มอ่อนน่าหลงใหล เยื้องย่างมาถึงเบื้องหน้านาง เปล่งน้ำเสียงอบอุ่นชื่นฉ่ำ “โยวเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็มาหาข้าแล้ว”
น้ำเสียงเจือแววเสน่หาหวานฉ่ำ เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงฝาด
อี้เซวียนยกมือขึ้นหมายจะสัมผัสใบหน้านาง กลับถูกนางตีมือออกไป ยิ้มพูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านเกี้ยวพาหญิงสาวต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ ไม่กลัวส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงหรือ”
อี้เซวียนคลี่ยิ้มยากจะคาดเดา
สัญญาณเตือนภัยในใจเมิ่งเชี่ยนโยวดังขึ้น คิดจะก้าวถอยหลังให้ห่างออกมา เสียที่ช้าไปหนึ่งก้าว
หวงฝู่อี้เซวียนกระทำการที่ทำให้คนทั้งหมดตกตะลึงลูกตาแทบถลน เขาก้าวไปข้างหน้า คว้าข้อมือเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วแบกนางขึ้นบ่า ขับเคลื่อนกำลังภายใน เปล่งเสียงให้กลุ่มคนได้ยินโดยทั่วกัน “เมื่อเจ้าบอกว่าข้าเกี้ยวพาเจ้า ข้าก็จะทำตามคำเรียกนั้นอย่างเต็มที่”
ว่าแล้ว ก็แบกเมิ่งเชี่ยนโยวก้าวอาดๆ กลับเข้าไปในจวน
กลุ่มคนส่งเสียงร้องเซ็งแซ่
เหวินเปียวและเหวินหู่ตกตะลึง ร้องเรียกนายท่าน หมายจะเข้าไปขวาง กลับถูกกัวเฟยรั้งพวกเขาไว้ ยิ้มร่าพูดว่า “นายท่านทั้งสองไม่ได้เจอกันหลายปี ถึงเวลารำลึกความหลังกันแล้ว”
เหวินเปียวและเหวินหู่ไม่วางใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวที่ถูกอี้เซวียนแบกขึ้นบ่า ก็ไม่ขัดขืน กำชับพวกเขาเสียงกร้าว “พวกเจ้ารออยู่นอกจวน ข้าจะออกมาโดยไว”
ทหารยามเห็นพฤติกรรมซื่อจื่อผู้เคยสุภาพอ่อนโยนมาตลอด ต่างตกใจเบิกตาโพลง
กระทั่งกลุ่มคนที่มุงล้อมส่งเสียงอื้ออึงเป็นผึ้งแตกรัง วิพากษ์ไปต่างๆ นานา พวกเขาถึงได้สติกลับมา รีบหันหลังกลับเข้าจวน
กลุ่มคนจากโรงเตี๊ยมที่เดินตามดูเรื่องสนุกไม่รู้ความเป็นมาเป็นไป อดส่ายหน้าเสียดายแทนเมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ “เด็กสาวงามเพียบพร้อมคนหนึ่ง ครานี้จบสิ้นแล้ว”
คนในเมืองหลวงก็ไม่รู้สายสนกลในของเรื่องนี้ เห็นซื่อจื่อจวนอ๋องฉีที่นิ่งขรึมมาตลอดสี่ปี จู่ๆ กลับกระทำการชิงตัวหญิงสาว กลายเป็นประเด็นร้อนแรง หลังจากทหารยามกลับเข้าไป กลุ่มคนต่างหันหลังกลับไปพูดเรื่องที่น่าตกตะลึงนี้ให้คนรู้จักฟัง
ไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ทุกหัวระแหงในเมืองหลวงก็รู้เรื่องนี้กันหมด แม้แต่จวนราชเลขาฝ่ายการทหารและจวนราชครูก็ไม่ยกเว้น
ยังไม่พูดถึงการกระทำสะเทือนเลือนลั่นนี้ของอี้เซวียน จนกลายเป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งเมืองหลวง เอาแค่ที่เขาแบกเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในจวน ทั้งสาวใช้และบ่าวต่างตกตะลึงพรึงเพริด ลืมแม้กระทั่งการถวายคำนับ ต่างถลึงตาโตมองเขาเดินไปยังเรือนอย่างไม่เชื่อสายตา
