ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 114 ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดออกหน้าให้
- Home
- ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]
- ตอนที่ 114 ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดออกหน้าให้
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 114 ท่านแม่ทัพใหญ่ได้โปรดออกหน้าให้
หวงฝู่อี้เซวียนรอจนกระทั่งนางเอาอาหารอย่างสุดท้ายวางไว้ในถาด ส่งให้ชิงหลวนเรียบร้อย ทันใดนั้นก็ล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าของตัวเองมาซับเหงื่อบนหน้าผากให้นางอย่างอ่อนโยน ถามเสียงละมุนว่า “เหนื่อยไหม?”
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่นศีรษะ “ไม่เหนื่อย”
หวงฝู่อี้เซวียนช่วยซับเหงื่อให้นางเสร็จแล้ว “ที่เหลือให้พวกนางเก็บกวาดเถอะ พวกเราพักผ่อนสักครู่” พูดจบก็โอบไหล่นางเดินออกจากห้องครัว กลับไปยังห้องโถงรับแขก กล่าวกับลุงฝูที่ยืนอยู่หน้าประตูว่า “ลุงฝู อาหารทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านสั่งให้คนไปเอาอาหารเถิด”
ลุงฝูตอบรับอย่างเคารพ แล้วก็รีบร้อนสั่งคนลงไป
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องโถงรับแขก พระชายาฉีพูดขึ้นมาทันทีว่า “โยวเอ๋อร์ เหนื่อยแล้วกระมัง รีบนั่งลงพักผ่อนเถิด”
“ไม่เหนื่อยเพคะ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวด้วยรอยยิ้มละไม “ตอนที่หม่อมฉันอยู่ที่ชนบทนั้น มักจะทำอาหารให้คนกินมากมาย จนคุ้นชินไปแล้วเพคะ”
ไม่นานลุงฝูก็สั่งให้คนเอาสำรับอาหารขึ้นไปตั้งที่ห้องอาหาร แล้วก็เข้ามาเชิญให้ทุกคนไปทานอาหารอย่างสุภาพ
ทั้งสี่คนเดินไปถึงห้องอาหาร นั่งลงตามลำดับ โบกมือให้คนรับใช้ที่คอยรับใช้ออกไป เสร็จแล้วก็เริ่มลงมือกินอาหารอย่างไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก
อาหารใหม่ๆ ในเหลาจวี้เสียนต่างก็เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่เป็นคนสอนให้ ฉู่เหวินเจี๋ยรู้ว่านางทำอาหารได้เลิศรส กินลงไปหลายคำ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พระชายาฉีไม่รู้ ทุกครั้งหลังจากที่ได้ชิมอาหารแต่ละอย่าง ก็จะชมไม่ขาดปาก ยังไม่ได้ชิมอาหารจนครบทุกอย่าง ก็ประหลาดใจเสียแทบแย่ กล่าวขึ้นว่า “มิน่าเล่าเซวียนเอ๋อร์ถึงได้บอกว่าหลังจากที่กินอาหารที่เจ้าปรุงแล้ว จะไม่อยากกินอาหารที่แม่ครัวคนอื่นปรุงอีกเลย เป็นเช่นนี้จริงๆ หากเทียบกับอาหารที่เจ้าปรุงแล้ว อาหารที่พวกนางปรุงก็กลืนได้ยากจริงๆ นั่นแหละ”
หวงฝู่อี้เซวียนทำราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่ได้รับคำชมเสียอย่างนั้น รู้สึกภาคภูมิใจเหลือเกิน ใช้ตะเกียบคีบอาหารที่เมิ่งเชี่ยนโยวโปรดปรานโดยไม่รู้สึกกระดากอาย แล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฝีมือของโยวเอ๋อร์ไม่มีผู้ใดในแคว้นอู่เทียบได้สักคน”
พระชายาฉีเผลอหัวเราะออกมา
ฉู่เหวินเจี๋ยกลืนอาหารที่อยู่ในปาดแล้วก็พูดขึ้นว่า “ฝีมือการปรุงอาหารของแม่นางเมิ่งดีจริงๆ ที่กิจการของเหลาจวี้เสียนดีเช่นนี้ ทั้งหมดก็เป็นเพราะความดีความชอบของนางทั้งสิ้น”
พระชายาฉีประหลาดใจ
ฉู่เหวินเจี๋ยเล่าเรื่องอาหารใหม่ๆ อันเนื่องมาจากการสอนของเมิ่งเชี่ยนโยวที่เหลาจวี้เสียนให้นางฟัง
พระชายาฉีได้ยินแล้วก็เบิกตากว่าอย่างตกใจ “ข้าก็ว่าอยู่ว่าตั้งแต่สี่ปีก่อนเหลาจวี้เสียนเริ่มที่จะมีเงินเข้าไปเก็บในธนาคาร มากกว่าปีก่อนๆ ไม่น้อย ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าโยวเอ๋อร์นี่เอง”
