ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 118 มารอที่หน้าประตู
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 118 มารอที่หน้าประตู
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาบอกให้เขานั่งลง กล่าวว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยหาองครักษ์มาทำงานให้ข้า”
“แม่นางจะขยายสาขาร้านอีกหรือ” เถ้าแก่ถามขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ แล้วก็บอกเขาเรื่องที่ตนเปิดโรงหัตถกรรมต้องการคนงานให้เขาทราบ กล่าวว่า “พี่รองคนเดียวทำงานไม่ไหวจริงๆ ข้าจึงอยากให้องครักษ์ที่ร้านนี้ไปเป็นผู้ดูแลที่นั่น จึงต้องรบกวนให้ท่านหาคนงานมาช่วยข้า”
ตอนแรกองครักษ์สามพันคนต่างก็แยกย้ายอยู่ตามเหลาจวี้เสียน ตอนที่ไม่มีอะไรก็ทำตัวเช่นเดียวกับคนทั่วไป ดังนั้นคนที่ทำงานปะปนกับคนทั่วไปก็มี การมาทำงานที่ร้านบะหมี่มันฝรั่งจึงเป็นเรื่องง่าย ทุกคนสามารถทำได้สบาย เถ้าแก่พยักหน้า “ได้ขอรับ ไม่ทราบว่าแม่นางจะให้พวกเขามาเมื่อใด”
“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี!”
“ถ้าเช่นนั้นแม่นางกรุณารอสักครู่ ข้าจะไปเรียกพวกเขามาเดี๋ยวนี้”
เมิ่งฉีพยักหน้า
เถ้าแก่กลับไปที่เหลาจวี้เสียน ใช้เวลาเพียงครึ่งเค่อก็พาองครักษ์กลับมาห้าคน
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วก็รู้จักทุกคน ก่อนหน้านั้นตอนที่เหวินเป้ากับเหวินซงบาดเจ็บตอนนั้น ก็คือกลุ่มองครักษ์หนึ่งในนั้นที่ช่วยขนย้ายมันฝรั่งมาที่บ้าน ครั้นแล้วก็ยิ้มแล้วกล่าวกับทุกคนว่า “ในเมื่อพวกเราเป็นคนคุ้นเคยกันดี ข้าจะไม่เกรงใจแล้ว ต่อไปภายในร้านต้องพึ่งพวกท่านแล้ว”
องครักษ์ทุกคนคำนับอย่างสุภาพ “แม่นางเกรงใจไปแล้ว พวกข้าจะพยายามทำงานอย่างสุดความสามารถ”
“พวกเจ้าก็เริ่มงานวันนี้เถอะ ส่วนเรื่องที่พักอาศัย ถ้าหากยินดีก็ย้ายเข้าไปอาศัยอยู่ที่จวนของข้า ถ้าหากไม่ก็สุดแล้วแต่พวกเจ้า”
ทุกคนรับคำ
“เรื่องทุกอย่างภายในร้านมีญาติผู้พี่รองข้ารับผิดชอบอยู่ ถ้ามีสิ่งใดที่พวกเจ้าไม่เข้าใจก็ถามเขาได้ ส่วนค่าตอบแทนก็เหมือนกับคนอื่น มีใครที่ทำไม่ไหว หรือปรับตัวไม่ได้ ก็มาบอกข้าได้เลย ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าลำบากใจเด็ดขาด เราต่างก็เป็นคนกันเอง เรื่องอื่นข้าก็ไม่มีอะไรแล้ว ทุกท่านตั้งใจทำงานให้ดี พอถึงสิ้นปีจะได้รับรางวัล”
ทุกคนต่างก็รับคำอย่างยินดี
หลังจากสั่งงานทุกอย่างเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็กำชับกับเมิ่งอี้อีกสองสามคำ แล้วก็เดินออกจากร้านบะหมี่มันฝรั่งไปกับเถ้าแก่ หลังจากที่ขอบคุณอีกครั้ง ก็กลับไปที่บ้านของตัวเอง
พระชายาฉีนอนไม่หลับทั้งคืน พอรุ่งสางก็สั่งให้คนทำอาหารเช้า เร่งรัดให้หวงฝู่อี้เซวียนกินเสร็จแล้ว ก็ให้เขาไปที่จวนแม่ทัพตั้งแต่เช้าตรู่
ตอนที่เขาไปถึงนั้น ฉู่เหวินเจี๋ยก็กินอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวมใส่เสื้อนอกที่ดูธรรมดา เก็บของเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองคนก็เดินทางไปที่จวนราชเลขา