หวงฝู่อี้ปิดปากแอบขำเดินตามหลังมาถึงประตูลานเรือน สั่งบ่าวที่ตื่นตะลึงอ้าปากค้างในลานเรือนทั้งหมดออกมา ปิดประตูเรือนให้พวกเขาอย่างรู้ใจ ยืนเฝ้าหน้าประตูเพียงลำพัง
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นว่าเข้ามาในลานเรือนอี้เซวียนแล้ว รอบกายไม่มีใคร ตีไปที่มือของอี้เซวียนหลายครั้ง อี้เซวียนเจ็บคลายมือออก
เมิ่งเชี่ยนโยวฉวยโอกาสกระโดดลงมาจากบ่าของเขา เลิกคิ้วคู่งาม คล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มถามขึ้น “ไม่เจอกันนาน ซื่อจื่อเก่งกล้าแล้ว ถึงกับกล้าแบกข้าเข้ามาต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้”
ดวงตากลมโตของอี้เซวียนแฝงความเจ้าเล่ห์ เขาเดินประชิดนาง ยื่นมือออกมา หมายจะกอดเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นมือออกไปยันหน้าอกเขา พูดว่า “ซื่อจื่อ หากท่านทำรุ่มร่ามอีก อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจนะ”
อี้เซวียนผลักมือนางออกเบาๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับรู้สึกถึงพลังภายในมหาศาลยามวาดมือของนางออก ขณะที่ตกตะลึงอยู่ในภวังค์นั้น อี้เซวียนก็คว้าตัวนางมากอด กระซิบข้างหูเสียงกระเส่า “โยวเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสยะยิ้ม น้ำเสียงเยาะหยัน “ซื่อจื่อช่างปากหวานนัก สี่ปีมานี้ ไม่ทราบว่าใครที่เขียนจดหมายสั้นกระชับมาเพียงสี่ฉบับ”
อี้เซวียนไม่โต้แย้ง โอบกอดนางไว้แน่น แทบจะหลอมรวมนางเป็นร่างเดียวกับตัวเอง
เมิ่งเชี่ยนโยวอิงแอบเข้ากับแผ่นอกกำยำของเขา ได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวแต่หนักแน่นของเขา สัมผัสได้ถึงความรู้สึกปลอดภัยที่ไม่มีเคยเจอมาก่อนจากทั้งสองโลกอย่างประหลาด
ในลานเรือนไร้สรรพเสียง
ความรู้สึกอุ่นละมุนไหลเวียนเชื่อมประสานพวกเขาทั้งสอง
ครู่ใหญ่ อี้เซวียนถึงคลายมือออก จับมือนางเดินเข้ามาในห้องตัวเอง ให้นางนั่งบนเก้าอี้ ตนเองเดินไปหยิบกล่องใบหนึ่งที่หัวเตียง วางลงบนโต๊ะเบื้องหน้านาง แล้วเปิดออก ให้เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นสิ่งของด้านในทั้งหมด เปล่งเสียงไพเราะน่าฟัง “นี่คือจดหมายที่ข้าเขียนให้เจ้ามาตลอดสี่ปี วันละหนึ่งฉบับ อยู่ในนี้ทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจสั่นไหว ความรู้สึกปั่นป่วนแผ่ซ่านเข้ามาในหัวใจ นางหยิบจดหมายมั่วๆ ขึ้นมาหนึ่งฉบับเพื่อกลบเกลื่อน ความคิดถึงอัดแน่นอยู่ในทุกข้อความทุกคำพูด