“ท่านอย่ากล่าวเช่นนี้เลย ที่เหลาจวี้เสียนกิจการดีเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าเถ้าแก่ในร้านทุกคนทำงานได้ดี ไม่เกี่ยวกับข้าเลย อีกอย่างตอนนั้นสูตรอาหารที่ข้าขายให้กับเหลาจวี้เสียนข้าก็ได้รับเงินไปไม่น้อย พวกเราเพียงแต่แลกเปลี่ยนในสิ่งที่ต้องการ ไม่ถือว่าเป็นความดีความชอบของข้าแต่อย่างใด”
“แม่นางเมิ่งไม่จำเป็นต้องถ่อมตัวเลย อันที่จริงเป็นเพราะว่าเหลาจวี้เสียนได้รับสูตรอาหารจากเจ้าหลังจากนั้นถึงได้เป็นกิจการชั้นหนึ่ง” ฉู่เหวินเจี๋ยที่กลืนอาหารที่อยู่ในปากเรียบร้อยแล้วกล่าวขึ้นมา
หวงฝู่อี้เซวียนก็คีบกับข้าวให้เมิ่งเชี่ยนโยวอีก แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “โยวเอ๋อร์มีความดีความชอบจริง แต่ว่าเสด็จแม่กับท่านน้าไม่ต้องชื่นชมนางอีก ไม่ว่าจาหเงินได้เท่าไหร่ สุดท้ายทั้งหมดนั้นก็ต้องเป็นของข้ากับโยวเอ๋อร์เช่นเดิม ถือว่านางเป็นคนที่มองการณ์ไกล ได้วางแผนอนาคตของพวกเราไว้ตั้งแต่แรกแล้ว”
พระชายาฉีเผลอยิ้ม “เจ้านี่นะ ฝันไปเสียเถอะ ตำลึงเงินที่เหลาจวี้เสียนได้กำไรก็จะเก็บไว้ในธนาคาร แตะต้องไม่ได้ง่ายๆ ไม่ใช่แค่เพื่อไว้ให้พวกเจ้าใช้เวลาตกระกำลำบากแต่เพียงเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นก็เอาไว้เพื่อใช้ในยามแก่เฒ่า”
“ข้าทราบแล้ว ข้าก็แค่พูดเล่นไปเรื่อยเปื่อยมิใช่หรือ? ไม่ต้องพูดถึงกิจการในมือของข้าเลย ขนาดแค่เงินค่าที่ดินที่โยวเอ๋อร์ขายให้ท่านลุงก็เพียงพอให้พวกเราใช้แล้ว” พูดจบก็หันมาออดอ้อนเมิ่งเชี่ยนโยว “ใช่ไหม โยวเอ๋อร์?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตามองเขาแวบหนึ่ง
พระชายาฉีหัวเราะพรืดออกมา “ฝันไปเสียเถอะ เรื่องอะไรเงินที่โยวเอ๋อร์หามาได้จะต้องแบ่งให้เจ้าใช้ด้วย จะบอกให้ ถ้าถึงวันแต่งงานของพวกเจ้าแล้วเจ้าหาสินสอดที่เหมาะสมมาไม่ได้ ข้าจะไม่ยอมให้โยวเอ๋อร์แต่งงานกับเจ้าง่ายๆ นะ”
“เสด็จแม่!” หวงฝู่อี้เซวียนจะหัวเราะก็ไม่ใช่ร้องไห้ก็ไม่เชิง “ท่านลืมไปแล้วหรือ ว่าข้าเป็นลูกชายแท้ๆ ของท่าน สินสอดที่จะไปสู่ขอโยวเอ๋อร์ต้องเป็นท่านที่เตรียมไว้ให้”
พระชายาฉีอึ้ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
อาหารมื้อนี้จึงกินเสร็จไปด้วยบรรยากาศที่มีความสุขเช่นนี้แล
ทุกคนต่างก็กลับไปยังห้องโถงรับแขก ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นห่วงว่าร่างกายของพระชายาฉีจะทนไม่ไหว กล่าวขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าสั่งให้คนไปจัดเก็บห้องของท่านเรียบร้อยแล้ว ถ้าท่านรู้สึกเหนื่อย ก็ไปพักผ่อนสักครู่ ข้าจะคุยกับเซวียนเอ๋อร์อีกสักประเดี๋ยว”
พระชายาฉีโบกมือด้วยรอยยิ้มละไม “ตั้งแต่โยวเอ๋อร์ช่วยปรับรักษาสุขภาพร่างกายของข้า ข้าก็มีกำลังวังชาดีกว่าแต่ก่อนมากโขเลย พวกเราอุตส่าห์มีโอกาสได้อยู่ร่วมกันในครอบครัว จะพูดคุยกันนานไปบ้างก็ไม่เป็นอะไรหรอก”
ฉู่เหวินเจี๋ยเห็นสีหน้าของนางยังดูดีอยู่ จึงไม่ได้พูดขัดอะไรขึ้นอีก หันหน้ามาพูดกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “เซวียนเอ๋อร์ มิใช่ว่าเจ้ามีเรื่องที่จะขอร้องน้าหรอกหรือ? เจ้าว่ามาเถอะ”
รอบยิ้มที่ประดับบนใบหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนพลันเลือนหายไป หันไปมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวกับพระชายาฉี กล่าวว่า “ท่านลุง ท่านยังจำเรื่องการแต่งงานระหว่างข้ากับคุณหนูจวนราชเลขาได้ไหม?”
