ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] - ตอนที่ 12-1
ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน] – ตอนที่ 12-1 กระอักเลือด
คำสั่งของพระชายาเอกจะฝ่าฝืนไม่ได้ หวงฝู่อี้กัดฟันเดินเข้ามาในลานเรือน ยืนรายงานกลางลานเรือนว่า “ซื่อจื่อ เหนียงเหนียงให้คนมาบอกว่า ต้องการพบนางแม่นางเมิ่งพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ ด้วยกลัวอี้เซวียนจะระบายอารมณ์มาที่ตัวเอง ค่อยๆ ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว เตรียมพร้อมวิ่งหนีทุกเมื่อ
ในห้องเงียบสงัด
ครู่หนึ่งถึงมีเสียงหวงฝู่อี้เซวียนดังออกมา “ไปเรียนพระมารดา บอกว่าหลายวันก่อนโยวเอ๋อร์ตกใจเสียขวัญ สภาพจิตใจยังไม่เป็นปกติ เมื่อมีโอกาสจะเข้าไปพบนาง”
หวงฝู่อี้ขานรับคำ เร่งฝีเท้าออกไปจากเรือน พูดกับสาวใช้ว่า “เจ้าคงได้ยินคำพูดของซื่อจื่อแล้ว รบกวนเจ้ากลับไปเรียนเหนียงเหนียงตามนี้ด้วยเถอะ”
สาวใช้ไม่มีทางเลือก หันหลังกลับไปเรือนพระชายาเอก ถ่ายทอดคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนโดยไม่ตกหล่นสักคำแก่พระชายาเอก
นับตั้งแต่ที่อี้เซวียนกลับมา ความกลัดกลุ้มในใจพระชายาเอกก็หายไป นางมีชีวิตชีวาขึ้นไม่น้อย บวกกับหมอจากสำนักแพทย์หลวงเข้ามาฟื้นฟูสภาพจิตใจ ทำให้สภาพร่างกายในช่วงหลายปีมานี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก ไม่เจ็บออดๆ แอดๆ อีก สามารถลุกขึ้นเดินเหินได้ มีเลือดฝาดดูสดใสขึ้นกว่าแต่ก่อน ในตอนนี้นางกำลังนั่งอาบแสงแดดบนเก้าอี้ข้างหน้าต่าง หลังจากได้ยินที่สาวใช้รายงานก็ถอนหายใจ
โอรสของตนเองที่ดูคล้ายอ่อนโยนมีมารยาท ในความเป็นจริงจะเหินห่างหลีกลี้กับทุกคน แม้แต่การปฏิบัติต่อมารดาเช่นนาง ก็มากกว่าคนอื่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น สี่ปีก่อนที่เขากลับมา ได้เอ่ยปากพูดเรื่องการถอนหมั้นกับตนเอง นางไม่ตอบรับ นับแต่นั้นมาเขาก็ไม่เคยเอ่ยอีก ตนเองนึกว่าการแต่งงานนี้รอเพียงแค่เวลาก็จะสำเร็จลุล่วงไปได้ ไม่คิดว่าเมื่อครู่จะมีสาวใช้วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา บอกว่าอี้เซวียนแบกหญิงสาวนางหนึ่งเข้ามา ตนเองตกใจเกือบลุกพรวดจากเก้าอี้ นางถึงสำนึกได้ว่านางคิดผิดแล้ว อี้เซวียนไม่เคยปล่อยวางการหมั้นหมายกับหญิงสาวนางนั้นเลย การกระทำของเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อบอกคนทั้งเมืองหลวงว่า เขาตัดสินใจแต่งงานกับหญิงสาวนางนี้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ พระชายาเอกก็ถอนหายใจอีกครั้ง ในตอนนั้นอ๋องฉีบอกนางเรื่องที่อี้เซวียนกระทำต่อหญิงสาวชนบท แต่นางหาได้เอามาใส่ใจไม่ นึกว่าเป็นเหมือนเด็กคนอื่นๆ เมื่อเวลาล่วงไป เขาเติบใหญ่เป็นหนุ่ม ลุ่มหลงในแสงสีความเจริญของเมืองหลวง ก็จะลืมหญิงสาวนางนั้นไปเอง ไม่คิดเลยว่า…
พระชายาเอกถอนหายใจอีกครั้ง
แม่นมคนสนิทเห็นนางถอนหายใจติดต่อกันสามครั้ง เป็นห่วงสุขภาพของนาง เข้าพูดปลอบประโลม “ซื่อจื่อเพียงไม่ได้พบหน้าหญิงสาวนางนั้นหลายปี เกิดอารมณ์พลุกพล่าน ทำให้กระทำเรื่องน่าตกตะลึงนั้น หลังจากเจอกันครั้งนี้ก็คงจะไม่มีอะไรแล้ว เหนียงเหนียงอย่าได้เป็นกังวลมากเกินไปจนเสียสุขภาพเลยนะเพคะ”