ทั้งสองคนยังไม่เคยมาที่นี่มาก่อน คนเฝ้าประตูเห็นพวกเขาไม่คุ้นหน้าจึงสอบถามอย่างละเอียด จากนั้นพอได้ยินว่าเป็นแม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี ก็ตกอกตกใจจนวิ่งล้มหกคะเมนเข้าไปภายในเรือน ร้องตะโกนขึ้นอย่างขาดวินัย “นายท่าน ฮูหยิน แย่แล้วขอรับ”
วันนี้เป็นวันหยุดของใต้เท้าราชเลขา ไม่ต้องไปประชุมที่ราชสำนัก จึงคิดจะพักผ่อนสักครู่ เพิ่งจะลุกขึ้นจากเตียง ยังไม่ได้กินอาหารเช้า พอได้ยินเสียงคนเฝ้าประตูร้องตะโกนขึ้น จึงเดินออกไปตวาดเขาเสียงดัง “เจ้าสารเลว ไม่รู้จักระเบียบ มาร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายอะไรแต่เช้า”
คนเฝ้าประตูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้นอย่างกระวนกระวายใจว่า “นายท่าน แย่แล้วขอรับ ท่านแม่ทัพกับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉีมารออยู่ที่หน้าประตูแล้ว”
“เจ้าบอกว่าใครนะ” ใต้เท้าราชเลขาถามขึ้นอย่างไม่แน่ใจ
คนเฝ้าประตูกลืนน้ำลายดังเอื้อก แล้วพูดอีกครั้งว่า “ท่านแม่ทัพฉู่กับซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี ตอนนี้มารออยู่ที่หน้าประตูขอรับ ดูท่าทางแล้วเหมือนว่าจะมาอย่างประสงค์ร้าย”
ฮูหยินราชเลขาที่อยู่ในห้องก็ได้ยินเขาพูดเช่นกัน รีบออกมาอย่างร้อนรน ถามด้วยน้ำเสียงเล็กแหลมว่า “พวกเขามาทำไม”
“ไม่ทราบขอรับ พวกเขาบอกแค่ว่ามาหาใต้เท้าเท่านั้น”
ใต้เท้าราชเลขาเป็นขุนนางมาหลายปี จึงพอจะรู้จักคาดเดาได้อยู่บ้าง ไม่นานก็สงบใจลงได้ ถามว่า “พวกเขาแต่งกายอย่างไร”
“เสื้อผ้าปกติธรรมดาขอรับ”
ใต้เท้าราชเลขาพยักหน้า สั่งเสียงดังว่า “พ่อบ้าน เจ้ารีบไปเชิญพวกเขาเข้ามาเร็วเข้า”
พ่อบ้านรับคำ กำลังจะเดินออกไป
ใต้เท้าราชเลขารู้สึกว่าค่อยไม่เหมาะสม จึงยับยั้งเขาเอาไว้ “ให้ข้าออกไปต้อนรับเองดีกว่า ฮูหยิน รีบมาใส่เสื้อผ้าให้ข้าเร็วเข้า”
ทั้งสองคนสวมเสื้อผ้าปกติธรรมดา ใต้เท้าราชเลขาย่อมจะไม่กล้าอวดเบ่ง มีหรือจะกล้าสวมชุดขุนนางไปพบพวกเขา ฮูหยินราชเลขาได้ยินดังนั้นก็กลับห้อง แล้วก็หาเสื้อผ้าที่เหมาะสมให้เขาอย่างรวดเร็ว ช่วยเขาใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ใต้เท้าราชเลขาจึงรีบออกออกไปต้อนรับพวกเขาที่หน้าจวนอย่างรีบร้อน
ฉู่เหวินเจี๋ยยังดี แต่หวงฝู่อี้เซวียนรออยู่นานแล้วค่อนข้างรู้สึกเบื่อหน่าย สีหน้าเคร่งขรึมลง
ใต้เท้าราชเลขาเดินออกมาก็เห็นสีหน้าเคร่งขรึมของหวงฝู่อี้เซวียน รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการใดออกมา โค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อจะมาทำไมไม่ส่งคนมาบอกก่อน ข้าจะได้เตรียมตัว ออกมารอต้อนรับท่านทั้งสอง” ความหมายก็คือพวกเจ้าบุ่มบ่ามมาถึงบ้านโดยพลการ อย่ามาโทษว่าข้าไม่มีมารยาท ที่ให้พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน
ฉู่เหวินเจี๋ยเป็นขุนพลทหาร จึงไม่ได้รู้สึกถึงคำพูดที่ว่ากล่าวอย่างเลี้ยวลด ยกมือขึ้นคำนับ กล่าวว่า “อันที่จริงเหวินเจี๋ยละลาบละล้วงมาโดยพลการ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนใต้เท้าราชเลขา”
สีหน้าของใต้เท้าราชเลขาดูดีขึ้นเล็กน้อย