ฉู่เหวินเจี๋ยพยักหน้า “จำได้ ทำไมหรือ? ยังไม่ได้ยกเลิกอีกหรือ? ถ้าเช่นนั้นการแต่งงานของเจ้ากับแม่นางเมิ่งจะทำอย่างไร?”
“ไม่ว่าวิธีใดพวกเราต่างก็ลองมาหมดแล้ว แต่ก็ยกเลิกไม่ได้”
ฉู่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
หวงฝู่อี้เซวียนจึงเล่าทุกเรื่องให้เขาฟังตั้งแต่เรื่องที่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในเมืองหลวงตอนแรกจนถึงตอนที่เขากับพระชายาฉีเข้าวังเพื่อไปขู่ไทเฮาว่าจะคืนตำแหน่งซื่อจื่อ กล่าวว่า “ไม่ว่าอย่างไรเสด็จลุงกับเสด็จย่าก็ไม่ทรงยอมให้ข้ายกเลิกการแต่งงานนี้ คาดว่าทางด้านจวนราชเลขาก็ยกข้อนี้ขึ้นเป็นหลัก นับตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ ถึงแม้ข้าจะสร้างเรื่องข่าวลือต่างๆ นานากับโยวเอ๋อร์ไปทั่วทั้งเมืองหลวงก็ตามที แต่พวกเขาก็ยังไม่ตอบโต้ ข้าคิดว่าท่านน้ากับท่านราชเลขามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ท่านช่วยไปดูลาดเลาให้พวกเราได้หรือไม่ ดูว่าพวกเขาคิดอย่างไรกันแน่?”
ฉู่เหวินเจี๋ยกับท่านราชเลขาต่างก็เป็นผู้นำทหาร ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “ได้ วันพรุ่งนี้หลังจากที่กลับมาจากค่ายทหาร ข้าจะไปที่จวนราชเลขาสักครั้ง”
พระชายาฉีถอนหายใจโล่งอก “ตอนนั้นเป็นเพราะว่าข้ากับเตี๋ยชิงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ตอนที่มีเซวียนเอ๋อร์จึงได้กำหนดการแต่งงานนี้ให้กับเขขา ไม่นึกเลยว่าหลังจากนั้นอีกหลายปีจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เวลานี้ไม่เพียงแต่ข้ากับเตี๋ยชิงจะกลายเป็นศัตรูต่อกัน ขนาดความสัมพันธ์ระหว่างท่านอ๋องกับใต้เท้าราชเลขายังต้องกระด้างกระเดื่องต่อกัน”
“เรื่องนี้โทษราชเลขาหลินไม่ได้ เป็นพวกเราเองที่ผิดคำสัญญาก่อน หลายปีที่เซวียนเอ๋อร์ยังไม่ได้กลับมา ฮูหยินหลินก็มักจะพาคุณหนูหลินมาพูดคุยอยู่เป็นเพื่อนท่านอยู่เป็นประจำ ทำให้ท่านสบายใจขึ้น ตอนนี้ตามคนกลับมาได้แล้ว คุณหนูหลินก็มีอายุถึงคราวออกเรือนแล้ว จู่ๆ พวกเรากลับเอ่ยถึงการยกเลิกการแต่งงาน ต้องขอโทษครอบครัวหลินจริงๆ” ฉู่เหวินเจี๋ยกล่าว
หวงฝู่อี้เซวียนส่งเสียงเหอะขึ้นมา เบ้ปาก “ท่านลุงคิดหรือว่าที่ฮูหยินหลินพาคุณหนูหลินมาพูดคุยเป็นเพื่อนท่านแม่นั้นมาด้วยความบริสุทธิ์ใจจริงๆ เกรงว่าพวกเขาได้วางหมากไว้อย่างดีแล้วพวกท่านคงไม่รู้กระมัง”
ฉู่เหวินเจี๋ยมึนงง
ใบหน้าของพระชายาฉีพลันแข็งกระด้างขึ้น ครั้นแล้วก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หลายปีที่ยังตามหาเจ้าไม่เจอ เยียนเอ๋อร์เด็กคนนั้นก็ให้ความสุขแก่ข้าไม่น้อย ดังนั้นเรื่องนี้ สิ่งที่แม่ไม่อยากให้เสียใจที่สุดก็คือนาง”
แม้ฉู่เหวินเจี๋ยจะเป็นแม่ทัพ แต่นั่นก็เป็นเพียงความสามารถทางด้านทหาร อีกทั้งในจวนยังไม่มีครอบครัว ดังนั้นเรื่องความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนเหล่านี้จึงไม่ค่อยเข้าใจ หลังจากที่ฟังพวกเขาสองคนแม่ลูกคุยกันแล้วก็กลับรู้สึกสับสนขึ้นบ้าง “เซวียนเอ๋อร์ ที่เจ้าพูดหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ทำไมน้าถึงรู้สึกว่าฟังไม่รู้เรื่อง”
—————————-