พระชายาเอกโบกมือ “แม่นม ข้าไม่เป็นอะไร ข้าเพียงเป็นกังวล เจ้าลูกคนนี้จะถอนการหมั้นกับเยียนเอ๋อร์จริงๆ หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่มีหน้าไปพบฮูหยินท่านราชเลขาเป็นแน่แท้”
แน่นมพูดโน้มน้าว “เหนียงเหนียง ไม่หรอกเพคะ ท่านก็เห็นว่าหลายปีมานี้ ซื่อจื่อกระทำเรื่องใดให้ทุกข์ใจบ้าง เรื่องนี้เขาก็จะต้องไม่ฝ่าฝืนความต้องการของท่าน อย่างมากก็เพียงรับหญิงสาวคนนั้นเข้ามาอยู่ในเรือน”
พระชายาเอกถอนหายใจอีกครั้ง ไม่พูดอะไร มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความกลัดกลุ้มแน่นอก
หลังจากอี้เซวียนฟังนางพูดจบก็ลุกขึ้น จ้องนางเขม็งด้วยใบหน้าน้อยใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทนกับปฏิกิริยาเช่นนี้ของเขาไม่ได้ที่สุด ทำให้รู้สึกว่าตนเองเป็นหญิงโฉดที่กำลังรังแกเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ เอ่ยปากอย่างกราดเกรี้ยว “อย่านึกว่าทำหน้าทำตาเช่นนี้ข้าก็จะตอบตกลงเจ้า”
อี้เซวียนเก็บคืนสีหน้าน้อยใจ เดินไปเบื้องหน้านางอย่างระวัง พูดปะเหลาะนาง “ก็ได้ๆ ข้าจัดการเอง เจ้าอย่าโมโหเลยนะ”
ว่าแล้วก็ลองจับมือนางพูดว่า “พวกเราอุตส่าห์ได้เจอหน้ากันทั้งที อย่าพูดเรื่องระคายเคืองใจพวกนั้นเลย นั่งลงคุยกันดีๆ ดีกว่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ สะบัดมือเขาออก แล้วนั่งลง
อี้เซวียนหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ ปิดกล่องบนโต๊ะ ผลักไปตรงหน้านางพูดว่า “ประเดี๋ยวตอนเจ้าไป นำกลับไปอ่านด้วย สิ่งที่ข้าจะพูดกับเจ้าเขียนอยู่ในจดหมายหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหน้าแดงเรื่อ ไม่เคืองโกรธเหมือนเมื่อครู่แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ใจยกยิ้ม นั่งบนเก้าอี้อีกด้าน ซักถามเรื่องราวตลอดหลายปีที่ผ่านมาของครอบครัว
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าเขาคิดคำนึงถึงมาตลอด จึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ให้เขาฟังทั้งหมด ทั้งเน้นเล่าว่าเมิ่งฉีก็แต่งงานแล้ว แต่งกับบุตรสาวเก้าแก่หวังที่มาซื้อส่งมันฝรั่ง ทั้งหัวเราะพูดว่า พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตนเองล้วนเป็นยอดฝีมือด้านการค้า เก่งว่าพี่ใหญ่และพี่รองของตนเองไม่รู้กี่เท่า
อี้เซวียนนั่งฟังนางเล่าเรื่องราวในครอบครัวเงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจอย่างพูดไม่ออก
ทั้งสองคนหนึ่งพูด คนหนึ่งฟัง เวลาล่วงเลยมาถึงบ่ายแก่ๆ โดยไม่รู้ตัว เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดว่า “พวกกัวเฟยรออยู่ด้านนอกนานแล้ว ข้าสมควรต้องไปแล้ว ตอนนี้ข้าพักที่โรงเตี๊ยมอวิ๋นเค่อไหล หากเจ้ามีเรื่องอะไรให้หนิวตั้นไปหาพวกเราที่นั่นได้ ข้าได้สั่งเหวินเปียวและเหวินหู่ไปหาซื้อเรือน เมื่อซื้อได้แล้วข้าจะให้คนมาบอกเจ้าอีกที”