อี้เซวียนอธิบาย “ในปีที่ข้ากลับมา ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นซื่อจื่อ ดวงตาทุกคู่ในเมืองหลวงล้วนจับจ้องข้า ข้ากลัวจะทำให้พวกเจ้าต้องเดือดร้อนไปด้วย ถึงอดทนไม่ติดต่อหาพวกเจ้า แต่ก็กลัวเจ้าจะเป็นห่วง ถึงให้อี้เอ๋อร์ลอบส่งจดหมายให้เจ้าในวันที่ข้าจากมาของทุกปี บอกเจ้าว่าข้าสบายดี ให้เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง”
ความรู้สึกป่วนปั่นในใจเมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งให้รุนแรงขึ้น
อี้เซวียนมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวทนดวงตาหยาดเยิ้มเช่นนี้ไม่ไหว กระแอมกลบเกลื่อนแล้วถามเขา “เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดถึงยังไม่ถอนหมั้นกับธิดาจวนราชเลขา”
อี้เซวียนกล่าวด้วยใบหน้านิ่งขรึม “พระมารดาและมารดาของธิดาราชเลขาเป็นสหายรักกัน ตอนนั้นพวกเราถูกหมั้นหมายไว้ตั้งแต่ยังไม่เกิด ต่อมาหลายปีแม้จะยังหาตัวข้าไม่พบ จวนเสนาก็มิได้เอ่ยปากเรื่องการถอนหมั้น ภายหลังข้าได้กลับมาที่นี่ บอกพระมารดาว่าข้ามีคนที่พึงใจแล้ว ขอให้นางถอนการหมั้นหมายนั้น พระมารดาคิดว่าพวกเรากระทำเช่นนั้นเนรคุณคนเกินไป จึงไม่รับปาก บอกว่าทำเช่นนั้นจะทำลายชื่อเสียงธิดาเสนา ทำให้ภายหน้านางไร้ที่ยืนอยู่ในเมืองหลวง แม้ข้าจะไม่ยินดี แต่พระมารดาร่างกายอ่อนแอ เอาแต่นอนซม ข้ากลัวหากข้าดึงดัน จะทำให้นางเสียใจ ทำให้สุขภาพยิ่งแย่ ดังนั้นต่อมาเวลาอยู่ต่อหน้านางข้าจึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายลง ปล่อยตัวเอนพิงพนักเก้าอี้อย่างสบายใจ แย้มยิ้มถาม “จากนั้นเล่า ซื่อจื่อต้องการจะเสวยสุขด้วยสามีเดียวหลายภรรยา”
อี้เซวียนยิ้มอ่อน เอียงลำตัวมาคว้าข้อมือนางข้างหนึ่ง พูดว่า “จากนั้นพระชายาของข้าจะออกโรง บีบให้พวกเขาถอนหมั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเก้อ ยืดตัวตรง โน้มลำตัวเข้าหาอี้เซวียน ถามเสียงกระด้าง “ซื่อจื่อหมายความว่าจะให้ข้าจัดการศัตรูหัวใจด้วยตัวเอง?”
แม้หวงฝู่อี้เซวียนจะไม่เข้าใจว่าศัตรูหัวใจคืออะไร ทว่าจากคำพูดของนางจะต้องเกี่ยวข้องกับธิดาราชเลขาจึงพยักหน้า พูดว่า “ข้าคิดเอาไว้เช่นนั้น”
สิ้นเสียง ก็มีบางสิ่งฟาดลงกลางกระหม่อมดังเพี๊ยะ เสียงโกรธเกรี้ยวของเมิ่งเชี่ยนโยวดังลั่นข้างหูเขา “เจ้าตัวเสนียดใจอำมหิต แม้แต่ข้าเจ้าก็กล้าวางแผน”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงมือค่อนข้างหนัก อี้เซวียนมึนตื้อเล็กน้อยถึงได้สติกลับมา ไม่โกรธเคือง กลับหน้าทนยิ้มตาหยีพูดว่า “เจ้าและข้ามีความสัมพันธ์ทางกายกันแล้ว ชีวิตนี้ข้าจะมีแต่เจ้าเพียงคนเดียว เรื่องของข้าย่อมเป็นเรื่องของเจ้า เรื่องยุ่งเหยิงพวกนี้ก็สมควรให้เจ้าเป็นคนจัดการ”