หวงฝู่อี้เซวียนกลับปรายตามองใต้เท้าราชเลขาอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาหน้ายิ้ม แต่ทว่าดวงตาแข็งกระด้างว่า “นี่ใต้เท้าราชเลขาโทษว่าพวกเรามาไม่รู้จักเวล่ำเวลาหรือ ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขออภัยด้วย ข้าไม่ได้เจอว่าที่ภรรยามานานแล้ว เกิดความรู้สึกคิดถึงคำนึงหาเหลือเกิน เช้าวันนี้อดใจไม่ได้จึงรีบมาหา”
เขาพูดจบ ฉู่เหวินเจี๋ยก็มองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ใต้เท้าราชเลขาตัวสั่นสะท้านขึ้นทันที เพิ่งจะเข้าใจว่าซื่อจื่อผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้แม้จะอายุยังน้อย แต่กลับเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวเหลือเกิน เมื่อตกอยู่ในกำมือของเขาแล้วก็หาประโยชน์ให้กับตัวเองไม่ได้เลย จึงคิดกลับใจ ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ซื่อจื่อล้อเล่นแล้ว จวนราชเลขาของเราเปิดรอต้อนรับซื่อจื่อตลอดเวลา ท่านจะมายามใดก็มาได้”
หวงฝู่อี้เซวียนแอบเบ้บาก
ใต้เท้าราชเลขาทำเป็นว่ามองไม่เห็น ทำท่าทางเชื้อเชิญแล้วก็พูดขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่ ซื่อจื่อ เชิญทางนี้”
ทั้งสองคนเดินเข้าจวน ตามใต้เท้าราชเลขาไปที่ห้องโถงรับแขก ทรุดกายนั่งลง
สั่งให้คนรับใช้เอาชาร้อนมา ใต้เท้าราชเลขาถามเข้าประเด็นว่า “แม่ทัพใหญ่กับซื่อจื่อมาหาถึงบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ ไม่ทราบว่ามีธุระอันใดหรือ”
ฉู่เหวินเจี๋ยกำลังจะพูด ทว่าหวงฝู่อี้เซวียนกลับชิงพูดขึ้นก่อนว่า “วันนี้ข้าพาท่านน้ามาเยี่ยมว่าที่ชายาของข้า รบกวนใต้เท้าราชเลขาตามนางเข้ามาพบด้วย”
ใต้เท้าราชเลขายิ้มตาม “ซื่อจื่ออภัยด้วย บุตรสาวของข้าล้มป่วยลงตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว ตอนนี้ยังลุกจากเตียงไม่ได้ เกรงว่าวันนี้คงไม่อาจออกมาพบทั้งสองท่านได้”
“ใต้เท้าราชเลขาก็เหลือเกิน ว่าที่ชายาของข้าล้มป่วย แต่ไฉนถึงไม่ให้คนไปบอกข้าบ้าง ข้าจะได้มาเยี่ยมนาง” หวงฝู่อี้เซวียนกลับกล่าวโทษขึ้นมา
หวงฝู่อี้เซวียนโบยสาวใช้ของหลินหันเยียนจนตายต่อหน้าต่อตานาง ทำให้คนเป็นลมไปทั้งอย่างนั้น ตอนนี้กลับแกล้งทำเป็นว่าไม่ทราบว่านางตกใจจนล้มป่วย ใต้เท้าราชเลขาพยายามอดทนแล้วอดทนเล่า ถึงจะทนไม่หยิบถ้วยน้ำช้าที่อยู่บนโต๊ะมาขว้างใส่หน้าเขา
ไม่นึกว่าหวงฝู้อี้เซวียนยังพูดไม่จบ จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “รบกวนใต้เท้าให้คนพาข้าไปเยี่ยมทีเถอะ ว่าที่ชายาของข้าป่วย แต่ข้ากลับไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง คนอื่นอาจจะเห็นเป็นเรื่องขบขันไปได้”
ใต้เท้าราชเลขาเกือบจะกระอักเลือดออกมา ใบหน้าค่อนข้างย่ำแย่ นึกอยากจะโมโหแต่ก็หาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้ ถึงอย่างไรคนเขาก็มาเยี่ยมว่าที่ชายาที่กำลังป่วยก็เป็นเหตุผลที่เหมาะสมแล้ว จะไม่โมโห ในใจก็ตื่นตระหนก ทำไมหวงฝู่อี้เซวียนถึงทำท่าทางราวกับว่าต้องการจะเข้าไปเยี่ยมหลินหันเยียนอย่างอดรนทนไม่ได้เช่นนั้น
—————————-