อี้เซวียนมองดูท้องฟ้าด้านนอก พูดอย่างอาลัย “ยังพอมีเวลา เจ้านั่งต่ออีกหน่อยค่อยไปเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าที่โรงเตี๊ยมเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า ลุกขึ้นยืน ยกกล่องบนโต๊ะมากอดแนบอก พูดว่า “ประเดี๋ยวท่านอ๋องก็จะกลับมาจากท้องพระโรงแล้ว ข้าไม่อยากเจอหน้าเขา ข้ารีบไปก่อนจะดีกว่า”
อี้เซวียนลุกขึ้น เดินมาเบื้องหน้านาง ใช้ดวงตากลมโตคู่งามที่ทั้งสุกใสและสว่างเจิดจ้าจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง พูดด้วยความอาลัยอาวรณ์ “ข้าไปส่งเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจเต้นรัว พลั้งปากพูดออกไปอย่างเสียการควบคุม “ข้าจะอยู่กับเจ้าต่ออีกครึ่งชั่วยาม”
อี้เซวียนคลี่ยิ้มเจิดจ้า
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเสน่ห์ยั่วเย้าจากเขาไม่ไหวแล้ว ยื่นมือออกไปผลักเขา “ตัวเสนียด ไสหัวไป”
อี้เซวียนไม่ทันระวัง ถูกผลักตัวโยน ชนเข้ากับโต๊ะ เลือดสดๆ ไหลออกมาจากมุมปาก ไหลหยดลงบนโต๊ะ
“เคล้ง” กล่องในมือเมิ่งเชี่ยนโยวร่วงตกลงพื้น จดหมายกระจายเต็มพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “อี้เซวียน!”
อี้เซวียนก็ตกใจ มองหยดเลือดตรงหน้าของตัวเองอย่างไม่เชื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเข้าไปประคองเขา ถามอย่างเป็นห่วง “เป็นอะไร? ชนถูกจุดสำคัญหรือ?”
อี้เซวียนส่ายหน้า เช็ดมุมปากตัวเอง คลี่ยิ้มปลอบใจนาง “ไม่เป็นไร ช่วงเวลานี้มักจะรู้สึกแน่นหน้าอก ตอนนี้ได้กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ รู้สึกดีขึ้นมาก”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น พิจารณาสีหน้าเขาอย่างละเอียด เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง พูดว่า “เจ้านั่งลง ข้าจะจับชีพจรให้”
อี้เซวียนพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ด้านหลังทันที ยื่นมือออกมาวางเบื้องหน้านาง
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งเก้าอี้ วางมือลงมือจุดชีพจรของเขา ตรวจให้เขาอย่างถี่ถ้วน
อี้เซวียนไม่ยี่หระใดๆ เอาแต่มองใบหน้านาง ทั้งพูดปลอบประโลม “ข้าไม่เป็นไรหรอก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอ่อนให้เขา พูดว่า “ซื่อจื่อ ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวเองได้รับพิษ?”
อี้เซวียนนิ่งอึ้ง รอยยิ้มจางหาย
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดโดยที่นั่งบนเก้าอี้ว่า “ข้านึกว่าหลายปีมานี้ซื่อจื่อจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงอย่างสุขสบาย ไร้ศัตรูคู่อาฆาต ที่แท้ถูกคนเล่นงานก็ยังไม่รู้ตัว”
เห็นนางโมโห แต่สีหน้าไม่ร้อนรน อี้เซวียนเดาว่าตนเองคงไม่ถูกพิษร้ายแรง พูดประจบนาง “เจ้าก็รู้ ข้าไม่รู้เรื่องสมุนไพรเลย ถูกคนเล่นงานก็เป็นเรื่องปกติ โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก เจ้าอย่าได้เป็นกังวลนักเลย”