เขาไม่พูดเรื่องความสัมพันธ์ทางกายยังดีเสียกว่า พอเขาพูดออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวคิดถึงเมื่อสี่ปีก่อน เขาฉวยโอกาสตอนที่ตัวเองได้รับบาดเจ็บ ขัดขืนไม่ได้ กระทำเรื่องเช่นนั้น พลันโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ลุกขึ้นพรวด โบกมือใส่เขาอีกครั้ง พูดว่า “เจ้ายังกล้าเอ่ยเรื่องเมื่อสี่ปีก่อน ดูว่าวันนี้ข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร”
หวงฝู่อี้เซวียนหลบฝ่ามือนี้ของนางได้อย่างคล่องแคล่ว แล้วลุกขึ้นตาม หลบไปพูดชี้แจงไปว่า “ข้าถูกบีบจนไม่มีทางเลือกต่างหากเล่า หากข้าไม่ทำเช่นนั้น สี่ปีที่ข้าไม่อยู่นี้เจ้าแต่งไปกับคนอื่นจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งฟังยิ่งเดือดดาล วิ่งตีเขาไปรอบห้อง “เจ้ายังมีหน้าพูดอีก ข้าอายุสิบแปดปีแล้ว กลายเป็นสาวใหญ่แล้ว แต่ยังไม่ได้แต่งงาน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าคนเดียว ตอนนี้อุตส่าห์ได้เจอเจ้า เจ้ากลับโยนโจทย์ยากนี้มาให้ข้า วันนี้ข้าจะเล่นงานเจ้าให้น่วมเลย”
หวงฝู่อี้ยืนอยู่ด้านนอก ได้ยินเสียงโวยวายภายในห้อง ให้นึกกังขา เมื่อครู่ทั้งสองคนยังดีๆ กันอยู่เลย ทำไมแค่พริบตาเดียวก็ตบตีกันเสียแล้ว
ในความเป็นจริง หวงฝู่อี้คิดผิด ภายในห้องไม่ได้ตีกัน แต่เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เอาแต่วิ่งไล่ต้อนไล่ตีอี้เซวียนไม่หยุด
วิ่งตามหลายรอบ เมิ่งเชี่ยนโยวเหนื่อยจนหายใจหอบ กลับจับไม่โดนแม้แต่ชายเสื้อของอี้เซวียน ด้วยความโมโห พูดข่มขู่เขา “หยุดเดี๋ยวนี้นะ ไม่เช่นนั้นวันพรุ่งข้าจะพาคนกลับบ้าน เรื่องยุ่งเหยิงของตัวเองก็เก็บกวาดเองเถอะ”
อี้เซวียนได้ฟังก็หยุดฝีเท้า ทำหน้าเป็นเข้าใกล้นาง แล้วถามว่า “โยวเอ๋อร์ เจ้ารับปากข้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกมือขึ้นบิดหูเขา พูดว่า “เรื่องของเจ้า ก็จัดการเองเถอะ ข้าไม่ได้ว่างมาช่วยเจ้าทำเรื่องพวกนี้ ข้าจะบอกให้นะ ครั้งนี้ข้ามาเพื่อบีบให้แต่งงาน เห็นแก่ที่วันนี้เจ้าประพฤติตัวน่าพึงพอใจ ข้าจะให้เวลาเจ้าเพิ่ม อย่างมากครึ่งปี ครึ่งปีให้หลังหากเรื่องการหมั้นหมายของเจ้ายังไม่เรียบร้อย ข้าจะพาคนกลับชนบท ชาตินี้เจ้าอย่าหวังจะได้พบหน้าข้าอีก”
หวงฝู่อี้เซวียนได้ฟังดังนั้น รอยยิ้มแข็งค้างฉับพลัน
หวงฝู่อี้ที่ได้ยินวาจาของเมิ่งเชี่ยนโยวจากด้านนอก หัวใจกระตุกวูบ เขารู้จักนิสัยของเมิ่งเชี่ยนโยวดี เป็นคนพูดจริงทำจริง หากถึงขั้นนั้นจริงๆ พี่อี้เซวียนคงเสียสติวิปลาสเป็นแน่แท้ ความคิดถึงตลอดสี่ปีที่ผ่านมาของเขา เขาเองก็เห็นอย่างแจ่มแจ้งมาตลอด
ในขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น สาวใช้นางหนึ่งก็เดินมาย่อคำนับให้เขา พูดว่า “พระชายาเอกได้ยินว่าซื่อจื่อพาหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามา ต้องการให้เขาพาไปพบหน่อยเจ้าค่ะ”