“ข้าเป็นกังวลอะไร ข้าไม่ได้เป็นกังวล หากซื่อจื่อมอดม้วย ข้าจะได้กลับบ้านไปหาคนดีๆ แต่งงานได้เสียที” เมิ่งเชี่ยนโยวเริ่มจะมีน้ำโหแล้ว
อี้เซวียนชะงักเล็กน้อย ค่อยๆ ยื่นมือออกไป คว้ามือของนางมากุมไว้ ในน้ำเสียงเด็ดขาดแน่วแน่ “โยวเอ๋อร์ เรื่องในวันนี้ชีวิตนี้เจ้าไม่ต้องคิดถึงมันอีก คิดเพียงว่าต้องทำอย่างไรถึงจะแต่งเป็นภรรยาข้าได้เถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองบนใส่เขา สะบัดมือออกพูดว่า “คนที่วางยาเจ้าจะต้องกลัวแผนล้มเหลว จึงใช้ยาที่ออกฤทธิ์ช้ากับเจ้า หากข้ายังไม่เข้ามา ครึ่งปีให้หลังต่อให้เจ้าไม่ม้วยมรณา แต่ก็คงไม่อาจมีชีวิตชีวาได้เช่นนี้ จักต้องนอนซมติดเตียงไปทั้งชีวิต”
ได้ยินคำพูดนาง อี้เซวียนหรี่นัยน์ตาลง สะท้อนสีหน้าเ**้ยมเกรียมแวบหนึ่ง พลันหายวับไปในทันที
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเพียงเท่านี้ ที่เหลือไม่พูดให้มากความ
ภายในห้องเงียบสงัด
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น เปิดบานประตู ตะโกนออกไปด้านนอก “หนิวตั้น เจ้าเข้ามาหน่อยเถิด”
บ่าวเฝ้าประตูได้ยินคำพูดนาง ต่างมึนงง หันหน้ามองกัน ไม่รู้ว่านางตะโกนเรียกใคร
หวงฝู่อี้ที่ได้ยินเสียงร้องอุทานเมื่อครู่ของนาง ไม่รู้ว่าภายในห้องเกิดเรื่องอะไรขึ้น กำลังกระวนกระวายใจ พอได้ยินเสียงตะโกนของเมิ่งเชี่ยนโยว รีบเดินตรงเข้ามา ถามอย่างอ่อนน้อม “แม่นางเมิ่ง มีอะไรสั่งการขอรับ”
“เจ้าเข้ามาหน่อยเถิด”
หวงฝู่อี้รับคำ เดินเข้ามาในห้อง เห็นหยดเลือดบนพื้น ใบหน้าเปลี่ยนสี ลนลานร้องถาม “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง เกิดเรื่องอะไรขึ้นขอรับ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้เขาใจเย็นๆ แล้วกระซิบบอกเรื่องที่อี้เซวียนถูกวางยาแก่เขา
หวงฝู่อี้ได้ฟังรีบพูดสวนทันควัน “ไม่มีทาง อาหารของซื่อจื่อข้าเป็นคนยกมาให้เองทุกวัน ทั้งใช้เข็มเงินทดสอบทุกครั้ง ไม่มีทางมีพิษเด็ดขาด”
“พวกเขาใช้ปริมาณน้อย ใช้เข็มเงินไม่เจอพิษหรอก ทว่า จากชีพจรเมื่อครู่ของเขา เขาได้รับพิษนานแล้ว อย่างต่ำก็ครึ่งปี” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
หวงฝู่อี้ยิ่งตกตะลึง มีคนวางยาซื่อจื่อมาแล้วครึ่งปี ตนเองกลับไม่ระแคะระคายเลย
เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งการเขา “เจ้าไปเอากระดาษพู่กันมา ข้าจะเขียนใบสั่งยา แล้วรีบไปจัดยามาให้ซื่อจื่อกิน อีกอย่าง เจ้าสั่งให้คนรีบมาจัดการคราบเลือดพวกนี้ ทั้งกำชับพวกเขาห้ามพูดออกไป”
หวงฝู่อี้นิ่งอึ้ง ไม่ถามอะไรอีก
แต่รีบไปหยิบกระดาษพู่กันมาจากห้องหนังสือของอี้เซวียน
เมิ่งเชี่ยนโยวจับพู่กันเขียนตัวยา มอบให้เขาแล้วพูดว่า “ไปจัดยาต้มยาด้วยตัวเอง ห้ามผ่านมือผู้อื่นเด็ดขาด”
หวงฝู่อี้พยักหน้ารับคำ “ข้าทราบแล้ว แม่นางเมิ่ง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านดูแลซื่อจื่อด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ตอนเจ้าออกไปช่วยบอกคนของข้าด้วย ข้ายังมีเรื่องต้องพูดกับอี้เซวียน ให้พวกเขารออีกประเดี๋ยว”
หวงฝู่อี้รับคำ หยิบใบสั่งยาผลุนผลันเดินออกไป